บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ 13 : เชื่อเรื่องดวงด้วย...

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)



...
“พี่จุง บอกตามตรงเลยนะ เจนนะ ไม่ชอบขี้หน้าลูกน้องพ่อเจนคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานแล้ว...”

“เขาไปทำอะไรให้เจนหละ...”

“เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เจนหรอก เราไม่ค่อยมีงานที่จะเกี่ยวข้องกันสักเท่าไหร่ แต่การบ้านพี่นั่นแหละ ทำให้เจนต้องเข้าไปคุยกับหัวหน้างานเกือบทุกคนเลยก็ว่าได้...”

“นั่นแหละสิ่งที่พี่อยากให้เจนทำ ไปคุยแล้วเป็นไงบ้าง”

“เครียร์ได้หลายอย่างแล้วพี่... แต่เจอกับคนนี้สิ...บอกตรงๆเลยว่า ไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยเลย คุยได้ไม่กี่คำ แล้วเสียอารมณ์”

“ใจเย็นๆ ติดต่อกับคนก็อย่างนี้แหละ... เราอายุเท่าไหร่แล้ว...”

“26 พี่ ถามทำไมค่ะ...”

“ก็ถามดูนะ แล้ว คนที่เรามีปัญหาด้วยอายุเท่าไหร่...”

“เขาแก่กว่าเจนค่ะ น่าจะประมาณ 32 ปีนะค่ะ”

“แล้วคนอื่นที่ไปคุยมานะอายุเท่าไหร่บ้างหละ”

“50 กว่าก็ยังมีเลยค่ะ ทุกคนอายุมากกว่าเจนทั้งนั้นพี่”

“พี่ว่า ดวงของเธอ กับ คนที่มีปัญหาด้วยมันชงกันนะ...”

“พี่เชื่อเรื่องดวงด้วยหรือค่ะ…”

“ก็ต้องเชื่อไว้บ้าง... อย่างน้อยเราก็จะได้หาทางแก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง... เรากับคนที่มีปัญหาด้วยนะ ปีมันชง กันพอดีเลย...”
มีเสียงหัวเราะเล็กๆ รอดผ่านสายโทรศัพท์มาด้วย...

“ไม่น่าเชื่อว่าพี่เชื่อเรื่องดวงด้วย... แล้วพี่รู้ได้อย่างไรว่า ปีเจนกับเขาชนกัน...”

“พี่ก็ต้องรู้สิ เอาง่ายๆคนที่อายุ ต่างกัน 6 ปี ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยลงรอยกัน”

“จริงหรือค่ะ... พี่ไปเอาวิธีคิดมาจากไหน...?”

“ตำราหมอดูของจีนนะ”
...
การทำงานเกี่ยวกับคน ก็ควรจะศึกษาเรื่องคนไว้บ้าง ผมก็ศึกษาการดูดวงแบบจีนคร่าวๆ ไว้เช่นกัน ซึ่งผมพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่า คนที่เกิดปีชงกับผมนั้น ส่วนใหญ่จะทำงาน หรือ ใช้ชีวิตที่ตรงข้ามกับผม ดังนั้น ความขัดแย้งระหว่างกันจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างมาก




ปีชง หมายถึง คู่ปีเกิดที่ไม่ถูกกัน ซึ่งมีหลักการในการดูง่ายๆ คือ คนที่อายุต่างกัน 6 ปี ถ้านับตามปีเกิด ก็คือปีที่อยู่ตรงข้ามกัน ผมเรียกว่า 6 คู่พิฆาต คือ

ปี ชวด ไม่ถูกกับ ปี มะเมีย
ปี ฉลู ไม่ถูกกับ ปี มะแม
ปี ขาล ไม่ถูกกับ ปี วอก
ปี เถาะ ไม่ถูกกับ ปี ระกา
ปี มะโรง ไม่ถูกกับ ปี จอ
ปีมะเส็ง ไม่ถูกกับ ปี กุล


ซึ่งตารางนี้สามารถหาดูได้ตามปฏิทินจีน ที่มีการดูดวงไว้ครับ


แต่การไม่ถูกกันของคนนั้น มันขึ้นกับ เดือนเกิด วันเกิด และ เวลาเกิด ด้วยว่า ถูกกัน หรือ ไม่ถูกกัน มากน้อยเพียงใด แต่หลักใหญ่อยู่ที่ปีเกิด ซึ่ง ความขัดแย้งระหว่างปีเกิดนั้น มีความรุนแรงมากกว่า และ ส่งผลให้คนเรานั้น รู้สึกถูกชะตา หรือ ไม่ถูกชะตา กันเป็นส่วนใหญ่

มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่เกิดปีตรงข้ามกับผม ซึ่งก็คบหากันดี มีบ้างที่ไม่ค่อยลงลอยกัน แต่ก็ปล่อยวางกันทั้งคู่ ไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ก็เหมือนเพื่อนสนิททั่วๆไปครับ ไปกิน ไปเที่ยว ทำกิจกรรม หรือ ทำงานบางอย่างร่วมกันได้ไม่มีปัญหาใดๆ แต่บางครั้งไม่เชื่อเรื่องดวงเลยก็ไม่ได้ อย่างผมเอง เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง สัมภาษณ์น้องที่เกิดปีชง กับผม แล้วรู้สึกว่า น้องคนนี้น่าสนใจ ก็เลยรับเข้ามาทำงาน ผลปรากฎว่า ความรู้สึกแรกว่าน่าสนใจ กลับทำให้ผมปวดหัวกับการทำงานของน้องเขาอย่างมาก เราทำงานคนละแนวทาง ถึงแม้นว่า น้องเขาจะมีความตั้งใจทำงานอย่างมากก็ตาม

ผมอธิบายให้เจนฟังอย่างง่ายๆ ว่าคนเกิดต่างกัน 6 ปีส่วนใหญ่ไม่ค่อยถูกกัน คราวนี้ เจนกลับอยากฟัง ซักใหญ่เลย...

...
“พี่จุง ไม่น่าเชื่อนะว่าผู้บริหารรุ่นใหม่อย่างพี่เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย”

“พี่นะไม่ใหม่หรอก แก่แล้ว พี่เรียนรู้จะได้เอามาใช้กับงานนะ”

“พี่จุงเอามาใช้กับงาน ใช้ยังไงค่ะ”

“อย่างแรกก็เอามารับสมัครคนว่า เขาจะขัดแย้งกับเราหรือส่งเสริมเรา อย่างที่สองก็เอามาใช้กับนิสัยของแต่ละคนว่าเขามีพื้นฐานของนิสัยตามดวงอย่างไรนะ...”

“เจนว่า พี่เวอร์ไปหรือเปล่า... อย่างพี่หรือจะเลือกคนจากดวง...”

“มันก็ต้องมีประกอบบ้างสิ อย่างถ้ามี 2 คนที่เข้ารอบมาให้เลือก ฝีมือสูสีกัน พี่ก็ต้องเลือกคนที่สนับสนุนพี่สิ... ใช่ไม๊...”

“อะไรวุ๊ย... เจนว่าพี่ไม่มีแววของคนที่เชื่อเรื่องนี้เลยนะเนี่ย... แล้วพี่ดูดวงอย่างอื่นได้ไม๊ อย่างเช่นเนื้อคู่อะไรประเภทนี้นะ”

“เรามีแฟนแล้วยังจะถามเรื่องเนื้อคู่อีกหรอ...”

