บุคคลที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศ
เอตทัคคปาลิ บาลีว่าด้วยเอตทัคคะ คือบุคคลที่ได้รับยอย่องว่าเป็นผู้เลิศ
๑ . พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นผู้เลิศในทางรู้ราตรี (รัตตัญญูเป็นคนเก่าแก่เห็นเหตุการณ์มามาก). ๒. พระสารีบุตร เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก. ๓. พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้เลิศทางมีฤทธิ์. ๔. พระมหากัสสปะ เป็นผู้เลิศในทางกล่าวขัดเกลา ( ธูตวาทะ พูดยกย่องธุดงค์ ). ๕. พระอนุรุทธะ เป็นผู้เลิศในทางมีทิพยจักษุ. ๖. พระภัททิยะ กาฬิโคธายบุตร เป็นผู้เลิศในทางมีสกุลสูง. ๗. พระลกุณฏกะ ภัททิยะ เป็นผู้เลิศในทางมีเสียงไพเราะ. ๘. พระปิณโฑละ ภารทวาชะ เป็นผู้เลิศในทางบรรลือสีหนาท (เปล่งวาจาอย่างองอาจ). ๙. พระปุณณะ มันตานีบุตร เป็นผู้เลิศในทางแสดงธรรม. ๑๐. พระมหากัจจานะ เป็นผู้เลิศในทางจำแนกอรรถแห่งภาษิตโดยพิสดาร. ๑๑. พระจุลลปันถกะ เป็นผู้เลิศในทางนิรมิตกายอันสำเร็จด้วยใจ. ๑๒. พระจุลลปันถกะ เป็นผู้เลิศในทางฉลาดในวิวัฏฏะ (ธรรมที่ไม่เวียนว่าย ) ฝ่ายสมาธิ. ๑๓. พระมหาปันถกะ เป็นผู้เลิศในทางฉลาดในวิวัฏฏะฝ่ายปัญญา. ๑๔. พระสุภูติ เป็นผู้เลิศในทางมีอรณวิหาร ( ธรรมเป็นเครื่องอยู่ที่ไม่มีข้าศึก). ๑๕ . พระสุภูติ เป็นผู้เลิศในทางควรแก่การของถวาย ( ทักขิเณยยะ). ๑๖. พระเรวตะ ขทิรวนิยะ เป็นผู้เลิศอยู่ป่า. ๑๗. พระกังขาเรวตะ เป็นผู้เลิศในทางเข้าฌาน. ๑๘. พระโสณะ โกลิวิสะ เป็นผู้เลิศในทางปรารภความเพียร. ๑๙. พระโสณะ กุฏกัณณะ เป็นผู้เลิศในทางกล่าววาจาไพเราะ. ๒๐. พระสีวลี เป็นผู้เลิศในทางมีลาภ. ๒๑. พระวักกลิ เป็นผู้เลิศในทางน้อมใจไปตามความเชื่อ ( สัทธาธิมุต). ๒๒. พระราหุล เป็นผู้เลิศในทางใคร่ต่อการศึกษา. ๒๓. พระรัฏฐปาละ เป็นผู้เลิศในทางบวชด้วยศรัทธา. ๒๔. พระกุณฑธานะ เป็นผู้เลิศในทางจับฉลาก ๒ . เป็นองค์แรก ๒๕. พระวังคีสะ เป็นผู้เลิศในทางมีปฏิภาณ. ๒๖. พระอุปเสนะ วังคันตบุตร เป็นผู้เลิศในทางทำให้เกิดความเลื่อใสทั่วไป. ๒๗. พระทัพพะ มัลลบุตร เป็นผู้เลิศในทางจัดเสนาสนะ ( จัดที่อยู่อาศัย). ๒๘. พระปิลินทวัจฉะ เป็นผู้เลิศในทางเป็นที่รักเป็นที่พอใจของเทวดา. ๒๙. พระพาหิยะ ทารุจีริยะ เป็นผู้เลิศในทางตรัสรู้ได้เร็ว. ๓๐. พระกุมารกัสสปะ เป็นผู้เลิศในทางกล่าวธรรมะอันวิจิตร (ด้วยอุปมา). ๓๑. พระมหาโกฏฐิตะ เป็นผู้เลิศในทางบรรลุปฏิสัมภิทา ( ความแตกฉาน). ๓๒. พระอานนท์ เป็นผู้เลิศในทางพหุสุต ( สดับตรับฟังมาก). ๓๓. พระอานนท์ เป็นผู้เลิศในทางมีสติ ( ความระลึกได้ ความทรงจำ). ๓๔. พระอานนท์ เป็นผู้เลิศในทางมีคติ ( คติ แปลว่า ทางไปหรือที่ไป อรรถกถาอธิบายว่า ตั้งอยู่ในบทเดียว เรียนได้หกพันบท