|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
พุทธจน์ประทับใจ
พุทธจน์ประทับใจ
"ผู้ใดประทุษร้ายคนไม่ประทุษร้าย ผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่มีความผิด บาปย่อมกลับมาถึงคนพาลนั้นเอง เหมือนละอองฝุ่นที่บุคคลชัดไปทวนลม ย่อมกลับมากระทบเขาเอง ฉะนั้น"
--------------------------------------------------------------------------- ดูกรนางผู้มีร่างกายงาม เรานำเจ้าผู้ยังเป็นสาวน้อย ฯ ยังไม่มีปัญญา สามารถที่จะจับจ่ายมาแต่ตระกูลญาติ แม้เจ้าไม่ได้แสดงความไม่รักใคร่เรา เจ้าปฏิบัติเราเว้นจากความรักใคร่ เออก็นางผู้เจริญ การที่เจ้าอยู่ร่วมกับ เราเห็นปานนี้ได้ เพราะเหตุอะไร? ดูก่อนนางผู้มีร่างกายงาม เรานำเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่น มาแต่ตระกูลญาติ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าก็ยังไม่เคยแสดงความที่ไม่รักใคร่เรา ให้เรารู้ ให้เราเห็น ก็เมื่อเจ้าไม่มีความรักใคร่ แต่ก็ยังปฏิบัติเราอยู่ เออ ก็นางผู้เจริญการที่เจ้าอยู่ร่วมกับเราเช่นนี้ได้ เพราะเหตุอะไร ? ลำดับนั้น เมื่อภรรยาจะบอกแก่สามี จึงได้กล่าวคาถาที่ ๙ ว่า: ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา อันภรรยาที่มีสามีบ่อยๆ มิได้มีอยู่ในตระกูลนี้ ดิฉันได้อนุวัตรตามธรรมเนียมของตระกูลนั้น กำหนดใจไว้ว่า ขออย่า ให้เป็นคนตัดธรรมเนียมของตระกูลในภายหลังเลย ดิฉันเกลียดต่อถ้อย คำเช่นนี้ แม้ไม่ประสงค์ก็ปฏิบัติท่านได้. อธิบายเนื้อความแห่งคาถานั้นว่า: ตั้งแต่ไหนแต่ไรนานมาแล้ว อันภรรยาที่มีสามีบ่อยๆ มิได้มีในตระกูลของดิฉัน ดิฉันอนุวัตรตามธรรมเนียมของตระกูลนี้ ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ได้ชื่อว่า เป็นคนตัดธรรมเนียมของตระกูลเลย ดิฉันเกลียดต่อถ้อยคำเช่นนี้ แม้จะไม่มีความพอใจ ก็ปฏิบัติท่านได้. ---------------------------------------------------------------------------
"ผู้ใดไม่รู้โทษในอนาคต มัวเสพกามอยู่ ผลที่สุดกามเหล่านั้น ก็จะกำจัดบุคคลนั้นเสีย เหมือนผลกิมปักกะ กำจัดผู้กินให้ถึงตายฉะนั้น" ดังนี้.
---------------------------------------------------------------------------
"ชื่อว่าที่ลับในโลก ย่อมไม่มีแก่ผู้กระทำบาปกรรม ต้นไม้ที่เกิดในป่าก็ยังมีคนเห็น คนพาลย่อมสำคัญบาปกรรมนั้นว่าเป็นความลับ" ความลับไม่มีในโลก แม้นไม่มีผู้อื่นทราบ ตัวเราเองย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ---------------------------------------------------------------------------
"นักปราชญ์ไม่กล่าวเครื่องผูกที่ทำด้วยเหล็ก ทำด้วยไม้ และทำด้วยหญ้าปล้องว่าเป็นเครื่องผูกที่มั่นคง ส่วนความกำหนัดยินดีในแก้วมณีและต่างหูก็ดี ความห่วงใยในบุตรและภรรยาก็ดี, นักปราชญ์กล่าวเครื่องผูกที่ประกอบด้วยกิเลสนั่นว่าเป็นเครืองผูกที่มั่นคง ทำให้สัตว์ตกต่ำ ย่อหย่อนแก้ได้ยาก นักปราชญ์ทั้งหลายตัดเครื่องผูกนั้นได้ขาด หมดความห่วงใย ละกามสุข หลีกออกไปได้" ---------------------------------------------------------------------------
" มนุษย์ทั้งหลายผู้มีปัญญาเขลา ไม่เห็นอริยธรรม พูดกันแต่ว่า เงินของเรา ทองของเรา ทั้งคืนทั้งวัน ในเรือนหลังหนึ่ง มีเจ้าเรือนอยู่ ๒ คน ใน ๒ คนนั้น คนหนึ่ง ไม่มีหนวด นมยาน เกล้าผมมวย และเจาะหู ถูกซื้อมาด้วยทรัพย์เป็นจำนวนมาก ชายเจ้าของเรือนนั้น พูดเสียดแทงคนนั้นตั้งแต่วันที่มาถึง " ---------------------------------------------------------------------------
" บุคคลไม่ควรขอสิ่งที่รู้ว่าเป็นที่รักของเขา อนึ่ง เพราะขอเกินไปย่อมเป็นที่เกลียดชัง นาคราชถูกฤาษีขอแก้วมณี จึงไม่หวนกลับมาให้ฤาษีเห็นอีกเลย " ---------------------------------------------------------------------------
" ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายที่สมบูรณ์วรรณะ มีเสียงอันไพเราะ น่ารักน่าชม แต่พูดจาหยาบกระด้าง ย่อมไม่เป็นที่รักของใครๆ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พระองค์ก็ได้เห็นมิใช่หรือว่า นกดุเหว่าสีดำตัวนี้มีสีไม่สวย ลายพร้อยไปทั้งตัว แต่เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาก เพราะร้องด้วยเสียงอันไพเราะ เพราะฉะนั้น บุคคลควรพูดคำอันสละสลวย คิดก่อนพูด พูดพอประมาณไม่ฟุ้งซ่าน ถ้อยคำของผู้ที่แสดงเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นถ้อยคำอันไพเราะ เป็นถ้อยคำที่เป็นภาษิต " พระพุทธเจ้าจึงตรัสแสดงภรรยา ๗ จำพวกว่า " สุชาดา ภรรยาจำพวกที่ ๑ มีจิตคิดประทุษร้ายสามี มิได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สามี รักใคร่ในชายอื่น ดูหมิ่นล่วงเกินสามี ขวนขวายเพื่อจะฆ่าสามี นี่เรียกว่า วธกาภริยา ภรรยาเสมือนดังเพชฌฆาต
ภรรยาจำพวกที่ ๒ สามีได้ทรัพย์มามอบให้ภรรยาเก็บรักษาไว้ แต่ภรรยาไม่รู้จักเก็บรักษา ปรารถนาแต่จะใช้ทรัพย์นั้นให้หมดไป นี่เรียกว่า โจรีภริยา ภรรยาเสมือนดังโจร
ภรรยาจำพวกที่ ๓ เกียจคร้านทำงาน กินจุ มักโกรธ มักดุด่า กดขี่คนใช้ นี่เรียกว่า อัยยาภริยา ภรรยาเสมือนดังเจ้านาย
ภรรยาจำพวกที่ ๔ โอบอ้อมอารี ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีเหมือนแม่รักษาลูก รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ นี่เรียกว่า มาตาภริยา ภรรยาเสมือนดังมารดา
ภรรยาจำพวกที่ ๕ มีความเคารพสามี มีความละอายใจ ทำตามความพอใจสามี คล้ายน้องสาวเคารพพี่ชาย นี่เรียกว่า ภคินีภรรยา ภรรยาเสมือนดังน้องสาว
ภรรยาจำพวกที่ ๖ เห็นหน้าสามีย่อมร่าเริงยินดี คล้ายกับเพื่อนรักมาเยี่ยมเยือนบ้าน รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติต่อสามี นี่เรียกว่า สขีภริยา ภรรยาเสมือนดังเพื่อน
ภรรยาจำพวกที่ ๗ เป็นคนที่ไม่มีความขึงโกรธ ถึงจะถูกคุกคามก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย อดกลั้นต่อสามี เอาใจสามีเก่ง นี่เรียกว่า ทาสีภริยา ภรรยาเสมือนดังทาส
สุชาดา ภรรยา ๓ จำพวกแรกต้องตกนรก ส่วนภรรยา ๔ จำพวกหลังไปเกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี ภรรยา ๗ จำพวกนี้ เธอจะเป็นจำพวกไหน " ---------------------------------------------------------------------------
ชาวโลกเขามีวิธีการหลอกลวงให้ได้เงินทองโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเลย อยู่ ๔ วิธี คือ
"ไม่ใช่คนบ้าทำเป็นเหมือนคนบ้า ไม่ใช่คนพูดส่อเสียดทำเป็นเหมือนคนพูดส่อเสียด
ไม่ใช่นักฟ้อนรำทำเป็นเหมือนนักฟ้อนรำ ไม่ใช่คนพูดพล่อยทำเป็นเหมือนคนพูดพล่อย
ย่อมได้เงินทองจากคนผู้หลงงมงาย นี่เป็นคำสอนสำหรับเธอ " ---------------------------------------------------------------------------
" ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่ ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา "
---------------------------------------------------------------------------
บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุด บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด และบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุด ที่สุด ๓ อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว " ---------------------------------------------------------------------------
พระโพธิสัตว์เอ่ยปากขอเนื้อเป็นคนที่ ๔ ว่า " สหาย ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ " นายพรานพูดเป็นคาถาว่า " ในบ้านของผู้ใดไม่มีเพื่อน บ้านนั้นเป็นเช่นกับป่า คำพูดของท่านเช่นกับสมบัติทั้งหมด สหาย ข้าพเจ้าให้เนื้อทั้งหมดแก่ท่าน " ---------------------------------------------------------------------------
เราไม่รู้เวลาตายของตนเลย เวลาตายยังปกปิดอยู่หาปรากฎไม่ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บริโภคกามมาเที่ยวภิกขาจารอยู่ ขอเวลาบำเพ็ญสมณธรรมอย่าล่วงเลยเราไปเสีย บุคคลแม้เป็นอติบัณฑิต ก็ไม่รู้ถึงฐานะ ๕ อย่าง อันไม่มีนิมิตรในโลกนี้ คือ ชีวิต ๑ พยาธิ ๑ เวลา ๑ ที่ตาย ๑ ที่ไป ๑ เทพธิดาได้ฟังคำนั้นแล้วเกิดความละอายใจ ก็หายร่างไปจากที่ตรงนั้นทันที นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าได้ประมาทในวัยและชีวิตเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะตายในวันไหน ควรรีบเร่งทำความดีแข่งกันกับวันและเวลาเถิดท่านทั้งหลาย ---------------------------------------------------------------------------
