โลภมากลาภหาย
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤๅษียังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้วอาศัยอยู่ ณ หิมวันตประเทศ ในกาลครั้งนั้นพระเจ้าพาราณสีเห็นความพรั่งพร้อมของบริวารของพรหมทัตกุมารผู้เป็นโอรสของพระองค์ เกิดความระแวงพระทัย จึงเนรเทศโอรสออกจากแว่นแคว้น พรหมทัตกุมารทรงพาพระเทวีของพระองค์พระนามว่า อสิตาภู เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์เสวยปลาเนื้อ และผลไม้พำนักอยู่ ณ บรรณศาลา พรหมทัตกุมารนั้นเห็นนางกินรีนางหนึ่ง มีจิตปฏิพัทธ์ คิดว่าจะเอานางกินรีนี้เป็นชายา จึงติดตามรอยเท้านางกินรีนั้นไป มิได้คำนึงถึงพระนางอสิตาภู พระนางอสิตาภูเห็นพรหมทัตกุมารตามนางกินรีไปทรงดำริว่า พรหมทัตกุมารนี้ตามนางกินรีไปมิได้คำนึงถึงเรา เราจะต้องการอะไรจากพรหมทัตกุมารนี้ มีพระทัยคลายรักเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ นมัสการแล้ว ให้บอกการบริกรรมกสิณแก่ตน เพ่งกสิณยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด นมัสการพระโพธิสัตว์กลับมายืนอยู่ที่ประตูบรรณศาลาของตน แม้พรหมทัตก็ติดตามนางกินรัไปเที่ยวหาก็มิได้พบแม้ทางที่นางกินรีนั้นไปหมดหวังจึงกลับมุ่งหน้ามาสู่บรรณศาลา พระนางอสิตาภูเห็นพรหมทัตกุมารเสด็จกลับมา ลอยขึ้นไปสู่เวหา ยืนบทพื้นอากาศมีสีดังแก้วมณี ตรัสว่า ข้าแต่โอรสเจ้า ข้าพเจ้าได้ความสุขนี้เพราะอาศัยท่าน แล้วกล่าวคาถาแรกว่า : พระองค์นั่นแหละได้กระทำเหตุนี้ในบัดนี้ หม่อมฉันปราศจากความรักในพระองค์แล้ว ความรักนั้นประสานกันอีกไม่ได้ ดุจงาช้างอันตัดขาดแล้วด้วยเลื่อยฉะนั้น ครั้นนางกล่าวฉะนี้แล้ว ได้เหาะไปในที่อื่น ทั้ง ๆ ที่พรหมทัตกุมารนั้นแลดูอยู่นั่นเอง พรหมทัตกุมาร ครั้นนางไปแล้วก็คร่ำครวญกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า : บุคคลผู้ปรารถนาเกินส่วนย่อมปราศจากประโยชน์ เพราะโลภเกินประมาณ และเพราะความเมาอันเกิดจากความโลภเกินประมาณ เหมือนเราเสื่อมจากนางอสิตาภู ฉะนั้น พรหมทัตกุมารทรงคร่ำครวญด้วยคาถานี้แล้วประทับพระองค์เดียวอยู่ในป่า เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว จึงเสด็จไปครองราชสมบัติ พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ราชบุตรและราชธิดาในครั้งนั้น ได้เป็นชนทั้งสองในครั้งนี้ ส่วนดาบส คือเราตถาคตนี้แล จบ อสิตาภุชาดก
Create Date : 18 มิถุนายน 2560 |
Last Update : 18 มิถุนายน 2560 11:42:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 740 Pageviews. |
|
|