“ก็อยากรู้นะพี่ว่า แฟนคนนี้นะเนื้อคู่หรือเปล่า...”

“ถ้าจะให้ดูว่าแฟนนะสมพงษ์ขนาดไหนก็ดูได้บ้าง”

“แล้วพี่ต้องรู้อะไรบ้างหละ”

“เอาแต่ปีมาละกัน ดูแบบคร่าวๆให้”

“ปีมะแม กับ ปีมะเมีย อันนี้เข้ากันได้ไม๊ค่ะ”

“แหมคู่สร้างคู่สมกันเลยนะ อันนี้เข้ากันได้ดีเลยจ๊ะ”

“แล้วถ้าผู้ชายปีเถาะ หละค่ะ”

“แฟนมีหลายคนหรือยะ...”

“ก็คนสวยยังไงแล้วก็ต้องมีเผื่อเลือกไว้บ้างสิ...”

“เบื่อคนสวยจริงๆเลย... คนนี้ก็เข้ากันได้ดี ถ้ามีลูกปีกุลนะ จะยิ่งส่งเสริมทั้งพ่อและแม่เลยหละ...”

“แล้วถ้า ปีมะโรงหละ”

“ตกลงว่า น้องสาวมีแฟนกี่คน...”

“เอาน่าบอกหน่อย”

“ก็ไม่ขัดแย้ง แต่เป็นธาตุเดียวกัน มีทะเลาะกันนิดหน่อยแต่ก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้”

“อื้อ... ก็เข้าเค้านะพี่ แล้ว 3 คนนี้พี่ว่าคนไหนดีที่สุด”

“จะบ้าแล้วหรือ... คนที่ดีที่สุด เธอก็ต้องเลือกเองสิ มาถามพี่ๆจะรู้หรือ...”

“ก็เอาตามดวงนะพี่ว่าใครที่เข้าได้กับเจนมากที่สุดนะ”

“ถ้าตามปีนะ ก็ต้องให้ มะเมีย มาเป็นอันดับ 1 เพราะเข้ากันได้ดี เถาะ มาอันดับ 2..”

“จริงหรอ... แต่มะเมียอายุน้อยกว่าไม่ค่อยเป็นผู้ใหญ่เลยนะพี่... เจนชอบผู้ใหญ่ๆนะ...”

“พี่ดูให้เฉยๆ ไม่ได้เลือกคนให้นะ...”

“พี่จุง แล้วพี่จุงดูอย่างไรค่ะว่า แฟนเจน คนปีเถาะ ดีกว่า คนปีมะโรง”
...

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





[ บทความใน At Office ] - [ บทความใน JobsDB.com ]

[ บทความทั้งหมด ] - [ บทความล่าสุด / สมุดเยี่ยมเยือน ]




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 13:12:14 น.
Counter : 3399 Pageviews.  

ตอนที่ 12 : “อยากเปลี่ยนระบบงานของพ่อจัง...”

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)



“พี่จุง... ทำไงให้พ่อเจนยอมรับเจนซะทีหละ...”

“พี่ว่า... เจนทำอย่างไรให้พ่อยอมรับไม่ดีกว่าหรือ...”

“พี่จุงงะ... คุยดีๆนะ ยังมายวนกันอีก...”

“พี่ก็บอกตามที่พี่คิดแหละ ไม่ได้ ญวน นะไทย-จีน จ๊ะ...”

“อย่างนั้น เจนต้องทำอย่างไรเพื่อให้พ่อเจนยอมรับหละ...”
...
น้องเจนเขาเพิ่งออกจากงานมา และ มาทำงานกับคุณพ่อ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติของความขัดแย้งระหว่าง วัย ที่ต่างกันมาก ความแตกต่างของประสบการณ์ การดำเนินการ รวมทั้ง สูตรความสำเร็จของรุ่นพ่อ กับ สูตรความสำเร็จของรุ่นลูกนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยจะเข้ากันได้สักเท่าไหร่ ยิ่งเจนเป็นคนที่ไฟแรง และ ชอบทำอะไรแบบฝรั่งจ๋า ซึ่งต่างกับคุณพ่อของเจน ที่ออกจะไปทางจีนแท้ๆ
ผมเริ่มวิเคราะห์เจนให้มากขึ้นเพื่อจะได้หาหนทางที่ดีที่สุดในสภาวะของเจนเอง และ แล้วผมก็ต้องสะดุดกับคำพูดของเจน

...
“เจนว่า พ่อนะเขาหัวโบราณมากเลยนะค่ะ แถมยังทำอะไรแบบไม่มีหลักการณ์อีก”

“พี่ว่าไม่นะ เพราะถ้าพ่อเจน หัวโบราณจริง เขาไม่ส่งเจนไปเรียนที่ อ๊อส หรอก”

“พี่นะไม่รู้อะไร พ่อเขาส่งเจนไปออสเตรเลียพร้อมกับลูกสาวเพื่อนเขานะ... พ่อไม่ได้ตั้งใจส่งไปจริงๆหรอก”

“เคยถามพ่อเจน แล้วหรือ...?”

“ไม่ต้องถามเลย... ก็เห็นอยู่ว่าเขาส่งไปพร้อมกับลูกสาวเพื่อนพ่อ...”
...
การคิดไปเอง เป็นอันตรายต่อความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างมาก เมื่อถึงจุดนี้ ผมถึงเข้าใจว่า จริงๆน้องเขาเป็นคนที่ชอบคิดไปเอง คิดว่าคนนั้นคิดกับเขาอย่างนี้ คนนี้เขาคิดกับเขาอย่างนั้น ซึ่งแน่นอน น้องเจนคงคิดไปเองว่า คุณพ่อเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แน่นอน... และผมก็มีนิสัยที่ไม่ชอบฟังความข้างเดียวเสียด้วยสิ... ต้องฟังทั้งสองฝ่ายว่าเป็นอย่างไร ค่อยมาตัดสินดีกว่า...

...
“คบกันมาตั้งนานแล้ว พี่ยังไม่เคยไปโรงงานของพ่อเจนเลยนะ...”

“มาสิพี่... พี่จะมาวันไหน? มาช่วยเจน ดูโรงงานหน่อยว่าน่าจะปรับปรุงในส่วนไหนบ้าง..”

“แล้วพ่อเจน เข้าทำงานวันเสาร์หรือเปล่า...?”

“พ่อเจนนะ ทำงานทุกวัน ทั้งเสาร์อาทิตย์ ก็อยู่แต่โรงงานไม่ไปไหนเลยพี่...”

“แล้วเจนหละ... เสาร์/อาทิตย์ไม่ทำงานหรือ?”

“ทำงานมาตั้งแต่ จันทร์ ถึง ศุกร์แล้วพี่ เสาร์/อาทิตย์ ขอหยุดบ้างเถอะ”

“อย่างนั้น พี่ขอไปวันเสาร์นี้นะ... พี่อยากเจอพ่อของเจน... เจนช่วยแนะนำให้พี่หน่อยสิ...”

