ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
9 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
อภิธรรม 7 คัมภีร์ แปล

บทสวด พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ - บทสวด อภิธรรม 7 คัมภีร์ แปล
สำหรับบทแปลพระอภิธรรมจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย จัดทำโดยพระมหาพรชัย กุสลจิตโต วัดราชสิทธาราม บางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ มีดังนี้

ตามตำนานพระพุทธเจ้ายกขึ้นมาแสดงแก่พุทธมารดาฟังที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พร้อมเหล่าเทวดา คือ
1.พระสังคิณี ว่าด้วยเรื่องธรรมที่เป็นกุศล กับ อกุศล
2.พระวิภังค์ ว่าด้วยเรื่องขันธ์ 5
3.พระธาตุกถา ว่าด้วยเรื่องการสงเคราะห์ธรรม
4.พระปุคคะละปัญญัติ ว่าด้วยที่ตั้งของบุคคล
5.พระกถาวัตถุ ว่าด้วยความจริงแท้
6.พระยะมะกะ ว่าด้วยธรรมที่เป็นคู่
7.พระมหาปัฏฐาน ว่าด้วยที่ตั้งใหญ่

1.พระสังคิณี
กุสะลา ธัมมา
ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข มากามาวจรกุศลเป็นต้น
อกุสะลา ธัมมา
ธรรมที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นทุกข์ มีโลภมูลจิตแปดเป็นต้น
อัพยากะตา ธัมมา
ธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นจิตกลางๆ มีอยู่มีผัสสะเจตนาเป็นต้น
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัสมัง สะมะเย ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุขย่อมบังเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง จิตที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมนำสัตว์ให้ไปเกิดในกามภพทั้งเจ็ด คือมนุษย์ 1 สวรรค์ 6
อุปปันนัง โหติ
ย่อมบังเกิดมีแก่ปุถุชนผู้เป็นสามัญชน
โสมะนัสสะสะหะคะตัง
เป็นไปพร้อมกับจิตด้วย ที่เป็นโสมนัสความสุขใจ
ญาณะสัมปะยุตตัง
ประกอบพร้อมด้วยญาณเครื่องรู้คือปัญญา
รูปารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในรูป มีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
สัทธารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในเสียง มีเสียงท่านแสดงพระสัทธรรมเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
คันธารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในกลิ่นหอม แล้วคิดถึงการกุศล มีพุทธบูชาเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ระสารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในรสเครื่องบริโภค แล้วยินดีใคร่บริจาคเป็นทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
โผฏฐัพพารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในอันถูกต้อง แล้วก็คิดให้ทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ธัมมารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในที่เจริญพระสัทธรรมกรรมฐาน มีพุทธานุสสติเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ
อีกอย่างหนึ่งความปรารภแห่งจิต ก็เกิดขึ้นในอารมณ์ใดๆ
ตัสมิง สะมะเย ผัสโส โหติ
ความกระทบผัสสะแห่งจิต จิตที่เป็นกุศลก็ย่อมบังเกิดขึ้นในสมัยนั้น
อะวิกเขโป โหติ
อันว่าเอกัคคตาเจตสิกอันแน่แน่วในสันดานก็ย่อมบังเกิดขึ้น
เย วา ปะนะ ตัสมิง สะมะเย
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ก็ย่อมบังเกิดขึ้นในกาลสมัยนั้น
อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา
ธรรมทั้งหลายอาศัยซึ่งจิตทั้งหลายอื่นมีอยู่ แล้วอาศัยกันและกัน
ก็บังเกิดมีขึ้นพร้อม
อะรูปิโน ธัมมา
เป็นแต่นามธรรมทั้งหลายไม่มีรูป
อิเม ธัมมา กุสะลา
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข แก่สัตว์ทั้งหลายแล

