บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
All Blogs
 
อุบาสิกา ถวิล - บทที่สอง - เหมือนพบน้องชายที่หายไปนาน

ในปีพ.ศ. ๒๕๐๒ ปีเดียวกับที่ป้ารู้จักอาจารย์วรณี สุนทรเวชนี้เอง ป้าก็ได้รู้จักเด็กชายวัยรุ่น อายุราว ๑๘-๑๙ ปีผู้หนึ่ง เป็นเพื่อนเพื่อนรักสนิทสนมมากของน้องชาย ป้าจะเล่าความเป็นไปให้ฟัง

เมื่อป้าเริ่มเข้าทำวานรับราชการใหม่ๆ ปลายเดือนมีนาคม ๒๕๐๒ ได้พักอยู่บ้านหลังใหญ่ ป้าอยู่กับเพื่อนข้าราชการสตรีอีกคนหนึ่งเท่านนั้น ป้าจึงไปขอย้ายน้องชายชื่อ ธนู บุญทรง ซึ่งกำลังเรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (สามพราน) ให้มาโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (พญาไท) อันเป็นโรงเรียนเครือข่ายเดียวกัน ผู้อำนวยการโรงเรียนเดียวกัน จึงได้รับอนุญาตด้วยดี การเรียนเตรียมอุดม ฯ ครั้งนั้นยากลำบากมาก นักเรียนต้องตั้งใจเรียนกันอย่างจริงจัง จึงจะสอบไล่ได้ การสอบคิดคะแนนเป็นร้อยละ ไม่ใช่คิดเป็นเกรดหรือเรียนเป็นหน่วยกิจ อย่างปัจจุบัน สมัยโน้นสอบตกวิชาใด ก็ถือว่าต้องซ้ำชั้นทั้งปี เรียนใหม่หมดทุกวิชา น้องชายของป้าเรียนไม่เก่งมาก จึงต้องสนใจคร่ำเคร่งกว่าปกติ

วันหนึ่งเป็นเวลาใกล้ๆ สอบ น้องได้พาเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งมาพบ แนะนำว่า " พี่ครับ เพื่อนรักของผมคนนี้ชื่อเผด็จ ผ่องสวัสดิ์ เป็นคนเมืองกาญจน์ (จังหวัดกาญจนบุรี) อยากจะมาพักท่องหนังสือกะผมตอนก่อนสอบเนี่ย เพราะผมบอกว่า บ้านพักของเราเงียบดี พี่อนุญาตนะครับ " น้องชายขออนุญาตเป็นพิธี เพราะรู้ว่าป้าต้องอนุญาตอยู่แล้ว เพื่อนท่องหนังสือหายากเต็มที มีแต่เพื่อนเที่ยวเสียเป็นส่วนมาก

ป้าเงยหน้ามองเพื่อนของน้องชาย ที่ยืนพนมมือไหว้อยู่ที่หน้าบันไดขึ้นบ้าน ไหว้แล้วก็ลดมือทั้งสองข้างลงไปแนบไว้ข้างขา ทำตัวตรง ยิ้มเผล่ เหมือนท่าของนักเรียนกำลังทำความเคารพครู ป้าเห็นหน้าเต็มตาแล้วก็ตกใจ และประหลาดใจบอกไม่ถูก รวมทั้งตื่นเต้นดีใจ ระคนปนเปกัน รู้สึกเหมือนว่า น้องชายแท้ๆ ของตนเอง กลายเป็นคนแปลกหน้าอื่นไป ส่วนเด็กที่เพิ่งมาใหม่ยืนอยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก คือน้องชายตัวจริง ที่พลัดพรากจากกันไปนานแสนนาน เพิ่งได้กลับคืนมาพบกัน หายตกตลึงแล้ว ป้ารีบระล่ำระลักอนุญาตทันที เพื่อนของป้าก็เต็มใจอนุญาต และรู้สึกมีความสนิทสนมด้วย ในทำนองเดียวกัน