“ค่ะ ได้ค่ะ”
…
ผมเข้าใจถึงความทุ่มเทที่เจ้าของกิจการมีให้กับงานของตนเอง การทำงานทุกวัน การคิดถึงงานทุกวันทุกเวลานั้น พบได้กับเจ้าของกิจการที่ทุ่มเทให้กับกิจการ ซึ่งต่างกับลูกๆหลานๆที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี หรือแม้นแต่ลูกจ้างก็ตาม ที่มักจะมองว่า ต้องหยุดเสาร์/อาทิตย์ ต้องพักผ่อน ต้องได้เงินเดือนเยอะๆ ซึ่งมันแตกต่างกับเจ้าของบริษัทฯ ตรงที่ คนอื่นๆยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบต่องาน ต่อหน้าที่ ต่อธุรกิจจริงๆ เมื่อเหตุการณ์ของเจนเป็นเช่นนี้ ผมจึงขอให้เจนมาแนะนำผมให้กับพ่อเจนในวันเสาร์ เป็นการสอนให้เจนรู้จักการทุ่มเทให้กับงานที่ทำ ที่รับผิดชอบ โดยเจนเองก็จะไม่รู้สึกอย่างไร เพราะ เจนรู้ว่าผมจะว่างเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ผมกำลังคิดอยู่ว่าถ้าพ่อเจนไม่เข้าทำงานวันเสาร์ และ อาทิตย์ ผมจะมีเวลาให้กับพ่อลูกคู่นี้หรือเปล่า...

...
“คุงวิบุง หรอ เห็นอาเจ็งพูดถึงบ่อยๆ วันนี้มาทำอาลาย” พ่อของเจน พูดไทยออกสำเนียงจีนมากๆเลย

“อ๋อ เจนเขาชวนผมมาเที่ยวโรงงานครับ”

“เดี๋ยวเจนเอาน้ำมาให้นะค่ะ” เจนบอกแล้วก็เดินไปห้องครัวปล่อยให้ผมกับพ่อเจนคุยกัน...

“เห็นอาเจ็งบอกว่า เก่งทางด้านบอริหางหรอ...”

“ผมก็มีความรู้บ้างเล็กน้อยนะครับ ยังสู้คุณพ่อไม่ได้หรอกครับ บริหารทั้งโรงงานเลย...”

“ผง ก็ม่ายเก่ง หรอก ก็ทำไปแบบ งูๆ ปาๆ นี่กะว่าจะให้อาเจ็ง เขาบอริหางแทงเลี้ยว”

“หรอครับ แล้ว เจน จะทำไหวหรือครับ...”

“ไหวสิ... อาเจ็งเก่งนะ”
...
เจนเอาน้ำชามาให้พ่อเจนกับผม แล้วเดินเข้าไปโรงงาน ปล่อยให้ผมคุยกับคุณพ่อเจน คุยกันนานมาก จนคุณพ่อเจนต้องขอตัวไปดูงานลูกน้องก่อน แล้วบอกว่าจะเรียกเจนให้มาต้อนรับ แต่เท่าที่ผมจับใจความได้ระหว่างคุยกับคุณพ่อของเจน คุณพ่อเจนต้องการให้เจนดูแลกิจการทั้งหมด ซึ่งพ่อเจนเชื่อมั่นอย่างมากเลยว่า เจนสามารถทำได้ ภูมิใจกับการที่ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ จบปริญญาโทฯทางด้านงานบริหาร ชมเจนไม่หยุดปากเลย และ ดูเหมือนว่า พ่อเจนกำลังสอนงานให้กับเจน ถึงระบบที่ผ่านมา

...
“พี่จุง เมื่อกี้คุยอะไรกับพ่อเจน บอกมาเลย...”

“ก็คุยเรื่อยเปื่อยนะ... พ่อเจนชื่นชมเจนมากเลยนะ...ชมว่าเก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้”

“เชื่อตายหละ... ถ้าพ่อเจนเชื่อเจน ป่านนี้โรงงานเปลี่ยนก็เปลี่ยนมาใช้ BSC แล้วหละพี่...”

“ทำไมต้องเปลี่ยนเป็น BSC หละ”

“ก็เจนเสนอพ่อให้เปลี่ยนระบบมาใช้ แทนนะพี่...”

“แล้วเรารู้จัก BSC ดีแค่ไหนหละ...”

“ก็เรียนมาบ้างนะพี่ ยังไงก็จ้างที่ปรึกษามาแนะนำ และ จัดระบบให้ก็ได้นี่ค่ะ”

“คุณน้อง... พี่อึ้งกับความคิดคุณน้องมากเลยนะ...”
...
วันนั้น จำได้ว่า ทานน้ำหมดไป 5-6 แก้ว คุยกับน้องเจนแบบ เปิดตำราสอนก็แทบจะว่าได้ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ ทายาทธุรกิจ ที่ยังไม่ได้เรียนรู้ธุรกิจดีพอ ส่วนใหญ่ จะอยากจะปรับนั่น ปรับนี่ เห็นระบบไหนดี ก็จะใช้ระบบนั้นๆ อยากจะเปลี่ยนเป็นระบบบริหารสมัยใหม่ ทั้งๆที่ตัวเองยังรู้ไม่ลึกซึ้ง แต่เห็นบริษัทฯ อื่นๆ เขาทำกัน ก็อยากจะเปลี่ยนไปตามกระแส ทั้งที่ตัวเองอาจจะยังไม่รู้เลยว่า มันมีผลข้างเคียงอย่างไร หรือ ต้องเริ่มขั้นตอนไหนเสียด้วยซ้ำ

เจนมีความต้องการที่จะเปลี่ยนระบบเป็น BSC อย่างมาก ผมใช้เวลาอยู่กับเจนเพื่อสอนให้เจนรู้ถึงพื้นฐานของ BSC และบอกให้เจน ค่อยๆปรับระบบงานทีละเล็กละน้อย ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยในครั้งเดียว ซึ่งมันจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในองค์กรอย่างมาก ผมให้เจนลงมือทำ BSC โดยเริ่มจากศึกษาระบบงานเก่าทั้งหมดก่อน แล้วเขียนระบบงานเก่าออกมาให้เป็นรูปเป็นร่างว่า การลื่นไหลของการทำงานเป็นอย่างไร... ซึ่งเป็นสิ่งที่ที่ปรึกษาฯ ต้องทำ เพื่อจะได้รับรู้ว่า ระบบงานเก่านั้นเป็นอย่างไร และ จะปรับและเปลี่ยน ที่จุดใด มองภาพรวมขององค์กร และ ทำความเข้าใจองค์กรให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะลงมือแนะนำ หรือทำอะไรลงไป

ผมสอบถามเจนถึงระบบงานที่เจนพอจะรู้ แล้ว ใส่เครื่องหมายคำถาม ลงไปในสิ่งที่เจนยังไม่รู้ เชื่อไม๊ว่า เครื่องหมายคำถามมีมากกว่า 20-30 ที่ ซึ่งหมายความว่า เจนยังไม่รู้จักระบบงานของพ่อเจนดีพอเลย... คราวนี้ เจนเลยเจอการบ้านหินๆ เพื่อไปหาคำตอบมาว่า เครื่องหมายคำถามแต่ละตัวนั้น คืออะไร และ มีอะไรอีกบ้างที่เจนยังไม่รู้... ผมทิ้งการบ้านแล้วผมก็ลากลับมา

แล้ว เจนก็โทรมาก่อนถึงกำหนดส่งการบ้าน 2-3 วัน...

...
“พี่จุง... เจนขอเลื่อนส่งการบ้านเป็นเดือนหน้านะ...”

“ทำไมหละ...”