2.พระวิภังค์
ปัญจักขันธา
กองแห่งธรรมชาติทั้งหลายมี 5 ประการ
รูปักขันโธ
รูป 28 มีมหาภูติรูป 4 เป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง
เวทะนากขันโธ
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขและเป็นทุกข์ เป็นโสมนัสและโทมนัส และอุเบกขา เป็นกองอันหนึ่ง
สัญญากขันโธ
ความจำได้หมายรู้ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ อันบังเกิดในจิต เป็นกองอันหนึ่ง
สังขารักขันโธ
เจตสิกธรรม 50 ดวง เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้คิดอ่านไปต่างๆ มีบุญเจตสิกเป็นต้นที่ให้สัตว์บังเกิด เป็นกองอันหนึ่ง
วิญญาณักขันโธ
วิญญาณจิต 89 ดวงโดยสังเขป เป็นเครื่องรู้แจ้งวิเศษมีจักขุวิญญาณ
เป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง
ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ กองแห่งรูปในปัญจขันธ์ทั้งหลายนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ยังกิญจิ รูปัง
รูปอันใดอันหนึ่ง
อะตีตานาคะตะปัจจุปันนัง
รูปที่เป็นอดีตอันก้าวล่วงไปแล้ว และรูปที่เป็นอนาคตอันยังมาไม่ถึง และรูปที่เป็นปัจจุบันอยู่
อัชฌัตตัง วา
เป็นรูปภายในหรือ
พะหิทธา วา
หรือว่าเป็นรูปภายนอก
โอฬาริกัง วา
เป็นรูปอันหยาบหรือ
สุขุมัง วา
หรือว่าเป็นรูปอันละเอียดสุขุม
หีนัง วา
เป็นรูปอันเลวทรามหรือ
ประณีตัง วา
หรือว่าเป็นรูปอันประณีตบรรจง
ยัง ทูเร วา
เป็นรูปในที่ไกลหรือ
สันติเก วา
หรือว่าเป็นรูปในที่ใกล้
ตะเทกัชฌัง อะภิวัญญูหิตวา
พระผู้มีพระภาคทรงประมวลเข้ายิ่งแล้วซึ่งรูปนั้นเป็นหมวดเดียวกัน
อะภิสังขิปิตวา
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่นย่อเข้ายิ่งแล้ว
อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ
กองแห่งรูปธรรมอันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่าเป็นรูปขันธ์ แล

3.พระธาตุกถา
สังคะโห
พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูปเข้าในขันธ์เป็นหมวด 1
อะสังคะโหฯ
พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งรูปธรรมทั้งหลายเข้าในขันธ์เป็นหมวด 1
สังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง
พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันสงเคราะห์แล้ว
อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง
พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์
สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง
พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันสงเคราะห์แล้ว
อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตังฯ
พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์
สัมปะโยโค
เจตสิกธรรมทั้งหลายอันประกอบพร้อมกับจิต 55
วิปปะโยโคฯ
เจตสิกธรรมทั้งหลายอันประกอบแตกต่างกันกับจิต
สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง
ประกอบเจตสิกอันต่างกัน ด้วยเจตสิกอันประกอบพร้อมกันเป็นหมวดเดียว
วิปปะยุตเตนะ สัมปะยุตตัง
ประกอบเจตสิกอันบังเกิดพร้อมกัน ด้วยเจตสิกอันต่างกันเป็นหมวดเดียว
อะสังคะหิตังฯ พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งธรรมอันไม่สมควรสงเคราะห์ให้ระคนกัน

