อาฬาวกยักษ์
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ในพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระเจ้าอาฬวี กษัตริย์แห่งอาฬวีนคร ทรงเป็นนักนิยมไพร ถือการล่าสัตว์ป่าเป็นกิจวัตร วันหนึ่ง เป็นยามเคราะห์ของพระเจ้าอาฬวี พระองค์จับม้าพระที่นั่งไล่ตามกวาง พลัดจากกองทหาร ติดตามกวางไปพระองค์เดียว แม้ม้าพระที่นั่งจะวิ่งจนหมดกำลังแล้ว ก็เสด็จลงจากหลังม้าวิ่งขับกวางต่อไปอีก แต่ไม่ทัน ทรงอ่อนพระทัย จึงเสด็จเข้าไปพักภายใต้ร่มไทรใหญ่แห่งหนึ่ง แต่บังเอิญไม้ไทรนั้นอยู่ในเขตหวงห้ามของอาฬวกยักษ์ ซึ่งได้ประทานพรจากท้าวเวสสวัณให้จับคนและสัตว์ที่พลัดเข้ามาในร่มไทรนี้กินได้ ดังนั้น พระเจ้าอาฬวีก็ตกอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องตกเป็นอาหารของอาฬวกยักษ์ด้วย แต่พระเจ้าอาฬวีมีความประสงค์จะรักษาพระชนมชีพไว้ก่อน จึงทรงขอผ่อนผันว่าถ้าปล่อยให้พระองค์กลับพระนคร พระองค์ก็จะส่งคนมาเป็นอาหารอาฬวกยักษ์วันละ ๑ คนทุกวัน อาฬวกยักษ์ก็ยินดียอมปล่อยพระเจ้าอาฬวีตามประสงค์ และเตือนให้รักษาสัญญาที่ทรงประทานไว้ เมื่อพระเจ้าอาฬวีเสด็จกลับถึงพระนครแล้ว ก็ทรงประชุมอำมาตย์ราชบริพาร ตรัสเล่าเรื่องของพระองค์ที่ถูกยักษ์จับ และจะต้องส่งคนไปให้อาฬวกยักษ์กินแทนวันละ ๑ คน ดังนั้น อำมาตย์ก็จัดการส่งนักโทษในเรือนจำ ไปให้อาฬวกยักษ์วันละ ๑ คน จนนักโทษในเรือนจำหมด สุดท้ายตกลงให้ส่งเด็กไปให้วัน ละ ๑ คนอีก ในที่สุดหาเด็กไปไม่ได้ เพราะชาวเมืองพากันอพยพพาลูกหลานไปอยู่ต่างเมือง อำมาตย์ก็ต้องจับพระโอรสของพระเจ้าอาฬวีส่งไป บังเอิญในราตรีก่อนวันที่เจ้าพนักงานจะจัดส่งพระโอรสของพระเจ้าอาฬวีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณ ยังทรงพระกรุณาเสด็จไปยังที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ โดยมุ่งพระทัยจะทรงทรมานอาฬวกยักษ์ให้สิ้นความดุร้าย ครั้นอาฬวกยักษ์กลับมาถึงวิมานในราตรีนั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็โกรธ ด้วยมานะทิฏฐิแรงกล้า เห็นไปว่าพระสมณโคดมมาลบหลู่หมิ่นเกียรติของตน แทนที่จะค่อยพูดค่อยถามไถ่ถึงเหตุที่มาถึงที่อยู่ ในฐานะที่ตนเป็นเจ้าของ กลับอหังตึงตังเข้าใส่พระบรมศาสดา ถึงกับใช้อาวุธร้ายแรง ตามสันดานของพวกอสูรที่ไม่ใช้คุณธรรม หากแต่ด้วยพุทธานุภาพ อาวุธทุกชนิดที่อาฬวกยักษ์ใช้ไม่เป็นผล กลายเป็นเครื่องสักการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียอีก ในที่สุดยักษ์ผู้ดุร้ายก็หมดฤทธิ์ หยุดราวี เพียงแต่ใช้วาจาเรียกพระบรมศาสดาให้ออกจากวิมานของตนเสีย ครั้งนั้นแล อาฬวกยักษ์เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กล่าวว่า ท่านจงออกมา สมณะ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีแล้วผู้มีอายุ แล้วก็เสด็จออกมา ฯ ยักษ์กล่าวว่า ท่านจงเข้าไป สมณะ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีแล้วผู้มีอายุ แล้วก็เสด็จเข้าไป ฯ แม้ครั้งที่ ๒ ยักษ์กล่าวว่า ท่านจงเข้าไป สมณะ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีแล้วผู้มีอายุ แล้วก็เสด็จเข้าไป ฯ แม้ครั้งที่ ๓ อาฬวกยักษ์ได้กล่าวว่า ท่านจงเข้าไป สมณะ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีแล้วผู้มีอายุ แล้วก็เสด็จเข้าไป ฯ ครั้นครั้งที่ ๔ อาฬวกยักษ์ได้กล่าวว่า ท่านจงออกมา สมณะ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ผู้มีอายุ เราจักไม่ออกไปละท่านจะทำอะไรก็จง ทำเถิด ฯ สมณะ เราจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านพยากรณ์แก่เราไม่ได้ เราจักทำ จิตของท่านให้ฟุ้งซ่าน หรือฉีกหัวใจของท่าน หรือจักจับที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปยังแม่น้ำ คงคาฝั่งโน้น ฯ อาวุโส เราไม่เห็นใครเลยในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ที่จะพึงทำจิตของเราให้ฟุ้งซ่านได้ หรือขยี้หัวใจของเรา หรือจับเราที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปยังแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น เอาเถิด อาวุโส เชิญถามปัญหาตามที่ท่านจำนงเถิด ฯ อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า - อะไรหนอ เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของคนในโลกนี้ - อะไรหนอที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ - อะไรหนอเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย - นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่อย่างไร ว่าประเสริฐสุด ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า - ศรัทธาเป็นทรัพย์ อันประเสริฐของคนในโลกนี้ - ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว นำความสุขมาให้ - ความสัตย์แลเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย - นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าประเสริฐสุด ฯ อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า -คนข้ามโอฆะได้อย่างไรหนอ - ข้ามอรรณพได้อย่างไร - ล่วงทุกข์ได้อย่างไร บริสุทธิ์ได้อย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า - คนข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา - ข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท - ล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร - บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ฯ อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า - คนได้ปัญญาอย่างไรหนอ - ทำอย่างไรจึงจะหาทรัพย์ได้ - คนด้ชื่อเสียงอย่างไรหนอ - ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้ - คนละโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ทำอย่างไรจึงจะไม่เศร้าโศก ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า - บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ เพื่อบรรลุนิพพาน ฟังอยู่ด้วยดีย่อมได้ปัญญา - เป็นผู้ไม่ประมาท มีวิจาร คนทำเหมาะเจาะ ไม่ทอดธุระ เป็นผู้หมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้ - คนย่อมได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ - บุคคลใดผู้อยู่ครองเรือนประกอบด้วยศรัทธา มีธรรม ๔ ประการนี้ คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ บุคคลนั้นแล ละโลกนี้ไปแล้วย่อมไม่เศร้าโศก เชิญท่านถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากเหล่าอื่นดูซิว่า ในโลกนี้มีอะไรยิ่งไปกว่าสัจจะ ทมะ จาคะและขันติ ฯ อาฬวกยักษ์กราบทูลว่า ทำไมหนอ ข้าพเจ้าจึงจะต้องถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากในบัดนี้ วันนี้ข้าพเจ้ารู้ชัดถึงสัมปรายิกประโยชน์ พระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่เมืองอาฬวี เพื่อประโยชน์แก่ข้าพเจ้าโดยแท้ วันนี้ข้าพเจ้ารู้ชัดถึงทานที่บุคคลให้ในที่ใดมีผลมาก ข้าพเจ้าจักเที่ยวจากบ้านไปสู่บ้าน จากบุรีไปสู่บุรี พลางนมัสการพระสัมพุทธเจ้าและพระธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ดี ฯ พระพุทธองค์ทรงทรมานอาฬวกยักษ์ตั้งแต่ย่ำค่ำจนรุ่งราตรี จึงสามารถยังจิตใจอาฬวกยักษ์ให้ยินดีในอริยธรรมตามพุทธประสงค์ได้ในเช้าวันนั้น ก็พอดีกับราชบุรุษพระนครอาฬวีอุ้มเอาพระราชกุมาร โอรสของพระเจ้าอาฬวีมาให้อาฬวกยักษ์กินเป็นอาหาร อาฬาวกยักษ์รับเอาพระกุมารแล้วก็น้อมเข้าถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับกราบทูลว่า ข้าพระองค์ขอน้อมถวายพระราชกุมารน้อยนี้ ซึ่งพระเจ้าอาฬวีส่งมาเป็นอาหารของข้าพระองค์ ด้วยข้าพระองค์เว้นขาดจากเบญจเวรสิ้นเชิงแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับพระราชกุมารแล้วตรัสอนุโมทนาแก่อาฬวกยักษ์ และทรงอวยพรแก่พระราชกุมาร พร้อมกับประทานคืนให้แก่อำมาตย์ นำพระราชกุมารกลับคืนไปยังเมืองอาฬวี เพื่อถวายแก่พระเจ้าอาฬวี ครั้นความข้อนั้นทราบถึงเจ้าเมืองอาฬวีแล้ว ชาวเมืองทั้งสิ้นต่างก็พากันมีความยินดี พากันจัดเครื่องสักการะต่างๆนำไปบูชา ขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็ทรงพระกรุณาพาอาฬวกยักษ์มายังพระนครอาฬวี พอถึงสถานที่ครึ่งทางสัญจรก็ได้พบชาวพระนครมีพระเจ้าอาฬวีเป็นประมุข น้อมนำสักการะมาเฝ้าถวายอภิวาท สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงหยุดประทับรับสักการบูชา พร้อมกับทรงประทานพระธรรมเทศนาโปรด ให้ชาวเมืองอาฬวีเห็นทุกข์เห็นโทษในเบญจธรรม และให้ชาวพระนครตั้งอยู่ในกัลยาณธรรมตามสมควรแก่วิสัย และปลุกให้ชาวเมืองเกิดความเมตตาปรานีกันทั่วหน้า และให้ถืออาฬวกยักษ์ประหนึ่งว่าเป็นเทพรักษ์หลักพระนคร ครั้นประทานธรรมคุณากรสิ้นสุดลง พระพุทธองค์ก็เสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร
Create Date : 26 สิงหาคม 2560 |
Last Update : 26 สิงหาคม 2560 21:43:00 น. |
|
0 comments
|
Counter : 572 Pageviews. |
|
|