หนุ่มน้อยเผด็จ ผ่องสวัสดิ์เป็นคนขาว รูปร่างล่ำสัน อารมณ์ดี เบิกบาน ยิ้มง่าย หัวเราะเสียงดัง สุภาพอ่อนโยน ที่น่ารักมากคือความเป็นกันเอง เลี้ยงง่าย ทำอาหารอะไรให้ ก็จะรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยเสมอ เป็นคนรับประทานค่อนข้างจุ แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ป้ากับเพื่อนกลับมีความพอใจ ที่เห็นเด็กหนุ่มผู้นี้เจริญอาหาร ไม่เคยรู้สึกเสียดายเลยจนนิดเดียว กลับช่วยกันยุให้รับประทานให้เต็มที่

น้องของป้าเล่าว่า เขาเป็นเพื่อนรักกันได้ เพราะต่างคนต่างเป็นแชมป์งัดข้อ ประจำห้องเรียน พอมีการแข่งระหว่างห้อง ทั้งคู่ก็เข้าแข่งขัน เพื่อนๆ พากันมาเชียร์ให้กำลังใจเป็นที่สนุกสนาน ถ้างัดข้อแขนซ้าย หนุ่มน้อยเผด็จจะเป็นฝ่ายชนะ ถ้างัดทางแขนขวา น้องชายป้าก็จะชนะ ต่อมากี่ครั้งก็เป็นทำนองเดียวกัน ในที่สุดถ้ามีการแข่งกันอีก ก็จะเสู้กันพอเป็นพิธี ไม่ได้ออกแรง ให้การตัดสินออกมาเหมือนเดิม แล้วแบ่งของรางวัลกันคนละครึ่ง ทั้งคู่จึงกลายจากคู่แข่งเป็นเพื่อนรักกัน นับแต่นั้นมา

หนุ่มน้อยนี้เป็นแขกประจำที่บ้านป้า ในเวลาใกล้สอบทุกครั้ง เป็นที่ชอบพอของเพื่อนป้าที่อยู่ด้วยกัน และเพื่อนอื่นๆ ที่มาเยี่ยมแล้วรู้จัก ต่างรักในนิสัยสุภาพ และ ความอ่อนน้อมถ่อมตนที่ได้พบเห็นซึ่งเป็นสิ่งที่มาได้ยาก ในเด็กรุ่นเดียวกัน ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นบุญญกิริยาวัตถุอย่างหนึ่ง ใครทำแล้วได้บุญทันตาเห็น

นอกเหนือจากเรื่องดูหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบแล้ว วันหยุดเรียน เสาร์-อาทิตย์ ที่ไม่มีการเรียนเร่งด่วน สองหนุ่มก็มักพากันไปเรียนวิชาปลุกพระ ปลุกเสกเลขยันตร์ อยู่ยงคงกระพันหนังเหนียว เรียนแล้วก็มาลองวิชากันที่บ้านพัก เป็นที่อกสั่นขวัญแขวงของป้าและเพื่อน ปลุกพระก็มีอาการตัวสั่น นั่งหลับตาตัวกระดอนไปมา เสียงโครมครามลั่นบ้าน ส่วนเรื่องหนังเหนียว บางทีป้ากำลังช่วยเพื่อนทำกับข้าวตอนเย็น เอามีดปังตอสับหมูอยู่ป๊อกๆ น้องชายวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

" พี่ ๆ ยืมปังตอหน่อยครับ แป๊บเดียว จะลองวิชาหนังเหนียวหน่อย " ว่าแล้วก็แย่งมีดในมือป้าไป ป้าตกใจสุดขีด มีดลับไว้คมกริบ เดี๋ยวได้แผลกันแหวะหวะ รีบวิ่งตามไปจะเอามีดคืน ไปไม่ทัน ทั้งคู่ผลัดกันฟันแขนเต็มแรงเสียแล้ว ก็เป็นเรื่องแปลก หนังเหนียวกันได้จริงเหมือนกัน ฟันลงไปผิวหนังไม่ขาดออกจากกันเป็นผลก็จริง แต่น้ำหนักมือคงจะแรงอยู่ไม่น้อย ทำให้เนื้อเป็นรอยช้ำ เป็นทางยาใอยู่ใต้ผิวหนังกระทั่งทุกวันนี้ นานกว่า ๓๐ ปีแล้ว แขนน้องชายป้าก็ยังมีรอยดังกล่าวอยู่