4.พระปุคคะละปัญญัติ
ฉะ ปัญญัตติโย
ธรรมชาติทั้งหลาย 6 อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
ขันธะปัญญัตติ
กองแห่งรูปและนามเป็นธรรมชาติ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
อายะตะนะปัญญัตติ
บ่อเกิดแห่งตัณหา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันบัณฑิต
พึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
สัจจะปัญญัตติ
ของจริงอย่างประเสริฐ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นธรรมชาติ
อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
อินทริยะปัญญัตติ
อินทรีย์ 22 เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
ปุคคะละปัญญัตติ
บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
กิตตาวะตา ปุคคะลานัง
แห่งบุคคลทั้งหลายนี่มีกี่จำพวกเชียวหนอ
ปุคคะละปัญญัตติ
บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
สะมะยะวิมุตโต
พระอริยบุคคล ผู้มีจิตพ้นวิเศษเป็นสมัยอยู่ มีพระโสดาบันเป็นต้น
อะสะมะยะวิมุตโต
พระอริยบุคคล ผู้มีจิตพ้นวิเศษไม่มีสมัย มีพระอรหันต์เป็นต้น
กุปปะธัมโม
ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ย่อมกำเริบสูงไป
อะกุปปะธัมโม
ฌานที่เป็นเครื่องเผากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ย่อมไม่กำเริบ
ปะริหานะธัมโม
ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมเสื่อมถอยลง
อะปะริหานะธัมโม
ฌานที่เป็นเครื่องเผากิเลส อันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่เสื่อมถอย
เจตะนาภัพโพ
ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ไม่สามารถที่จะ
รักษาไว้ในสันดาน
อะนุรักขะนาภัพโพ
ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ก็ตามรักษาไว้ในสันดาน
ปุถุชชะโน
บุคคลที่มีอาสวะเครื่องย้อมใจ อันหนาแน่นในสันดาน
โคตระภู
บุคคลที่เจริญในพระกรรมฐานตลอดขึ้นไปถึงโคตรภู
ภะยูปะระโต
บุคคลที่เป็นปุถุชน ย่อมมีความกลัวเป็นเบื้องหน้า
อะภะยูปะระโต พระขีณาสะวะ
บุคคลผู้มีความกลัวอันสิ้นแล้ว
ภัพพาคะมะโน
บุคคลผู้มีวาสนาอันแรงกล้า สามารถจะได้มรรคและผลในชาตินั้น
อะภัพพาคะมะโน
บุคคลผู้มีวาสนาอันน้อย ไม่สามารถจะได้รับมรรคผลในชาตินั้น
นิยะโต
บุคคลผู้กระทำซึ่งปัญจอนันตริกรรม มีปิตุฆาตเป็นต้น
อะนิยะโต
บุคคลผู้มีคติปฏิสนธิไม่เที่ยง ย่อมเป็นไปตามยถากรรม
ปะฏิปันนะโก
บุคคลผู้ปฏิบัติมั่นเหมาะในพระกรรมฐาน เพื่อจะได้พระอริยมรรค
ผะเลฏฐิโต
บุคคลผู้ตั้งอยู่ในพระอริยผล มีพระโสดาบันปัตติผลเป็นต้นตามลำดับ
อะระหา
บุคคลผู้ตั่งอยู่ในพระอรหัตตผล เป็นผู้ควรแล้ว เป็นผู้ไกลแล้วจากกิเลส
อะระหัตตายะ ปะฏิปันโน
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงพระอรหัตตผล เป็นผู้ควรแล้ว เป็นผู้ไกลแล้วจากกิเลสฯ

5.พระกถาวัตถุ
ปุคคะโล
มีคำถามว่าสัตว์ว่าบุรุษว่าหญิงว่าชาย
อุปะลัพภะติ
อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่านเถิด
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ
โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้มีอยู่หรือ
อามันตา
มีคำแก้ตอบว่าจริง สัตว์บุคคลหญิงชายมีอยู่ฯ
โย
มีคำถามว่า ปรมัตถธรรมมีประการ 57 มีขันธ์ 5 เป็นต้นทั้งหลายเหล่าใด
สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ
เป็นปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผัน
ตะโต โส
โดยปรมัตถธรรมมีประการ 57 มีขันธ์ 5 เหล่านั้น
ปุคคะโล
ว่าเป็นสัตว์บุคคลเป็นหญิงเป็นชาย
อุปะลัพภะติ
อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ
โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้
แปรผันดังนี้มีอยู่หรือฯ
นะ เหวัง วัตตัพเพ
มีคำแก้ตอบว่า ประเภทของปรมัตถ์มีขันธ์ 5 เป็นต้น เราไม่มีพึงกล่าวเชียวหนอฯ
อาชานาหิ นิคคะหัง
ผู้ถามกล่าวตอบว่า ท่านจงรับเสียเถิด ซึ่งถ้อยคำอันท่านกล่าวแล้วผิด
หัญจิ ปุคคะโล
ผิแลว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย
อุปะลัพภะติ
อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ
โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผัน
เตนะ
โดยประการอันเรากล่าวแล้วนั้น
วะตะ เร
ดังเรากำหนด ดูก่อนท่านผู้มีหน้าอันเจริญ
วัตตัพเพ โย
ปรมัตถธรรมมีประการ 57 มีขันธ์ 5 เป็นต้น อันเราพึงกล่าว
สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ
เป็นอรรถอันกระทำในสว่างแจ้งชัด เป็นอรรถอันอุดม
ตะโต โส
โดยปรมัตถธรรมมีประการ 57 มีขันธ์ 5 เป็นต้นเหล่านั้น
ปุคคะโล
ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย
อุปะลัพภะติ
อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติฯ
โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้
มิจฉา
ท่านกล่าวในปัญหาเบื้องต้นกับปัญหาเบื้องปลาย ผิดกันไม่ตรงกันฯ