จำได้ทุกบทตามที่พระพุทธเจ้าตรัส น่าจะหมายความว่าเป็นผู้รู้จักหลักการในการเรียนรู้ คือเมื่อจับหลักได้อย่างหนึ่งแล้ว แม้จะอธิบายยักย้ายนัยไปอย่างไร ก็เข้าใจและจำได้หมด รวมความว่า เมื่อได้หลักเพียงข้อเดียวก็มีทางเข้าใจไปได้มากข้อ). ๓๕. พระอานนท์ เป็นผู้เลิศในทางมีธิติ ( ธิติ โดยทั่วไปแปลว่า ความอดทน อรรถกถาแก้ว่าความเพียร คือเพียรในการเรียน, การท่องจำ, การทรงจำ, การอุปฐาก หรือรับใช้พระศาสดา). ๓๖. พระอานนท์ เป็นผู้เลิศในทางอุปฐาก (รับใช้พระพุทธเจ้า). ๓๗. พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นผู้เลิศในทางมีบริษัท (บริวาร) มาก. ๓๘. พระกาฬุทายี เป็นผู้เลิศในทางทำสกุลให้เลื่อมใส. ๓๙. พระพักกุละ เป็นผู้เลิศในทางมีอาพาธน้อย. ๔๐. พระโสภิตะ เป็นผู้เลิศในทางระลึกชาติได้. ๔๑. พระอุบาลี เป็นผู้เลิศในทางทรงจำพระวินัย. ๔๒. พระนันทกะ เป็นผู้เลิศในทางให้โอวาทแก่นางภิกษุณี. ๔๓. พระนันทะ เป็นผู้เลิศในทางสำรวมอินทรีย์ ( คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ). ๔๔. พระมหากัปปินะ เป็นผู้เลิศในทางให้โอวาทแก่ภิกษุ. ๔๕. พระสาคตะ เป็นผู้เลิศในทางฉลาดในธาตุไฟ ( หมายถึงฉลาดในการเข้าสมาบัติ มีธาตุไฟเป็นอารมณ์ทำให้เกิดธาตุไฟขึ้นได้). ๔๖. พระราธะ เป็นผู้เลิศในทางทำให้เกิดปฏิภาณ ( ในการแสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า). ๔๗. พระโมฆราชะ เป็นผู้เลิศในทางทรงจัวรสีหมอง.
(หมายเหตุ? นับตามทางที่เลิศได้ ๔๗ ทาง แต่นับจำนวนบุคคล จะได้เพียง ๔๑ ท่าน เพราะบางท่านได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศหลายทาง)
๑ . พระนางมหาปชาบดี โคตมี เป็นผู้เลิศในทางรู้ราตรี ( รัตตัญญู เพราะเป็นภิกษุณีองค์แรก ). ๒. พระนางเขมา เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก ( พระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารออกทรงผนวช). ๓ . นางอุปปลวัณณา เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์. ๔. นางปฏาจารา เป็นผู้เลิศในทางทรงจำพระวินัย. ๕. นางธัมมทินนา เป็นผู้เลิศในทางแสดงธรรม. ๖. พระนางนันทา ( น้องพระอนุรุทธ์) เป็นในทางเข้าฌาน. ๗. นางโสณา เป็นผู้เลิศในทางปรารภความเพียร. ๘. นางสกุลา เป็นผู้เลิศในทางมีทิพยจักษุ. ๙. นางกุณฑลเกสา เป็นผู้เลิศในทางตรัสรู้ได้เร็ว. ๑๐. นางภัททากาปิลานี เป็นผู้เลิศในทางระลึกชาติได้. ๑๑. พระนางภัททา กัจจานา ( พระนางยโสธรา ) เป็นผู้เลิศในทางบรรลุอภิญญาใหญ่ ( อรรถกถาแสดงว่ามีความสามารถระลึกเหตุการณ์ในกัปป์ต่าง ๆ ย้อนหลังไปได้มากนับไม่ถ้วน). ๑๒. นางกิสาโคตมี เป็นผู้เลิศในทางทรงจีวรสีหมอง. ๑๓. นางสิคาลมาตา เป็นผู้เลิศในทางน้อมไปตามความเชื่อ ( สัทธาธิมุต).