“ก็ยิ่งหาคำตอบก็ยิ่งเจอกับปัญหานะพี่ นี่ก็เจอกับลูกน้องบางคนก็กีดกันข้อมูลเหลือเกิน ไม่ถูกชะตากันเลยนะพี่”

“แล้วเขาเป็นยังไงหละ ทำไมไม่ถูกชะตา”

“ไม่รู้สิพี่... ตั้งแต่แรกเจอหน้า เจนก็ไม่ค่อยถูกชะตากับเขาแล้ว...”

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





[บทความใน At Office] - [บทความใน JobsDB.com]

[บทความทั้งหมด] - [บทความล่าสุด / สมุดเยี่ยมเยือน]




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 13:14:30 น.
Counter : 1688 Pageviews.  

ตอนที่ 11 : ฝรั่งคิด แต่พี่ไทยทำอีกอย่าง...

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)



“พี่จุง... ที่บริษัทฯ เจนจะเปลี่ยนการปรับเงินเดือนเป็นเดือนมีนาแหละพี่”

“หรอ.. แล้ว ใครได้ใครเสียหละ...”

“พนักงานได้มั๊งพี่... เขาจะปรับเงินเดือนชดเชยกับเงินที่หายไป 2 เดือนนะพี่ เป็นนโยบายจากเมืองนอก...”
...

น้องเจน เป็นน้องที่ค่อนข้างสนิทสนมกันตั้งแต่ที่ทำงานเก่า เราโทรศัพท์คุยกันบ่อยๆ เจนก็มักเล่าข่าวคราวของเขา มีปัญหาอะไร หรือ ดีใจอะไร ก็จะโทรมาคุยเสมอๆ วันนี้มาบอกว่า ที่ทำงานมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ซึ่งเจนทำงานให้กับบริษัทฯ ต่างชาติที่เปิดสาขาในเมืองไทย มีเจ้านายเป็นคนอเมริกัน พูดไทยไม่ได้ น้องเจนก็เลยเป็นเสมือนล่ามให้กับเจ้านาย ต้องไปพูด ไปคุยกับเพื่อนๆ พนักงาน แทนเจ้านายเสมอๆ และ แน่นอน เจนมักจะได้รับข่าวคราวก่อนคนอื่น โดยเฉพาะจากต่างประเทศ และ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ น้องเจนได้รับรู้รายละเอียด จากการสื่อสารของบริษัทฯแม่...

การสื่อสารของบริษัทฯใหญ่ๆต่างประเทศนั้น เป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างมาก เพราะ พวกเขาจะพยายามเปลี่ยนมุมมอง และ ลดความขัดแย้งที่อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนนโยบาย โดยเขาจะวิเคราะห์ และ หาทางโน้มน้าวแนวความคิดของพนักงานระดับล่างอยู่เสมอๆ จนบางครั้งดูเหมือนว่าจะทำมากจนเกินไปก็มี ทำให้เป็นที่ผิดสังเกต

อย่างกรณีนี้ การเปลี่ยนแปลงการขึ้นเงินเดือน จากเดือนมกราคม เป็นเดือนมีนาคม เขาก็จะบอกว่า จะมีเงินชดเชยให้เท่ากับจำนวนเงิน 2 เดือน ที่ขาดหายไป โดยจะทำการเฉลี่ยให้กับทุกๆ 10 เดือนที่เหลือ อย่างเช่น หากมีเงินเดือนสักหมื่นบาท แล้ว ปีนี้ คุณปรับเงินเดือนเพิ่ม 1000 บาท คุณจะได้ปรับเงินเดือน เพิ่มอีก 200 บาท ที่มาจาก จำนวนเงินที่คุณหายไป 2000 บาท หารด้วย 10 เดือน สรุปก็คือ จะปรับเงินเดือนให้ ทั้งหมด 1200 บาท เป็นต้น


...
“พี่คิดอย่างไรกับนโยบายเหล่านี้ค่ะ” หลังจากน้องเจนเล่าวิธีการต่างๆของบริษัทฯที่น้องเขาทำจบก็เริ่มถามเลย...

“พี่เดาว่า เขาคงสื่อสารออกมาอย่างอลังการเลยใช่ไม๊...?”

“ค่ะพี่ บางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็เฉยๆ ส่วนหนูนะ ยังมองไม่ออกเลยว่ามันจะดีกว่าตรงไหน! ”
...

ผมฟังในครั้งแรกก็ว่ายุติธรรมมากนะครับ หากสรุปโดยรวมทั้งปีแล้วจะเห็นว่า จำนวนเงินที่เราจะได้นั้นเท่ากัน คือ 12000 บาท แถมได้ปรับเงินเดือนสูงขึ้นด้วย ฐานเงินเดือนสูงขึ้นก็ทำให้โบนัสเพิ่มมากขึ้นด้วย และ ปีหน้าก็จะได้ปรับเงินเดือนที่ใช้ฐานเงินเดือนใหม่นี้ในการปรับเงินเดือนเช่นกัน ก็แสดงว่า พนักงานได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆทุกคน

ในส่วนของผู้บริหารหรือหัวหน้างาน ก็จะชอบด้วย เพราะ จะได้มีเวลารวบรวมผลงานของพนักงานในปีที่ผ่านมา ไม่ต้องมากระจุกงานในเดือน มกราคม ที่บางที อาจจะรวบรวมข้อมูลได้ไม่ครบ หรือ อาจจะกำลังทำการปิดปีของหลายๆบริษัทฯ ดังนั้น หากย้ายการปรับเงินเดือนออกไป จะทำให้ การทำงานทางด้านการประเมินผลงานนั้น ดีขึ้น และ รัดกุมมากยิ่งขึ้น

และแน่นอนที่สุด บริษัทฯ ก็จะได้รับการยกย่องว่า ได้จัดการระบบงานต่างๆ ได้อย่างลงตัว... มันดูเป็นกลยุทธ์ที่ได้กันทั่วหน้า แต่ จากจุดนี้ ผมอยากให้เพื่อนๆ ลองคิดกลับไปดูว่า นอกจากการจัดระบบงานได้อย่างลงตัวแล้ว บริษัทฯ จะได้อะไร จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้...


...
“พี่ว่ามันมีจุดบางจุดที่น่าจับตามองเหมือนกันนะ...”

“จุดไหนหรือพี่... เท่าที่พี่บอกมา เจนว่ามันดีออก...”

“แล้วถ้าเขาบอกว่า เงินที่ปรับให้ 1000 บาท เป็นเงินที่รวมเงินที่จะมาเฉลี่ยของ 2 เดือน มาแล้วหละ... เจนจะรู้ได้อย่างไร?”

น้องเจนเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบว่า “เขาคงไม่ทำอย่างนั้นมั๊ง... เขาน่าจะมีใบแจ้งว่าเพิ่มให้เท่าไหร่ แล้ว ปรับแล้วได้เท่าไหร่นะ...”

“แต่พี่คิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น คนไทยกับต่างชาติ แม้นในเรื่องเดียวกัน ก็คิดต่างกัน ทำต่างกัน เรามาดูกันไม๊ว่า เขาจะแจงรายละเอียดหรือเปล่า...” ผมก็ท้าน้องเขาไปอย่างนั้นเอง ผมไม่ได้ไม่เสียกับบริษัทฯของน้องเขาหรอก...