6.พระยะมะกะ
เย เกจิ
จิตและเจตสิกบางพวกทั้งหลายเหล่าใด
กุสะลา ธัมมา
ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
สัพเพ เต
จิตแลเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
กุสะลมูลา
เป็นมูลเป็นที่ตั้งของรากเหง้าแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ฯ
เย วา ปะนะ
อีกอย่างหนึ่ง จิตและเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น
กุสะลามูลา
เป็นมูลเป็นที่ตั้งของรากเหง้าแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
สัพเพ เต ธัมมา
ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
กุสะลา
ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ฯ
เย เกจิ
จิตและเจตสิกบางพวกทั้งหลายเหล่าใด
กุสะลา ธัมมา
ธรรมเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
สัพเพ เต
จิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
กุสะละมูลเลนะ เอกะมูลา เป็นมูลอันหนึ่งด้วยเป็นมูลเป็นที่ตั้งแห่งกุศลให้ผลเป็นสุข
อันบัณฑิตควรสะสมไว้แล้วฯ
เย วา ปะนะ
อีกอย่างหนึ่ง จิตและเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น
กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา
เป็นมูลอันหนึ่งด้วยเป็นมูลเป็นที่ตั้งห่างกุศลให้ผลเป็นสุข
อันบัณฑิตควรสะสมไว้
สัพเพ เต ธัมมา
ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวง
กุสะลา
ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ฯ

7.พระมหาปัฏฐาน
เหตุปัจจะโย
ความไม่โลภไม่โกรธไม่หลงเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัยเป็น
ปัจจัยให้เกิดในที่สุข
อารัมมะณะปัจจะโย
อารมณ์ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
อะธิปะติปัจจะโย
ธรรมที่ชื่อว่าอธิบดี 4 ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
อะนันตะระปัจจะโย
จิตอันกำหนดในวัตถุและรู้แจ้งวิเศษในทวารทั้ง 6 เนื่องกันไม่มีระหว่าง เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
สะมะนันตะระปัจจะโย
จิตอันกำหนดในวัตถุและรู้วิเศษในทวารทั้ง 6 พร้อมกัน ไม่มีระหว่าง เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
สะหะชาตะปัจจะโย
จิตและเจตสิกอันบังเกิดกับดับพร้อม เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
อัญญะมัญญะปัจจะโย
จิตและเจตสิกค้ำชูซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
นิสสะยะปัจจะโย
จิตและเจตสิกอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
อุปะนิสสะยะปัจจะโย
จิตเจตสิกอันเข้าไปใกล้อาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่อง
อาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
ปุเรชาตะปัจจะโย
อารมณ์ 5 มีรูปเป็นต้นมากระทบซึ่งจักษุ เป็นเครื่องอาศัย
เป็นปัจจัยให้บังเกิด
ปัจฉาชาตะปัจจะโย
จิตและเจตสิกที่บังเกิดภายหลังรูป เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
อาเสวะนะปัจจะโย ชะวะนะ
จิตที่แล่นไปส้องเสพซึ่งอารมณ์ต่อกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
กัมมะปัจจะโย
บุญบาปอันบุคคลกระทำแล้ว เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด ในที่ดีที่ชั่ว
วิปากะปัจจะโย
ละวิเศษแห่งกรรมอันบุคคลกระทำแล้ว เป็นเครื่องอาศัย
เป็นปัจจัยให้บังเกิดในที่ดีที่ชั่ว
อาหาระปัจจะโย
อาหาร 4 มีผัสสาหารเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
อินทริยะปัจจะโย
ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ ในตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เป็นเครื่อง
อาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
ฌานะปัจจะโย
ธรรมชาติเครื่องฆ่ากิเลส เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดในรูปพรหม
มัคคะปัจจะโย อัฏฐังคิกะ
มรรคทั้ง 8 มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัยเป็น
ปัจจัยให้บังเกิดในโลกอุดร
สัมปะยุตตะปัจจะโย จิตและเจตสิกอันบังเกิดสัมปยุตพร้อมในอารมณ์เดียวกันเป็นเครื่อง
อาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
วิปปะยุตตะปัจจะโย
รูปธรรมนามธรรมที่แยกต่างกัน มิได้ระคนกัน เป็นเครื่องอาศัย
เป็นปัจจัยให้บังเกิด
อัตถิปัจจะโย
รูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ดับ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย
เป็นปัจจัยให้บังเกิด
นัตถิปัจจะโย
เจตสิกที่ดับแล้ว เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้เกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบัน
วิคะตะปัจจะโย
จิตและเจตสิกที่แยกต่างกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้
บังเกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบัน
อะวิคะตะปัจจะโยฯ
จิตและเจตสิกที่ดับและมิได้ต่างกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้
บังเกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบันฯ.


Create Date : 09 กันยายน 2554
Last Update : 9 กันยายน 2554 13:12:54 น. 0 comments
Counter : 1605 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.