นรชนเหล่าใด ฉลาดในธรรม นอบน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ นรชนเหล่านั้น เป็นผู้ได้รับความสรรเสริญ ในปัจจุบันนี้ และมีสุคติภพในเบื้องหน้า ---------------------------------------------------------------------------
ขึ้นชื่อว่า หญิงในโลกนี้ไม่น่ายินดี เพราะหญิงเหล่านั้นไม่มีขอบเขต มีแต่ความกำหนัด คะนอง เหมือนเปลวไฟไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพเจ้า จักละทิ้งหญิงทั้งหลายเหล่านั้น ไปบวชเพิ่มพูนวิเวก ---------------------------------------------------------------------------
เพื่อความชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นพึงทราบว่า หญิงเหล่านั้น ร้อยเล่ห์ หลอกลวง เป็นบ่อเกิดแห่งความโศก มีเชื้อโรค เป็นตัวอุบาทว์ หยาบคาย ก่อให้เกิดความผูกพันธ์ เป็นชะนวนแห่งความตาย เป็นนางบังเงา ชายใด วางใจในนาง ชายนั้น จัดเป็นคนเลวในฝูงคน นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ภรรยา ทาส ช้างสาร งูเห่า (คนไม่ดี) ไว้ใจไม่ได้ ---------------------------------------------------------------------------
พระพุทธองค์ ได้ตรัสเล่าอดีตนิทานแล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า ธรรมดาหญิงมีนิสัยมักโกรธ อกตัญญู มักพูดส่อเสียด ชอบทำลายมิตร ภิกษุ เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด จักไม่เสื่อมจากสุข นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน แม้กระทั่งภรรยา ---------------------------------------------------------------------------
อย่ายินดีเลยว่า นางปรารถนาเรา อย่าเสียใจเลยว่า นางไม่ปรารถนาเรา สภาวะของหญิงรู้ได้ยาก เหมือนรอยของปลาในน้ำ อาจารย์ได้สั่งสอนเขาต่อไปอีกว่า ผู้หญิงเป็นของทั่วไปแก่ผู้คน บัณฑิตจะไม่ทำความขุ่นเคืองในหญิงเลย แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า ขึ้นชื่อว่า หญิงทั้งหลายในโลก มีอุปมาเหมือนแม่น้ำ หนทาง โรงน้ำดื่ม ที่ประชุม และบ่อน้ำ บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ถือโกรธหญิงเหล่านั้น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตามใจเมียจะเสียการณ์งาน พึงตั้งตนเป็นกลางเข้าไว้ ---------------------------------------------------------------------------
บุคคลชื่อว่าเป็นมิตร ด้วยการเดินร่วมกัน ๗ ก้าว ชื่อว่าเป็นสหาย ด้วยการเดินร่วมกัน ๑๒ ก้าว และชื่อว่าเป็นญาติ ด้วยการอยู่ร่วมกันเดือนหนึ่งหรือครึ่งเดือน ส่วนผู้ชื่อว่า มีตนเสมอกัน ก็ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่านั้น เราจะละทิ้งมิตรชื่อว่ากาฬกัณณี ผู้ชอบพอกันมานาน เพราะความสุขส่วนตัวได้อย่างไร ---------------------------------------------------------------------------
ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า คำหยาบ ไม่เป็นที่ชอบใจของใครๆ แม้กระทั่งสัตว์เดียรัจฉาน ---------------------------------------------------------------------------
เมื่อท่านโกณฑัญญะพราหมณ์ได้บรรลุธรรมแล้วได้กลับมาชวนท่านออกบวช เมื่อท่านออกบวชแล้ว ได้กลับไปอยู่ ณ บ้านเดิม ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมไม่นานก็ได้บรรลุอรหันต์ ท่านเป็นผู้ตั้งอยู่ในคุณธรรม 10 ประการ คือ 1. มักน้อย 2. สันโดษ 3. ชอบสงัด 4. ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ 5. ปรารภความเพียร 6. บริบูรณ์ด้วยศีล 7. บริบูรณ์ด้วยสมาธิ 8. บริบูรณ์ด้วยปัญญา 9. บริบูรณ์ด้วยวิมุตติ 10.บริบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัศนะ ท่านเคยสนทนากับพระสารีบุตรด้วยอุปมารถ 7 ผลัด ภายหลังได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศในด้าน ผู้เป็นธรรมกถึก (นักเทศน์) ---------------------------------------------------------------------------