...
บริษัทฯต่างชาติส่วนใหญ่ จะออกนโยบายต่างๆ จากต่างประเทศเสมอๆ นโยบายต่างชาตินั้น สร้างขึ้นเพื่อควบคุม ลดความขัดแย้ง แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่อง ลดค่าใช้จ่าย แล้ว ทำให้ดูเหมือนพนักงานจะได้รับอะไรมากขึ้น

เจ้านายที่ต่างประเทศมักมีเรื่องอะไรที่ดีๆ แนวคิดดีๆ อย่างนี้มาเสมอๆ ทำให้ผมได้มีแนวความคิดเหล่านี้สะสมไว้เช่นกัน แต่เวลาที่เขาออกนโยบายอะไรออกมาที ผมต้องคิดหลายๆแง่ ว่าเขาได้อะไร และ พนักงานได้อะไร จนบางครั้งคิดไปแล้ว รู้เลยว่า สิ่งที่พนักงานจะได้รับ มันเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่แฝงด้วยการสูญเสียบางอย่าง ถ้าไม่คิดให้ลึกซึ้งก็จะไม่เห็น


สิ้นเดือนมีนาคม ก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นอีก...
“พี่จุง... เขาขึ้นเงินให้เจน เป็นตัวเลขกลมๆ โดยไม่แจ้งอะไรเลยนะ...”

“ลองคิดย้อนกลับไปหรือยังว่า เขาขึ้นให้เจน จริงๆเท่าไหร่” ผมถามให้น้องเขาคิดย้อนกลับไป...

“ลองดูแล้วค่ะ มันเป็นตัวเลขแปลกๆนะพี่ มีเศษสตางค์ด้วย...”

“แล้วลองเทียบตัวเลขที่ได้ เป็นเปอร์เซ็นต์ กับปีที่แล้วหรือยัง...”

“ยังพี่... รอแป๊ปนะ...” แล้วผมก็ได้ยินเสียงกดเครื่องคิดเลข แบบที่ห้องบัญชีเขาใช้กัน “แต๊กๆๆๆๆ”

“ขึ้น 5% เองค่ะ... มากกว่าเดิมนิดเดียวเองงะ...” เสียงเจนรู้สึกว่าจะน้อยใจเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนแล้ว

“มันยังดีกว่า เดิม ก็อาจจะมาจากการปรับให้แล้วก็ได้ แต่เขาก็อาจจะเพิ่มหรือลดให้มันเป็นตัวเลขกลมๆ นะ...”
...

ผู้บริหารคนไทยที่เข้าใจนโยบายของบริษัทฯแม่ไม่ลึกซึ้ง มักจะทำอะไรไม่ค่อยโปร่งใส ไม่กล้าแจกแจง ไม่เดินตามนโยบายที่ต่างชาติให้ทำ แต่ส่วนใหญ่เจ้านายคนไทยจะประเมินผลงานตามความรู้สึกของตนเองเสียส่วนใหญ่ งานนี้ น้องเจนก็โดนความเป็นไทยเล่นงานเช่นกัน ในส่วนตัวแล้ว ผมกลับมองว่า การประกาศโครมๆ เป็นการสร้างกระแสความรู้สึกที่ดีกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่นั่นแหละ เวลาทำจริงๆแล้ว เมื่อไม่โปร่งใส ก็ปิดๆ บังๆ เอาไว้ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี แต่ยังไงได้ ก็เรื่องมันก็เกิดเพียงปีเดียว ปีหน้าก็เข้าสู่ระบบทุกอย่าง แล้ว เรื่องนี้ก็จะเงียบไป...


...
“เพื่อนๆ เจนเขาก็บอกว่าได้เท่าเดิมเลยนะพี่...”
“เขาคงผลงานน้อยลงมั๊ง... เจนพอดีมีสายเข้านะ... แค่นี้ก่อนนะ...”
พอดี มีสายเข้ามือถือ...โชคช่วยผมคราวนี้ที่ไม่ต้องหาข้อแก้ตัวแทนเจ้านายของเจน

เรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การจะทำอะไรที่มีผลกระทบกับรายได้ หรือ สวัสดิการของพนักงานที่ลดลงนั้น จะทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาเป็นขบวน เจ้านายฝรั่งเขาไม่ค่อยรับรู้เรื่องข้างล่างเท่าไหร่หรอก เพราะ มีคนกันไว้เรียบร้อย ดังนั้น คนที่เก่งทางด้านภาษา จึงเป็นคนที่จะได้เปรียบคนอื่น... อย่าง เจน ที่เก่งทางด้านภาษา ก็เลื่อนตำแหน่งขึ้นเอา ขึ้นเอา แต่นั่นแหละ น้องเจนก็ต้องออกไปช่วยพ่อทำงานแล้วหละในเดือนที่แล้วนี้เอง ตอนเจนไปทำงานกับพ่อใหม่ๆนะ มือถือผมแทบจะต้องซื้อแบตเพื่อสำรองเลย... แบตหมดทุกทีเลย คุยกันทีเป็นชั่วโมงๆ เลย...


“พี่จุง... ทำไงให้พ่อเจนยอมรับเจนซะทีหละ...”
...

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





[ บทความใน At Office ] - [ บทความใน JobsDB.com ]

[ บทความทั้งหมด ] - [ บทความล่าสุด / สมุดเยี่ยมเยือน ]




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 13:13:50 น.
Counter : 1638 Pageviews.  

ตอนที่ 10 : “เบื่องานจัง... โว๊ย...”

“โอ๊ยพี่... สงกานต์ปีนี้ไม่ได้หยุดหรือ...” ผมเดินเข้าประตูบริษัทฯมาแล้วได้ยินเสียงนี้ดังมาจากห้องช่าง ผมก็เลยหยุดคอยฟังเขาคุยกันระหว่าง หัวหน้าช่าง กับลูกน้องของเขา

“เออ... ก็งานพวกเอ็งไม่เสร็จนี่หว่า...”

“พี่ผมต้องกลับต่างจังหวัดนะพี่...” ลูกน้องคนหนึ่งเขาแย้งขึ้นมาทันที...

“กูไม่รู้โว๊ย... กูรับปากเจ้านายไว้ว่า ภายในเดือนนี้จะติดตั้งเสร็จ...” หัวหน้าช่างตอบเหมือนทุกครั้ง อ้างการรับปากกับเจ้านายเสมอๆ

“โธ่พี่... กว่าพวกผมจะเริ่มงานนี้ มันก็ล่าช้ามาแล้วครึ่งเดือนนะ...” ลูกน้องอีกคนตอบ

“เออกูรู้แล้ว แล้วพวกมึงจะให้กูทำยังไงว๊ะ...”

“พี่ก็ไปบอกเจ้านายสิว่าทำไม่ทัน และ พวกผมจะกลับบ้านต่างจังหวัดกันด้วย ขอเขาเลื่อนเวลาออกไปได้ไม๊...”

“ใช่พี่ ยังไงปีนี้ผมก็ต้องกลับบ้าน...”
…

ผมฟังอีกสักพัก ก็เดินเข้าไปที่โต๊ะทำงาน และ ทำเป็นไม่รู้เรื่องไว้ดีกว่า รอให้หัวหน้าช่าง เข้ามาคุย แล้วผมก็ทำงานผมต่อ พอเดินไปห้องครัว ก็ได้ยินเสียงจากในห้องครัวออกมาอีก...