บางครั้งทั้งคู่หายกันไปเป็นวันๆ กลับมาถึงบ้าน มานั่งทำพิธีเสกปรอทเข้าตัว เวลานั้นป้าไม่เข้าใจ พลอยเห็นเป็นเรื่องแปลกไปด้วย เวลาเอาปรอทวางในฝ่ามือบริกรรมคาถา เอามือถูที่ปรอทถูไปถูมา ปรอทก็หายเข้าฝ่ามือไปหมดเกลี้ยง แล้วก็เชื่อกันว่า ใครมีปรอทเข้าไปในตัวแล้ว ทำให้หนังเหนียว แต่ความจริงปรอทเป็นสารที่มีเนื้อละเอียดกว่าเนื้อคนเรา ผิวหนังคนเราเป็นของหยาบ มีรูขุมขนอยู่เต็มไปหมด พอเอาปรอทมาถู ปรอทก็จะลอดผิวหนังเข้าไปได้เอง ไม่ต้องเสกคาถาอะไร ใครๆ ก็ทำได้ ส่วนที่ทำให้เกิดอาการหนังเหนียว เป็นเพราะอำนาจความเชื่อของคน เมื่อเชื่อมากเต็มที่ ก็ทำให้ใจมีพลัง ทำให้ร่างกายผลิตสารชนิดหนึ่งออกมา ทำให้เกิดอาการหนังเหนียวได้เอง ไม่ใช่ความสามารถของปรอท ปรอทเสียอีก ให้โทษต่อร่างกาย เข้าไปแล้งอาจไปเกาะอยู่ตามกระดูก ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกี่ยวกับข้อหรือกระดูก

หนุ่มสองคนนี้ ยิ่งไปเรียนเดรัจฉานวิชาดังกล่าวมา ก็ยิ่งรักใคร่สนิทสนมกันมากขึ้นราวกับเป็นเพื่อนร่วมตาย มาห่างเหินกัน ก็ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย

แต่เดิมมหาวิทยาลัยต่างๆ มีสิทธิสอบคัดเลือก รับสมัครนิสิตนักศึกษาใหม่ของตนเองและมักเปิดรับไม่พร้อมกัน ทำให้นักเรียนที่จบชั้นเตรียมอุดมศึกษา ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ต้องไปสมัครเผื่อไว้แทบทุกแห่ง พอประกาศผลสอบ บางตนสอบติด ๒-๓ แห่ง พอตัดสินใจเรียนที่ใดที่หนึ่ง ก็ต้องสละสิทธิที่อื่น ทำให้ทางมหาวิทยาลัย ยุ่งยากเรียกตัวสำรอง เพราะบางทีตัวสำรอง ก็ไปสอบได้ที่อื่น และชำระเงินค่าเล่าเรียนไปแล้ว ต้องสละสิทธิต่อบ้างเสียโอกาสบ้าง ดูยุ่งไปหมด

ในปีที่น้องชายของป้าเรียนจบ ทุกมหาวิทยาลัยใช้วิธีสอบรวมกัน เป็นปีแรก ที่สมัยนี้เรียกสอบเอ็นทรานซ์ ตัดปัญหาไปได้หลายเรื่องก็จริง แต่นักเรียนก็เสียโอกาสไปในตัวไม่น้อย เช่น เลือกมหาวิทยาลัยเกินความสามารถของตนไป เลือกคณะวิชาเกินสติปัญญาของตนไป เลือกเรียนเพราะติดเพื่อนก็มี ทำให้ผิดหวังไปตามๆ กัน

น้องชายของป้ากับเพื่อนรัก จากกันตอนนี้ เพื่อนสอบได้เรียนที่ มหาวิทลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน น้องของป้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด เพราะเลือกสูงเกินไป จึงต้องเปลี่ยนชีวิตไปเข้ากรมป่าไม้ และเรียนต่อในโรงเรียนป่าไม้แพร่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชในที่สุด

ป้าได้พบคุณเผด็จอยู่ ๒ ครั้ง ในปี ๒๕๐๓ พิธีแต่งงานของป้า และปี ๒๕๐๖ วันส่งคุณเผด็จ ที่ดอนเมือง เพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย

ส่วนวันคุณเผด็จขึ้นเครื่องไปเรียนต่อ ป้าร้อยพวงมาลัยสวมคอ ด้วยฝีมือของป้าเอง ดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่ใช้ ป้าขอจากภารโรงที่รู้จักกัน อยู่โรงเรียนใกล้ๆ บ้าน ครั้งนี้เป็นการจากกันนานหน่อย พบกันอีกครั้งและตลอดมา ในปี ๒๕๑๑ นานถึง ๕ ปีที่ป้าไม่ได้ข่าวคราวเอาเลย