อดีตแห่งพระสารีบุตร ถาม-"ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่าน สอนไว้ว่าอย่างไร? พระอัสสชิ ตอบ-"อาตมาเป็นพระใหม่ ไม่อาจตอบสาระธรรมที่ลึกซึ้งได้" แม้พระอัสสชิเป็นพระนวกะ ยังไม่รู้ธรรมลึกซึ้ง แต่ได้แสดงธรรมสำคัญ อันเป็นหัวใจพระศาสนา โดยย่อว่า "เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุง ตะถาคะโต เตสัญจะ โย นิโรโธจะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณ".... ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น พร้อมทั้งความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณเจ้ามีปกติตรัสสอนอย่างนี้..... พระสารีบุตร ซึ่งกำลังแสวงหาโมกขธรรม ได้ยินคำตอบเช่นนี้ ก็เกิดความรู้แจ้ง ได้บรรลุธรรม มีดวง ตาเห็นธรรม
--------------------------------------------------------------------------- ขึ้นชื่อว่า ผู้ปฏิบัติ มี ๔ ประเภท คือ ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑ ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ๑ ผู้ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑ ไม่ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตนทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑ บรรดาผู้ปฏิบัติเหล่านั้น ผู้ใดได้กถาวัตถุ ๑๐ เอง ไม่กล่าวไม่สอนผู้อื่นในกถาวัตถุ ๑๐ นั้นเหมือนอย่างท่านพากุละ ผู้นี้ชื่อว่า ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ---------------------------------------------------------------------------
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสถามพระนางมัลลิกาเทวีว่า พระนางรักพระองค์หรือไม่ รักมากเพียงใด พระนางมัลลิกาตอบว่า พระนางรักตนเองมากกว่าสิ่งใด เมื่อได้สดับเช่นนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เกิดความน้อยพระทัย ทรงคิดว่า พระนางไม่ได้รักพระองค์เสมอชีวิตนาง เมื่อมีโอกาสได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยเรื่องนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า " ที่พระนางมัลลิกาเทวีตอบมานั้นถูกต้องแล้ว เพราะความรักทั้งหลายในโลก ย่อมไม่มีความรักใดเทียมความรักที่มีต่อตนเองได้ พระนางมัลลิกาเทวีทรงยึดมั่นในสัจจะ ตรัสความจริงเช่นนี้แล้ว พระราชาควรจะชื่นชมยินดี " พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟังแล้วจึงคลายความน้อยพระทัยลง ---------------------------------------------------------------------------
ธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันเห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าข้า ท่านพระมหากัสสปก็ให้พรว่า เอวัง โหตุ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า เธอปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา เพียงเท่านี้แล้วพระมหากัสสปก็หลีกไป ---------------------------------------------------------------------------
ดูก่อน อานนท์ ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน เพราะเห็นว่าพอสู้กันได้(ยังถือว่าธรรมดาๆ) แต่ ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด ---------------------------------------------------------------------------
Create Date : 10 กันยายน 2554 |
Last Update : 10 กันยายน 2554 21:52:14 น. |
|
2 comments
|
Counter : 973 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ผึ้ง (เพชรพญานาค ) วันที่: 6 ตุลาคม 2554 เวลา:16:22:15 น. |
|
|
|
โดย: เฮียตี๋น้อย วันที่: 18 ตุลาคม 2554 เวลา:2:38:49 น. |
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|
Pacific Laser Systems Pls-60521 Black Friday | Pacific Laser Systems Pls-60522 Black Friday | Pacific Laser Systems Pls-60534 Black Friday | Pacific Laser Systems Pls-60535 Black Friday | Pacific Laser Systems Pls-60536 Black Friday