“กูว่า พี่เขาไม่เข้าไปบอกเจ้านายเหมือนเคย”

“เบื่อโว๊ย... ดูสิทำงานไม่ได้พักเลย...” เสียงของน้องๆช่างนี่หว่า... อะไรของมันอีกว๊ะเนี่ย...

“มีปัญหาอะไรกันหรือ...” ผมเดินเข้าห้องครัว... ไปถามน้องๆช่างน้ำเสียงเหมือนทักทายกันตามประสา... และแล้วความเงียบก็เกิดขึ้น หน้าตาแต่ละคนดูเหมือนกำลัง ทบทวนคำพูดของตัวเองว่า ด่าอะไรผม หรือ ด่าเจ้านายของเขา อะไรไปบ้างหรือเปล่า ผมจะได้ยินอะไรหรือเปล่า ทำนองนั้น

“พี่วิบูลย์... ผมขอลากลับต่างจังหวัดช่วงสงกานต์นะครับ” ต้อม ซึ่งเป็นรองหัวหน้าช่างเริ่มเรื่องก่อน...

“มันเกิดอะไรขึ้น...” ในเมื่อวันสงกานต์เป็นวันหยุด และ เป็นเรื่องปกติของลูกน้องผมทุกคนที่จะลามากกว่าวันให้หยุด ปีที่แล้ว พวกเขายังหยุดกันยาวไปคนละสัปดาห์ บางคน 2 สัปดาห์ยังมีเลย...

“ก็งานไม่เสร็จครับพี่... พี่ไก่เขาเลยให้อยู่ช่วยทำงานตอนช่วงสงกานต์”

“อย่างงั้นให้พี่คุยกับพี่ไก่ก่อน... ว่าจะเอายังไงกัน...” ผมตัดบทไม่ถามถึงรายละเอียด เพราะไม่อยากมีอคติกับหัวหน้าช่าง ให้เขาอธิบายสิ่งที่เขาวางแผนมาก่อน ก่อนจะทำอะไรดีกว่า...

...
“ไก่... ตกลงว่างานติดตั้งไปถึงไหนแล้ว...” ผมถามงานเหมือนสอบถามงานปกติ หลังจากเรียกให้หัวหน้าช่าง เข้ามาหาที่โต๊ะทำงาน

“ไม่มีปัญหาครับพี่... คิดว่าติดตั้งได้ทันตามกำหนดครับ” คำว่า ไม่เป็นปัญหา คำที่ผมได้ยินบ่อยที่สุด... เพราะตั้งแต่สอนให้ ทีมงานบริหารที่อยู่ภายใต้ผม เรียนรู้ทางด้านการบริหารจัดการแล้ว งานต่างๆของไก่เองก็ดีขึ้นกว่าทุกๆแผนก
“แล้วน้องๆเป็นไงบ้าง...” ผมถามเพื่อให้เขาเปิดประเด็นในเรื่องที่ผมได้รับฟังมา...

“เออ... ผมให้น้องๆเข้ามาช่วยติดตั้งตอนช่วงสงกานต์ครับพี่ แล้วจะให้หยุดหลังเสร็จงานทั้งหมดชดเชยครับ...”

“แล้วพวกเขาไม่มีปัญหาหรือ...”

“ก็มีปัญหาครับพี่ พวกเขาอยากที่จะหยุดในช่วงสงกานต์มากกว่าครับ”

“พี่ก็ว่าอย่างนั้นนะ... สงกานต์วันแห่งครอบครัวด้วย... ” ผมบอกเป็นนัย ซึ่งปกติเขาจะรู้ว่าผมทำงานอย่างไร...

“แต่พี่ ผมสัญญากับเจ้านายเอาไว้ว่าจะเสร็จภายในเดือนเมษานี้นะพี่”

“พี่ว่า งานก็สำคัญนะ... กำลังใจจากลูกน้องของเธอก็สำคัญนะ... พี่ว่าเธอวางแผนว่า ถ้าเธอทำอย่างปกติเป็นอย่างไร และ ถ้าให้พวกน้องๆ เขาหยุด แต่เร่งงานทั้ง ก่อน และ หลังหยุด เพื่อชดเชยงานที่จะต้องทำในช่วงสงกานต์ พี่ว่าน้องๆเขายอมที่จะทำงานหนักทั้งก่อนและหลัง มากกว่าวันหยุดชดเชยที่จะให้เขานะ”

...
ผมก็เข้าใจทั้งสองฝ่ายนะครับ หัวหน้าช่างก็ห่วงเรื่องงานกลัวว่าจะเสร็จไม่ทัน ส่วนน้องๆก็ห่วงเรื่องการไปสังสรรค์กับครอบครัว โอกาสที่จะกลับบ้าน ไปพบกับพี่น้องที่แยกย้ายกันอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง ก็มีแต่ช่วงวันสงกานต์นี่แหละ หากให้พวกเขาหยุดชดเชยวันอื่นเพื่อนกลับบ้าน ก็จะไม่ได้พบญาติพี่น้องอย่างพร้อมหน้า ความรู้สึกทางใจมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง


การรักษากำลังใจของลูกน้องเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ หากหัวหน้างานสามารถทำให้ลูกน้องมีกำลังใจในการทำงาน ไม่ว่าเกิดจากการสร้างเงื่อนไขที่เขาจะได้รับ อย่างเช่นในกรณีนี้ หรือ การกระตุ้นให้ทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ผมจะเน้นเรื่องกำลังใจของลูกน้องในทีมเป็นหลักเสมอ สิ่งที่เขาควรจะได้ เขาก็จะได้ ไม่ว่าสวัสดิการ หรือ วันหยุด แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาควรจะให้เพื่อตอบแทนกับค่าจ้างของบริษัทฯ เขาก็ควรจะให้เช่นกัน ดังนั้น ผมจะเน้นเรื่องการทำงานในช่วงเวลาที่เขาทำงานให้กับบริษัทฯอย่างเต็มที่ด้วย... หัวหน้างานในส่วนต่างๆของผมจะรู้จักผมในเรื่องนี้ดี


“พี่... ผมวางแผนใหม่ และไปคุยกับพวกเขาแล้วครับ ก็ให้พวกเขาหยุดตามวันหยุดบริษัทฯ ยกเว้นต้อมที่จะหยุดต่ออีก 2 วันครับ”

“ดีครับ แล้วน้องๆมีกำลังใจมากขึ้นหรือยัง...” ผมถามความรู้สึกน้องๆที่หัวหน้าทุกคนควรจะสังเกตุ...

“ดีกว่าตอนแรกครับพี่... พวกมันยอมทำงานเพิ่มขึ้น ขอเพียงได้หยุดนะครับ”

“ดี... พี่หวังว่าคงไม่มีเรื่องอื่นๆ ลอยเข้าหูพี่อีกนะ...” ผมพูดเปรยๆ เพราะรู้ว่า ลูกน้องของไก่ ต้องบอกไก่ว่ามาบอกผมไว้...

“คงเข้าหูพี่อยู่เรื่อยๆแหละ... ” มันย้อน แล้วหัวเราะ...อย่างรู้ทันกัน...
...