ชีวิตของป้าในระหว่างนั้น วุ่นวายอยู่กับเรื่องทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว ก่อนแต่งงานเลี้ยงดูเฉพาะ พ่อแม่ และส่งเสียน้องสองคนเล่าเรียน พอหลังแต่งงานก็เพิ่มสมาชิก ที่ต้องรับผิดชอบอีกหลายชีวิต มีทั้งลูกทั้งหลานทั้งลูกจ้าง

มีเรื่องหนึ่งที่ป้าเล่าไว้ในหนังสือจากความทรงจำ เป็นเรื่องสำคัญ ถือเป็นต้นเหตุที่ทำให้ป้าคิดสร้างวัด คือเรื่องชื่อของป้าที่เหมือนผู้ชาย ตอนเรียนหนังสือ เก้าอี้นั่งเรียนถูกจัดตามตัวอักษร เลยต้องนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้ชาย ซึ่งสมัยนั้นพากันนิยมเลื่อมใส ลัทธิคอมมิวนิสต์ ป้าก็ถูกเป่าหูให้คล้อยตามไปด้วย แต่ที่ป้าไม่เข้าร่วมขบวนการ เพราะ สะดุดใจ ในคำสอนเรื่องพ่อแม่ไม่มีบุญคุณ พ่อแม่รักป้ามาก ยอมเสียสละอะไรๆ ให้ป้าตลอดมา ป้ายอมรับคำสอนว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณไม่ได้ แต่คำสอนที่ว่าศาสนาเป็นกาฝากของสังคม พวกนักบวชเป็นผู้เอาเปรียบ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำมาหากิน อยู่กันสุขสบาย เรื่องนี้ป้ามีความเห็นคล้อยตาม

ที่รู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง คือมีอยู่วันหนึ่ง ป้ากับเพื่อนสตรีผู้หนึ่งพร้อมด้วยคนรักของเธอ ไปธุระกันที่อำเภอบางกะปิ ขณะที่ขับรถส่วนตัวกลับมาตามทาง ฝนตกหนักมาก สองข้างทางสมัยนั้นไม่มีบ้านผู้คนเลย มีแต่ทุ่งนา ริมถนนมีพระภิกษุเดินตากฝนตัวเปียกอยู่รูปหนึ่ง เสียงคนรักของเพื่อน ผู้ซึ่งมีจิตใจฝักใฝ่ในลัทธิฝ่ายซ้ายเต็มที่ เพราะมีบิดานิยมลัทธิดังกล่าว และถูกฝ่ายรัฐบาลจับตัวไปฆ่าทิ้ง หัวเราะขึ้นอย่างขบขันปนความชิงชัง

" คุณถวิล ดูซิ นั่นกาฝากสังคมเดินอยู่ข้างถนนนั่น ไม่รู้จักทำมาหากิน ปล่อยให้เดินตากฝนให้สบาย " แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะกันต่อ ป้าหัวเราะตามไปด้วยนิดหน่อย แล้วหยุดกึกคิดขึ้นมาว่า

" นี่ถ้าเป็นคนธรรมดา เดินอยู่อย่างนี้ เราก็แวะจอดรถรับตัว ให้นั่งไปด้วยแล้ว เพราะถนนสายนี้ ไม่มีรถเมล์หรือรถรับจ้างอะไรเลย เพียงแต่ห่มผ้าเหลืองต่างจากชาวบ้านเท่านั้น เราไม่จอดรถรับ อย่างงี้เราสามคนทำผิดหรือถูกกันแน่ เป็นคนใจร้ายหรือเปล่า " ป้าถามตนเองแล้วหาคำตอบไม่ได้ ค้างใจตลอดมา

จนปี ๒๕๐๖ ก่อนคุณเผด็จไปเมืองนอก เวลานั้นป้าทำงานอยู่หน้าห้องท่านรองอธิบดี ใกล้ๆ เวลาเลิกงานวันหนึ่ง ท่านรองอธิบดีออกมาพูดกับทุกๆ คนดังๆ ว่า

