พร๑๐ประการที่พระอินทร์ประทาแก่พระนางผุสดี
เรื่องราวในพระชาติสุดท้าย อันเป็นการบำเพ็ญทาน บารมีของพระบรมโพธิสัตว์นั้น พึงทราบโดยสังเขป ดังนี้ ในอดีตกาล บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พระนางผุสดีเทพธิดาได้ทูลขอพร ๑๐ ประการ ดังนี้ ๑. ขอให้มีจักษุงามดุจนางเนื้อที่เกิดได้เพียงปีเดียว มีแววตาดำสนิท ๒. ขอให้มีขนคิ้วโค้งงอนงาม ประหนึ่งพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้า ทิศปัจฉิม (ทิศตะวันตก) ๓. ขอให้มีนามว่า ผุสดี เหมือนเดิม เพื่อระลึกถึง ความหลัง ๔. ขอให้ได้บุตรผู้เลิศด้วยคุณ เป็นที่พึ่งแก่คนยากไร้ มีเกียรติยศปรากฏทั้งเป็นที่นับถือของ ชาวเมืองต่าง ๆ ด้วย ๕. ยามทรงพระครรภ์ ขออย่าให้ปรากฏนูนโย้เย้ เหมือนสตรีทั่วไป ขอให้มีสัณฐานโอนน้อย ๆ เหมือนคันศรฉะนั้น ๖. ขอให้ปทุมถันทั้งคู่มีสัณฐานงดงามสมส่วน งามเหมือนดอกบัวตูมอยู่ชั่วนิรันดร์ ๗. ขออย่าให้มีผมหงอกแม้แต่เส้นเดียวบนเศียรของหม่อมฉัน ๘. ขอให้ฉวีวรรณตลอดเรือนกายอย่ามีตำหนิ แม้ แต่น้อย ๙. ขอให้หม่อมฉันมีอำนาจในการลดโทษแก่ผู้ประมาท แล้วให้พ้นจากการประหาร ๑๐. ขอให้ได้เป็นมเหสีของพระราชาแคว้นสีพีราษฎร์ อันสมบูรณ์ด้วยทรัพย์และเกียรติยศ พระอินทร์ได้ให้พรทั้ง ๑๐ ประการดังกล่าว เมื่อพระนางผุสดีเทพธิดาได้รับพรจากพระอินทร์ผู้เป็นพระสวามีแล้ว จึงจุติลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ เป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราช ต่อมาได้รับอภิเษกให้เป็นมเหสี ของพระเจ้าสญชัยแห่งสีพีรัฐนคร ได้ประสูติพระโอรสองค์หนึ่ง ซึ่งพระประยูรญาติถวายพระนามว่า พระเวสสันดร พระเวสสันดรมีอัธยาศัยดีงาม มีน้ำพระทัยมากด้วย เมตตากรุณา บริจาคทานเนืองนิตย์ พระองค์ทรงบริจาคทุกอย่างที่คนขอ ครั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ได้อภิเษกสมรสกับพระนางมัทรี พระราชธิดาของราชวงศ์กษัตริย์มัททราช มีพระโอรส ๑ องค์ พระนามว่า ชาลี และพระธิดาอีก ๑ องค์ พระนามว่า กัณหา ด้วยทรงมีน้ำพระทัยมากไปด้วยเมตตากรุณานี้เอง ครั้งหนึ่งได้ประทานช้างเผือกคู่บ้านคู่เมือง ชื่อว่า ช้างปัจจัย-นาค แก่พราหมณ์ชาวกาลิงคะ ซึ่งพระเจ้ากาลิงคะมหากษัตริย์ แห่งกาลิงครัฐทรงส่งมาทูลขอเพื่อนำไปเป็นสิริมงคลแก่เมืองกาลิงคะ ที่ฝนแล้งมานานหลายปี การบริจาคครั้งนี้ ทำให้ประชาชนเมืองสีพีไม่พอใจพระองค์อย่างมาก พากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าสญชัยกราบทูลขอให้ขับไล่พระเวสสันดรออกจากบ้านเมืองไปเสีย พระราชบิดาจึงต้องจำพระทัยเนรเทศตามมติของประชาชน พระนางมัทรี กับชาลี กัณหา พระโอรสธิดาทั้งสองพระองค์ ก็พากันออกจากพระนครไปตามพระเวสสันดร แต่ก่อนจะออกจากพระนคร พระเวสสันดรยังทูลขอพระราชทานโอกาสยับยั้งอยู่เพื่อบำเพ็ญสัตตกมหาทาน คือ ให้ของ ๗ สิ่งอย่างละ ๗๐๐ เป็นพิเศษ จากนั้นก็ทรงพาพระนางมัทรีไปทูลลาพระชนกและพระชนนี เพื่อออกไปบำเพ็ญพรตเป็นฤาษีและฤาษิณีอยู่เขาวงกต แม้พระเจ้ากรุงสญชัยจะขอให้พระนางมัทรีกับพระโอรสและพระธิดาอยู่ แต่พระนางมัทรีก็ไม่ทรงยอม ทั้งไม่ทรงยอมให้พระโอรสและพระธิดา อยู่ด้วย ขณะที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี พร้อมด้วยพระโอรสและพระธิดาทั้งสอง เสด็จออกพระนครด้วยรถม้าพระที่นั่ง ยังไม่ทันพ้นเขตชานพระนคร ก็มีพราหมณ์วิ่งตามมาทูลขอรถม้าพระที่นั่ง พระเวสสันดรก็ประทานให้แล้วต่างองค์ ก็ทรงอุ้มพระโอรสพระธิดาดำเนินเข้าสู่ป่าใหญ่ด้วยพระบาท โดยตั้งพระทัยไปเขาวงกต การเสด็จไปสู่เขาวงกตครั้งนี้ พระเวสสันดรได้รับความเอื้อเฟื้อจากกษัตริย์เจตราชผู้ที่ถวายคำแนะนำเรื่องหนทางอย่างดี ระหว่างทางยังได้รับการปรนนิบัติอย่างดีจากนายพรานเนื้อชื่อว่า เจตบุตร ในที่สุดก็ลุถึงเขาวงกต กษัตริย์ ทั้งสี่พระองค์ได้ผนวชเป็นฤาษีและฤาษิณี บำเพ็ญพรตอยู่ในอาศรมเป็นเวลานับได้ ๗ เดือน กล่าวถึงชูชก พราหมณ์ผู้ชำนาญในการขอแห่งหมู่บ้านทุนวิฐะ ในแคว้นกาลิงคะได้นำทรัพย์ที่ขอมาไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมียคู่หนึ่ง แต่ผัวเมียคู่นี้กลับเอาทรัพย์ของชูชกไปใช้จนหมดเกลี้ยง เมื่อชูชกทวง จึงจำต้องยกนาง อมิตตาลูกสาวให้ชูชก เพื่อทดแทนเงินที่เอาไปใช้ ชูชกถูกเมียสาวยุยงให้ไปขอชาลีกับกัณหาพระโอรสและพระธิดาของพระเวสสันดรมาเป็นทาสรับใช้ จึงมุ่งหน้าไปเขาวงกตเพื่อทำตามความต้องการของนางอมิตตา ครั้นพบกับพรานเจตบุตร ก็ใช้กุโลบายหลอกล่อจนพรานเจตบุตร หลงเชื่อ บอกทางไปสู่เขาวงกตแก่ตน เมื่อเดินทางไปตามคำแนะนำของพรานเจตบุตร ก็พบท่านอจุตฤาษีที่อาศรม และ ได้ลวงอจุตฤาษีว่าเป็นกัลยาณมิตรกับพระเวสสันดร จากนั้น ก็ขอร้องให้อจุตฤาษีบอกทางไปอาศรมของพระเวสสันดร เมื่อ ได้รับคำแนะนำจากฤาษีเป็นอย่างดีแล้วจึงนมัสการลาไป ครั้นชูชกมาถึงอาศรมของพระเวสสันดรที่เขาวงกต อาศัยเวลาที่พระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ จึงเข้าไปขอพระโอรส และพระธิดากับพระเวสสันดร ก่อนที่พระเวสสันดรจะได้ประทานให้ตามความประสงค์ พระองค์ทรงชี้แจงให้พระโอรส และพระธิดาทราบถึงการบำเพ็ญทานที่ยิ่งใหญ่ พร้อมกับทรง ตั้งราคาค่าไถ่พระโอรสและพระธิดาไว้สูงมาก เมื่อพระนางมัทรีทราบเรื่องก็ทรงเสียพระทัย เศร้าโศกอย่างมาก พระเวสสันดรทรงปลอบประโลมให้สร่างโศก แล้วชี้แจงถึงการบำเพ็ญทานบารมี พระนางจึงอนุโมทนาการบริจาคที่กระทำได้แสนยากครั้งนี้ด้วย เพื่อให้การบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรครบบริบูรณ์ยิ่งขึ้น พระอินทร์จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปทูลขอพระนางมัทรีกับพระเวสสันดร ฝ่ายพระเวสสันดรถึงแม้จะทรงรักพระนางมัทรีดังดวงเนตร แต่เพื่อให้การบำเพ็ญบารมี อันเป็นหนทางไปสู่พุทธภูมิสมบูรณ์ จึงยอมสละพระนางมัทรี พระนางมัทรีเองเมื่อเข้าใจเป้าหมายดังกล่าว ก็อนุโมทนาด้วย ถึงแม้จะต้องจากพระสวามีไปก็ตาม ฝ่ายพระอินทร์แปลงก็ถวายพระนางมัทรีคืนแก่พระเวสสันดร แสดงตนว่าเป็นพระอินทร์อนุญาตให้พระเวสสันดรทูลขอพรได้ตามต้องการ ครั้นประทานพรแก่พระเวสสันดรแล้วก็เสด็จกลับเทวโลก พร ๘ ประการที่พระอินทร์ประทานแก่พระเวสสันดร ดังนี้ ๑. ขอให้พระบิดาหายโกรธ และออกมารับกลับเข้าเมือง ๒. ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษพ้นจากพันธนาการ ๓. ขอให้มีพระราชทรัพย์ เพื่อพระราชทานแก่คนยากจน ๔. ขอให้อย่าลุอำนาจสตรี ประพฤติผิดในภรรยาของผู้อื่น ๕. ให้มีพระโอรส มีเกียรติยศ ปราบข้าศึกศัตรูให้พ่ายแพ้ได้ทุกครั้ง ๖. ขอให้ฝนแก้ว ๗ ประการตกลง ประทานความ อยู่เย็นเป็นสุขทั่วพระนคร ๗. เมื่อสวรรคตแล้ว ขอให้อุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต จากนั้น ๘. ขอให้จุติในโลกมนุษย์ เพื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาล ฝ่ายชูชกได้พาพระชาลีกุมารและพระกัณหากุมารี เดินทางออกจากป่า การเดินทางกับชูชกทำให้พระโอรสและพระธิดาทั้งสองได้รับความลำบากมาก เทพเจ้าได้ดลใจให้ ชูชกหลงทางเดินมุ่งหน้าเข้าสู่นครสีพี พระเจ้ากรุงสญชัยทรงทราบ จึงโปรดให้เบิกพระราชทรัพย์มาไถ่พระชาลีกุมารและพระกัณหากุมารีตามราคาที่พระเวสสันดรตั้งไว้ พร้อมทั้งพระราชทานทรัพย์อื่น ๆ แก่ชูชกอีกเป็นจำนวนมาก ฝ่ายชูชก โลภมาก บริโภคอาหารจนเกินพอดี ทำให้อาหารไม่ย่อย และสิ้นชีวิตในที่สุด พระเจ้ากรุงสญชัยรับสั่งให้จัดเหล่าโยธากระบวนทัพพาไพร่พลมุ่งไปยังเขาวงกต เพื่ออัญเชิญพระเวสสันดร และ พระนางมัทรีกลับคืนสู่พระนคร ขณะนั้น ฝ่ายพระเจ้ากาลิงคะก็โปรดให้พราหมณ์นำช้างปัจจัยนาคมาคืน พระเจ้า กรุงสญชัยจึงรับสั่งให้นำช้างปัจจัยนาคเข้ากระบวนทัพด้วย เมื่อกษัตริย์ทั้งหกพระองค์ คือ พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลีกุมาร และพระกัณหากุมารี พบกันกลางป่าใหญ่ ก็ทำให้บังเกิดความดีใจและเสียใจพร้อม ๆ กัน ได้ทรงกันแสงจนถึงวิสัญญีภาพ คือสลบไปทุกพระองค์ พระอินทร์จึงทรงดลบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงในที่ประชุมนั้น ทำให้กษัตริย์ทั้งหกต่างฟื้นคืนสมปฤดีแล้ว ขอพระราชทานอภัยโทษ จากพระเวสสันดรและทูลเชิญพระเวสสันดรกลับคืนสู่พระนคร ในที่สุด พระเวสสันดรและพระนางมัทรีก็ลาผนวชเสด็จกลับสู่พระนครสีพีด้วยพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ และต่อมาได้เสด็จเถลิงราชสมบัติปกครองพระนครสีพีโดยทศพิธ- ราชธรรม ทำให้ประชาชนได้รับสันติสุขตลอดพระชนมายุ เมื่อพระเวสสันดรสิ้นพระชนม์แล้วก็ไปบังเกิดเป็น สันดุสิตเทพบุตร บนสวรรค์ชั้นดุสิต
Create Date : 08 พฤษภาคม 2560 |
Last Update : 8 พฤษภาคม 2560 9:53:18 น. |
|
0 comments
|
Counter : 792 Pageviews. |
|
|