เรื่องกำลังใจของลูกน้อง หรือ พนักงานนั้น ที่บริษัทฯ ผมเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่า งานของเราจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อได้รับการร่วมมือจากพนักงานในทุกๆฝ่าย ดังนั้น ในทางผู้บริหารระดับต่างประเทศ จึงกำหนดนโยบาย และวิสัยทัศน์ไว้อย่างชัดเจน เรามีแนวคิดที่ว่า ความพึงพอใจของพนักงานในการทำงาน จะส่งผลให้งานที่ทำ และ การบริการลูกค้าออกมาได้ดี และ เมื่อ ลูกค้าพึงพอใจ บริษัทฯ ย่อมได้ผลกำไรเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากใช้บริการเรามากขึ้น และ เมื่อลูกค้าใช้บริการเรามากขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้หุ้นในตลาดหุ้นดีขึ้น เจ้าของหุ้นทุกคนก็จะได้รับเงินปันผลมากขึ้น... นี่เป็นแนวความคิดที่ทำให้ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ โดยเริ่มจากการทำให้พนักงานทุกคน มีความพึงพอใจในการทำงาน...




[ บทความใน At Office ] - [ บทความใน JobsDB.com ]

[ บทความทั้งหมด ] - [ บทความล่าสุด / สมุดเยี่ยมเยือน ]




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 4 มกราคม 2549 11:28:29 น.
Counter : 1395 Pageviews.  

ตอนที่ 9 : สาวสุดเปรี้ยว กับ ผู้บริหารสุดโบฯ (ฉบับแก้ไข)

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)



“สวัสดีค่ะ... ขอสายคุณวิบูลย์ค่ะ..” เสียงโทรศัพท์มาแต่เช้าเลยครับ... ไม่คุ้นเอาเสียเลย...
“สวัสดีครับ.. ผมวิบูลย์ครับ...” ตอบอย่างงงๆ เหมือนกันว่าใคร...
“ค่ะ คือดิฉันโทรมาสอบถามเกี่ยวกับ คุณผักชี นะค่ะ คือเขาให้ชื่ออ้างอิงเอาไว้กับทางเราไว้...”
“ครับ...” ผมตอบสั้นๆ เพราะกำลังงง กับคนชื่อ ผักชี ชื่อก็แปลก ไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้แล้วเขาทำไมเอาชื่อเราไปเป็นคนอ้างอิงได้วุ๊ย...
“คือ ในสมัคร เธออ้างอิงว่าเป็นพี่ที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย คืออยากทราบนิสัยของเธอนิดนึงค่ะ...” ผมคิดอยู่ในใจ ยังอึ้งอยู่ว่า ใครเอาชื่อเราไปใช้สมัครงานวุ๊ย... แต่แล้วเสียงตอบมาก็
“คุณชีวรัตน์ หลังจากจบที่ยานนาเวศฯ ยังติดต่อกันอยู่ไม๊ค่ะ....” เออ ถ้าพูดชื่อจริงแต่แรกก็รู้แล้วว่าใคร....
“ครับ เราเจอกันก็ไม่ค่อยจะบ่อยครับ.. น้องเขาทำอะไรไม่ดีหรือครับ...”
“คือ....... คุณผักชี ตอนมาสมัครงานก็แต่งตัวเรียบร้อยนะค่ะ แต่ตอนนี้ ผู้บริหารบางคนเขารับกับการแต่งตัวของน้องเขาไม่ได้ค่ะ....” โอ้โห... เริ่มเปิดฉากมาก็เรื่อง การเมืองในองค์กรเลย แล้วอย่างนี้ น้องชี จะอยู่ได้ไม๊เนี่ย...
...
เนื่องจาก น้องชี เป็นนักการตลาด อีกทั้ง อยู่กับ เอเจนซี่ค่อนข้างเยอะ รู้จักคนเยอะ ทั้งไฮโซ ไฮซ้อ.. ดังนั้น การแต่งตัวก็ต้องเลิศหรูดูดี ในสายตาผม เพื่อจะได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้พบเห็น และ สร้างศรัทธาตั้งแต่แรกเห็น ผมไม่ค่อยเห็นนักการตลาดที่ติดต่อกับบุคคลภายนอก แต่งตัวเชยๆ โบราณๆ ยิ่งคนอยู่ในวงการ เอเจนซี่ด้วยแล้ว ต้อง หรู ดูดี บางทีก็ติสๆหน่อย เซ็กซี่นิดๆ เป็นเรื่องปกติ หากแต่งตัวออกไปกลายเป็นยายเพิ้ง แค่เห็นการแต่งตัว คนที่ติดต่อด้วยก็หมดไฟที่จะคุยด้วยแล้ว....


“เท่าที่เห็น ผมว่าเขาก็แต่งตัวดูดีทุกครั้งที่เจอนะครับ... เขาแต่งตัวโป๊เกินไป หรือครับ...”
“ก็ไม่เชิงค่ะ แต่ทางผู้บริหารรับไม่ค่อยได้ เขาแต่งตัวแตกต่างกับที่นี่มาก...”
...
ภาพขององค์กรที่ผมได้รับ ดูเหมือนว่า จะเป็นองค์กรที่อยากจะเปลี่ยนแปลงทางการตลาด แต่เนื่องจากองค์กรเป็นองค์กรที่อยู่ในกรอบจนเคยชิน การเห็นท่านอื่นแต่งตัวโดดเด่น เปรี้ยวตามสมัยนิยม เลยรับไม่ได้ ตอนแรกผมคิดว่า องค์กรนี้สงสัยอยู่ต่างจังหวัด เจอคนกรุงเทพฯ เปรี้ยวๆ ก็เลยไม่เข้าใจ ผมก็เลยตอบไปว่า..


“มีเรื่องอะไร หรือไม่พอใจอะไรกับ น้องชี ก็คุยกับเธอได้เลยครับ เธอเป็นคนเปิดเผย รับฟังเหตุและผลครับ”
...
เมื่อวางหูผมต้องนั่งทบทวนน้องคนนี้อีกครั้ง ... แล้วก็ได้คุยกับ น้องชี ทางโทรศัพท์...
“น้องชี... น้องไปทำอะไรผิดในบริษัทฯหรือ...”
“หนูนึกอยู่แล้วว่าเขาต้องโทรหาพี่... เจ้าวิค เพื่อนหนูก็โดน นี่เลยโทรมาถามว่าเขาถามอะไรพี่บ้าง...” อ้าวไม่ใช่เราคนเดียวนี่หว่า...
“ก็ถามทั่วๆไป...แต่ส่วนใหญ่ก็เรื่องแต่งตัวนะ...”
“เขามาคุยแล้วพี่ ตอนนี้ก็ต้องแต่งตัวเรียบร้อยมากกกกก กลายเป็นยายเพิ้งไปเลย...”
“เอาน่า มีงานทำก็ดีกว่าไม่มี ตอนนี้อยู่จังหวัดไหนละ...”
“อยู่กรุงเทพฯพี่... อยู่หลังจตุจักรเอง...”
“อ้าวหรอ พี่คิดว่า อยู่ต่างจังหวัด ฟังเขาเล่าแล้วเหมือนเป็นองค์กร ที่อยู่ต่างจังหวัดเลยนะ....”
“โห... พี่จุง... พี่เล่นมุกนี้รับไม่ค่อยได้นะพี่... แต่พี่... ที่นี่ สุดๆ ขอบอก... ” ฟังน้ำเสียงแล้ว เหมือนจะโอดโอยอะไร...
“...” ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจกันละกันว่า คนถูกเก็บกด จะระบายออกมาอย่างไร...
ผมสรุปได้ใจความว่า รองนายใหญ่เป็นผู้หญิงแต่งตัวดูดีเหมือนคนทำงาน แต่น้องเขาบอกว่า แก่และเชย ซึ่งรองนายใหญ่คนนี้แหละ ที่ไม่ค่อยชอบการแต่งตัวของ น้องชี สักเท่าไหร่ เรื่องความรู้สึกลึกๆของหญิงๆนะ.. ผมผู้ชายไม่ขอยุ่งดีกว่า... เอาไปปะปนกับการทำงาน และ ความสามารถ คนที่แตกต่างจะถูกกีดกัน และ ดูถูกการทำงานไปด้วยเลย... แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ น้องคนนี้ ยอมที่จะแต่งตัวให้เหมือนสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แต่ในใจยังขัดแย้งต่อวัฒนธรรมองค์กรอยู่ แต่เขากลับเอาสิ่งขัดแย้งนี้ เป็นพลังเพื่อผลักให้เขาทำงาน... น้อยคนนักที่เป็นอย่างนี้...