" เย็นนี้ที่หอประชุมคุรุสภา หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ จะมาแสดงปาฐกถาธรรม ใครจะไปฟังกับผมมั่ง " จำนวนคนทำงานในห้องนั้นราวๆ ๓๐ คน ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครตอบผู้บังคับบัญชา ป้ามองไปเห็นมีข้าราชการหนุ่มท่านหนึ่ง ชื่อ ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ยกมือขึ้น แสดงว่าไปด้วยเพียงคนเดียว

ในทันทีนั้น ป้าก็รีบยกตามขึ้นอีกคนหนึ่ง ป้าทราบว่า ดร. เอกวิทย์ เป็นผู้เลื่อมสอนในคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุอยู่ ส่วนป้านั้นไม่มีความรู้ทางพุทธศาสนาอะไรเลย ยกมือเอาใจเจ้านายไปเท่านั้น เกรงท่านผิดหวัง และบางทีการแสดงความสนใจ ในสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาสนใจอยู่ อาจจะได้รับความเอ็นดูพิเศษ ป้าคิดของป้าตื้นๆ แค่นี้ แล้วก็ยังคิดต่อว่า ตอนเย็นเวลาไป จะไปนั่งแถวหลังสุด พอคนเผลอก็จะแอบหนีออกทางด้านหลัง ไม่มีใครเห็น รีบกลับบ้าน เพราะลูกคนที่สองยังเล็ก จะรอกินนมแม่

แต่แล้วเย็นวันนั้น ขณะป้าฟังปาฐกถาธรรมเรื่องสุญญตา ป้าก็เข้าใจหลักธรรมเหล่านั้นโดยแจ่มแจ้ง เหมือนเป็นเรื่องเคยเรียนมาแล้ว พอมีใครทบทวนให้ ก็เข้าใจกระจ่าง ป้าจึงลืมเรื่องหนีกลับ ฟังจนเลิก เป็นเวลาค่ำ ความปีติใจมีมาก น้ำตาไหลพรากๆ ตลอดเวลาเดินกลับบ้าน ดีที่ไม่มีใครเห็น ขนตามตัว ตลอดจนเส้นผมบนศรีษะ ลุกชูชันอยู่เป็นระยะ ตัวเนื้อเบาประหลาด

นับแต่เย็นวันนั้น ป้าก็ตามผู้บังคับบัญชาไปฟังอีกทุกเย็น รวม ๑๐ วัน คำตอบที่ตนเองได้รับคือ หลักคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น เป็นของหาค่าไม่ได้ พระสงฆ์เป็นผู้สืบศาสนา ย่อมเป็นผู้ทรงคุณค่าสูงส่ง การดูถูกดูหมิ่นพระภิกษุ ย่อมนับว่าเป็นบาปกรรมหนัก เวลานั้นป้าก็พลันนึกหวนเสียใจ ในเหตุการณืที่เล่าไว้ ในวันฝนตกดังกล่าวแล้ว คิดขึ้นในขณะนั้นว่า " ถ้ามีอะไรไถ่บาป ความนึกคิด ที่เคยล่วงเกินเหล่านั้นได้ จะกระทำทันที "

ต่อจากนั้นป้าก็หาหนังสือธรรมะต่างๆ มาอ่าน ตลอดจนซื้อหนังสือทุกเล่มของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ อ่านแล้วอ่านอีก เล่มหนึ่งๆ หลายเที่ยว ได้ความรู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนมากมาย

กระทั่งเดือนสิงหาคม ๒๕๐๗ ป้าได้รับแต่งตั้งจากทางราชการ ให้คุมข้อสอบเลื่อนชั้นของข้าราชการไปที่จังหวัดเชียงใหม่ ป้าได้เจ็บป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ในรถไฟขณะเดินทาง ความเจ็บป่วยในท้องครั้งนั้นรุนแรงมาก จนทำให้นึกถึงธรรมฝ่ายปฏิบัติ เพราะฝ่ายปริยัติที่ศึกษาเล่าเรียนมา ช่วยอะไรไม่ได้เลย กลับไปนึกถึงข่าวในหนังสือพิมพ์ที่เคยอ่านพบว่า มีสมภารวัดบ้านนอกรูปหนึ่งอาพาธ แพทย์จะลองวางยาสลบเพื่อทำการผ่าตัดลำไส้บางส่วนออก ท่านขอร้องหมอว่า ไม่ต้องวางยาสลบให้ท่าน