ฝ่ายอุบาสก ( สาวกที่มิได้บวช)
๑ . พ่อค้าชื่อตปุสสะ และภัลลิกะ เป็นผู้เลิศในทางถึงสรณะ ( ถึงพระพุทธ พระธรรม เป็นสรณะ) รายแรก. ๒. อนาถปิณฑิกะ คฤหบดี ( ผู้มีชื่อเดิมว่า สุทัตตะ) เป็นผู้เลิศในทางถวายทาน. ๓. จิตตะ คฤหบดี ผู้อยู่ ณ นครมัจฉิกาสณฑ์ เป็นผู้เลิศในทางแสดงธรรม. ๔. หัตถกะ อาฬวกะ ( ชาวอาฬวี) เป็นผู้เลิศในทางสงเคราะห์บริษัทด้วยสังคหวัตถุ ๔ ๓ . ๕. มหานาม ศากยะ เป็นผู้เลิศในทางถวายของที่ประณีต. ๖. อุคคะ คฤหบดี ชาวกรุงเวสาลี เป็นผู้เลิศในทางถวายของที่ชอบใจ. ๗. อุคคตะ คฤหบดี เป็นผู้เลิศในทางอุปฐาก (รับใช้) พระสงฆ์. ๘. สูระ อัมพัฏฐะ เป็นผู้เลิศในทางมีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหว. ๙. ชีวก โกมารภัจจ์ เป็นผู้เลิศในทางเลื่อมใสในบุคคล (เจาะจงเฉพาะผู้ที่เห็นตนว่าดีงาม). ๑๐. คฤหบดี ผู้เป็นบิดาของนกุลมาณพ เป็นผู้เลิศในทางมีความคุ้นเคย ( กับพระพุทธเจ้า).
ฝ่ายอุบาสิกา (สาวิกาที่มิได้บวช)
๑ . นางสุชาดา ผู้เป็นธิดาของกุฏุมพี ( เศรษฐี ) ชื่อเสนิยะ เป็นผู้เลิศในทางถึงสรณะ เป็นคนแรก ( นางสุชาดาคนนี้เป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระผู้มีพระภาค และเป็นมารดาของยสกุลบุตร). ๒. นางวิสาขา มิคารมาตา ๔ . เป็นผู้เลิศในทางถวายทาน. ๓. นางขุชชุตตรา เป็นผู้เลิศในทางสดับตรับฟังมาก. ๔. นางสามาวดี เป็นผู้เลิศในทางมีเมตตาเป็นธรรมเครื่องอยู่. ๕. นางอุตตรา ผู้เป็นมารดาของนันทมาณพ เป็นผู้เลิศในทางเข้าฌาน. ๖. นางสุปปวาสา ธิดาของโกลิยกษัตริย์ เป็นผู้เลิศในทางถวายของปราณีต. ๗. นางสุปปิยา อุบาสิกา เป็นผู้เลิศในทางพยาบาลไข้. ๘. นางกาติยานี เป็นผู้เลิศในทางเลื่อมใสไม่หวั่นไหว. ๙. คฤหปตานี ผู้เป็นมารดาของนกุลมาณพ เป็นผู้เลิศในทางมีความคุ้นเคย ( กับพระพุทธเจ้า). ๑๐. นางกาลี อุบาสิกา เป็นผู้เลิศในทางเลื่อมใส เพราะฟังจากผู้อื่น ( ฟังผู้อื่นสรรเสริญพระรัตนตรัยได้บรรลุโสดาปัตติผลยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ; My blogs link 👆 https://sites.google.com/site/dhammatharn/ https://abhinop.blogspot.com https://abhinop.bloggang.com
Create Date : 05 สิงหาคม 2554 |
Last Update : 3 มกราคม 2564 18:53:18 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1165 Pageviews. |
|
|
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.