“พี่จุง... คอยดูนะ หนูจะทำงานวันเด็กปีนี้ให้เขาทึ่งเลย... จะให้เขาเห็นว่า อย่าดูถูกความสามารถ จากการแต่งตัวที่แตกต่าง เดี๋ยวมีผลงานแล้ว จะยื่นข้อเสนอกลับไปแต่งตัวตามสไตล์ของหนู... พี่จุงคอยดูนะ...”
น้องชีเป็นคนที่มีลักษณะของคนที่มีความเชื่อมั่นสูง อีกทั้งเธอจะไม่เคยถอย หรือ ยอมแพ้อะไรง่ายๆด้วย... ก่อนงานวันเด็ก 1 วัน ผมก็ได้รับโทรศัพท์ อีกครั้งจาก น้องชี แต่งวดนี้ ดูเหมือนเธอตื่นเต้นจังเลย...


“พี่จุง... วันนี้หนูสะใจมากเลย... แต่เหนื่อยฉิบ...” น้ำเสียงดูเหมือนสดใส แต่ก็รู้สึกถึงความอยากระบายมากๆ...
“สัปดาห์นี้นะ หนูกลายร่างเป็นนักการตลาดจับฉ่ายไปเลย ทั้งเขียนบทความเพื่อจะไป PR เอง ติดต่อหนังสือพิมพ์ และ รายการต่างๆ เอง ใช้น้องๆได้แค่ส่ง FAX โอ๊ย... เหนื่อยมาก... ทำงานให้เขาคุ้มกับเงินมากๆ...”
“แล้วทำไมไม่ให้น้องเขาทำหละ... แล้วเธอค่อยตรวจสอบอีกที...” ผมถามด้วยความงงว่า ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทำไมต้องทำเองซะทุกอย่าง
“พี่จุง... หนูก็ให้เขาทำให้นะ แต่ขอโทษ ...ไม่รับประทานจริงๆ เขียนข่าวอย่างน้องๆ ต้องลงถังขยะ แทนที่จะไปลงแท่นพิมพ์”
“อ้าวแล้วที่ผ่านมาเขาทำกันยังไง...”
“ก็เขาทำกันอย่างนี้ไง ก็เลยไม่ได้ลงประชาสัมพันธ์ซักที... นี่หนูทั้งแต่ง ทั้งพิมพ์ ให้เขาส่ง FAX อย่างเดียวตั้งแต่เมื่อวานเย็น น้องๆเขายังไม่ยอมส่งเลย ดองงานเอาไว้ จนวันนี้ตอนเช้า หนูต้องมาไล่จี้งานกับทุกคน ให้ยืนส่งให้ครบเลย แล้วหนูก็โทรไปอ้อนแต่ละสื่ออีก... นี่ได้ลงประกาศหลายรายการเหมือนกัน ทั้งวิทยุ และ โทรทัศน์ นี่ต้องกลับไปอัดรายการโทรทัศน์อีก เขาบอกว่าจะลงประกาศให้...”
“เก่งหนิ...”
“ไม่เท่าไหร่พี่ แต่ละรายการเขาก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมืออยู่แล้วนะ... ยิ่งที่นี่เหมาะกับการมาเที่ยวของเด็กๆด้วย เขายิ่งอยากจะช่วยเหลือ... นี่ก็ให้เพื่อนๆ ช่วยคุย ช่วยเลี่ยบๆเคียงๆให้หลายสื่อเหมือนกัน...”
...
น้องชี เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อต่างๆ รวมทั้งคนไฮโซบ้างพอสมควร ไม่ค่อยแปลกที่เขาจะสามารถทำได้ วันนั้น น้องชี คุยเสียส่วนใหญ่ ผมมีหน้าที่ฟัง และ ถามเท่านั้น... วันรุ่งขึ้น...ผมเปิดวิทยุฟังในรถแล้วได้ยินสปอตการประชาสัมพันธ์ขององค์กรของน้องชีพอดี... เลยถามภรรยาว่า


“วันนี้จะพาเด็กๆ ไปเที่ยวที่นี่ดีไม๊...” ผมถามภรรยา กับ น้องๆของภรรยา...

“เตี๋ยจุง... ฟิลม์จะไปเที่ยววันเด็กที่เขาโฆษณาเมื่อกี้ครับ... ฟิลม์เห็นโฆษณาในโทรทัศน์ด้วย...” หลานของผมเสนอมาเลย... แล้วไม่กี่อึดใจก็มีเสียงประสานขึ้น...

“จะไปเที่ยววันเด็ก ไปเที่ยววันเด็ก จะไปเที่ยววันเด็ก ไปเที่ยววันเด็ก” ลูกผมทั้ง 2 คน กับหลานๆ ช่วยกันส่งเสียงลั่นรถเลย...
...
ผมว่า สื่อต่างๆ มีผลกับเด็กๆอย่างมากเลย ขนาดเขาไม่ประชาสัมพันธ์นานๆ ยังสามารถทำให้เด็กๆ อยากไปได้ขนาดนี้ คนทำประชาสัมพันธ์ถ้ารู้ว่าตัวเองประสบความสำเร็จที่สามารถชักจูงกลุ่มเป้าหมายให้อยากไปเที่ยวงานได้ ถึงเหนื่อยก็คุ้มกับการทุ่มเท... ผมไม่เคยไปที่นั่นมาเลยในชีวิต และ เพิ่งรู้จักชื่อก็ก่อนวันเด็ก 1 วัน แต่วันเด็ก ลูกๆผมกลับดูเหมือนคุ้นเคยและอยากที่จะไปอย่างมาก... วันนั้นผมได้แต่อมยิ้มกับความสำเร็จของน้องชี... แล้วขับรถไปตามที่ภรรยาสั่ง...




แรงเก็บกดจากที่ทำงานนั้น ส่วนใหญ่จะทำให้พนักงานเกิดการท้อแท้ และจะไม่มีผลงานในที่สุด ซึ่ง หากเราเปลี่ยนมาเป็นแรงผลักดันในการทำงาน จะส่งผลตรงข้ามกัน ความมุ่งมั่นพยายาม จะเข้ามาแทนที่ และเมื่อสามารถเปลี่ยนเป็นแรงผลัดดันได้ มันจะมีแรงมากกว่าอีกด้วย…


โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





[ บทความใน At Office ] - [ บทความใน JobsDB.com ]

[ บทความทั้งหมด ] - [ บทความล่าสุด / สมุดเยี่ยมเยือน ]




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 13:26:35 น.
Counter : 1259 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.