ขอเพียงกำหนดเวลาว่า จะต้องใช้กี่ชั่วโมงในการผ่า แล้วท่านสมภารรูปนั้นก็ทำสมาธิจิต แยกกายกับใจออกจากกัยชั่วคราว จิตใจท่านก็ไม่รับรู้ทุกขเวทนาใดๆ ตลอดเวลาผ่าตัด ครั้งนั้นป้าอยากเรียนธรรมปฏิบัติขึ้นมาจับใจ

พอหายป่วยคราวนั้น ป้าก็เริ่มซื้อหนังสือมาฝึกหัดปฏิบัติธรรม ด้วยตนเอง เริ่มด้วยการฝึกอานาปาณสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก การฝึกที่ไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอน อบรมใกล้ชิดมีอุปสรรคมาก บ่อยครั้งที่มีประสบการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ผู้ปฏิบัติก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาอย่างไร ยกตัวอย่างกรณีของป้า ป้าฝึกจนสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ภายนอกห้องที่นั่งปฏิบัติอยู่ เห็นทั้งที่หลับตา ป้าก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อ จะเดินทางไปนมัสการถามพระภิกษุ ที่ตนเองศรัธทาท่านก็อยู่ไกลเกินไป สำหรับพระภิกษุที่อยู่ในเมืองป้าก็ไม่เกิดศรัธทา การปฏิบัติธรรมของป้าจึงไม่ก้าวหน้า

เวลานั้นเอง ตำแหน่งราชการของป้า ก็ดันเหมือนปัญหาการปฏิบัติธรรม คือมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก เป็นข้าราชการชั้นโทเต็มขั้น ถ้าเลื่อนเป็นชั้นเอก ต้องมีตำแหน่งเป็นหัวหน้ากอง ทางราชการในยุคนั้น ไม่นิยมให้ผู้หญิงเป็นหัวหน้ากอง อ้างว่าไม่สะดวก ในการออกตรวจราชการในต่างจังหวัด ข้าราขการสตรีในกระทรวง จำนวนไม่น้อยต้องเสียโอกาส สำหรับป้าได้รับความเมตตาจากผู้บังคับบัญชา อยู่เสมอ เลื่อนตำแหน่งในกรมไม่สะดวก ท่านก็ให้ป้าย้ายออกไปเป็นหัวหน้าสถานศึกษา ที่สามารถเลื่อนชั้นได้

ได้เลื่อนตำแหน่งเลื่อนชั้นก็จริง แต่ก็เป็นทุกขลาภ เพราะสถานศึกษาแห่งนั้นสร้างขึ้นใหม่ อยู่ใกล้ท่าเรือคลองเตย เต็มไปด้วยนักเรียนที่มีปัญหาครอบครัว โดยเฉพาะความยากจน พอดีกับเวลานั้น งบประมาณของประเทศเริ่ใขาดแคลน ตัดอัตรากำลังการจ้างครูใหม่ออกไปมาก ทางราชการจึงแก้ปัญหา ด้วยวิธีย้ายครูจากโรงเรียนที่มีครูมาก ให้ตั้งโรงเรียนใหม่

ป้าต้องเผชิญปัญหาหนักที่สุด ทั้งเรื่องของนักเรียรและครู ยังโชคดีที่ผู้บังคับบัญชาเข้าใจบ้าง คัวป้าเองเริ่มสนใจ หลักคำสอนของพุทธศาสนาแล้วบ้าง จึงพอได้ช่วยปัญหาจากหนักให้เป็นเบา ได้เป็นครั้งคราว เวลานั้นป้าต้องการกำลังใจ ในการทำงานมาก การต้องเผชิญปัญหาของนักเรียนและครู อยู่เป็นประจำวัน ทำให้เบื่อหน่ายหน้าที่การงานเป็นที่สุด ถ้าขอลดตำแหน่งและเงินเดือนเหลือเท่านเดิม และให้กลับไปทำงานที่กนะทรวงอย่างเก่า ป้าก็ยอม

ขณะเดียวกันนั้นเอง ปลายปี ๒๕๑๑ เหมือนบุญบันดาล ทำให้ป้ามีโอกาสได้พบหนทางสว่างของชีวิต มีกำลังใจที่เข็มแข็งเกิดขึ้น จะเล่าให้ฟัง

วันหนึ่งน้องชายของป้า ซึ่งทำงานอยู่จันทบุรี เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาบ้านป้า เพื่อจะมาดูหนังจีนกำลังภายใน นำแสดงโดนดาราจีนมีชื่อเสียงโด่งดัง ชื่อหวังอยู่ ฉายที่โรงภาพยนต์ใกล้หัวลำโพง เรื่องเดชไอ้ด้วน ภาค ๒ แต่เดิมป้าก็ชอบดู ต่อมาเมื่อมีลูก มีภาระในบ้านมาก จึงเลิกไปโดยปริยาย ทั้งป้าและน้องชาย เคยอ่านนิยายจีนกำลังภายใน ติดกันงอมแงม โดยเฉพาะน้องชาย เสียเงินเช่าหนังสือมาอ่านเป็นประจำ

วันนั้นกลับจากดูหนัง น้องได้พาเพื่อนคือคุณเผด็จ ผ่องสวัสดิ์ มาด้วย เราดีใจกันมาก ป้าถามน้องว่าไปพบตัวกันได้อย่างไร น้องเล่าให้ฟังว่า พบที่โรงภาพยนต์

" ผมตีตั๋วได้แล้ว กำลังยืนรอคนรอบแรกออกจากโรง ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังอยู่ชั้นบนของโรงภาพยนต์ เป็นเสียงหนึ่งไม่มีสอง เป็นเอกลักษณ์ของเผด็จเค้าเฉพาะตัว เค้าหัวเราะเป็นระยะๆ ผมเลยเดินเบียดผู้คน ที่กำลังออกจากโรงมาแน่นมาก เดินไปตามเสียง พบเผด็จมาดูหนังกับเพื่อนอีก ๒ คน เราดีใจกันใหญ่ นัดพบกันหลังหนังเลิก นี่พาผมไปวัดปากน้ำ พบคุณยายจันทร์มาแล้ว และขอกลับมาเยี่ยมพี่ " น้องชายเล่าวิธีพบกันให้ป้าฟังเสียยืดยาว

คุณเผด็จยังยิ้มเก่ง อ่อนน้อมสุภาพอยู่เหมือนเดิม หลังจากรับประทานอาหารเย็นและเล่าสารทุกข์สุกดิบให้ฟังกันแล้ว คุณเผด็จก็หยิบหนังสือธรรมะ ของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุที่ป้าซื้อมาอ่าน มองดูผ่านๆ พูดขึ้นเปรยๆ ว่า " พี่สนใจเรื่องพุทธศาสนาด้วยหรือครับ"

" พี่ก็ชอบอ่านหนังสือธรรมะบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ได้รู้อะไรๆ ขึ้นมั่ง " ป้าตอบ

" การอ่านทำให้ได้รู้ ก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่านั้น ต้องทั้งรู้ทั้งเห็น ครับพี่ " อีกฝ่ายตอบ

คำว่า "ทั้งรู้ทั้งเห็น" เป็นคำแหลกใหม่ สะดุดใจป้าอย่างแรง จึงได้เริ่มซักไซ้ ให้อีกฝ่ายอธิบาย แรกๆ คนในบ้านทุกคนก็นั่งฟังอยู่ด้วย ครั้งดึกเข้าก็ไปนอนทีละคนสองคน เหลือเพียงป้ากับลูกชายคนโตชื่อเล่นว่าใหญ่ อายุ ๗ ขวบ นั่งฟังกันเลยเที่ยงคืน ป้ากับลูกรู้สึกดีใจ รู้สึกเบิกบานลืมง่วงนอน

เรื่องที่คุณเผด็จเล่าคือ การปฏิบัติธรรมแนววิชชาธรรมกาย ของหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่าเป็นแนวปฏิบัติ ที่ทำให้ทั้งรู้ทั้งเห็นได้จริง เล่าเรื่องของบ้านธรรมประสิทธิ์ ซึ่งมีคุณยายอาจารย์ อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ศิษย์เอกของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นผู้ให้การอบรมสั่งสอนปฏิบัติธรรม หลังจากหลวงพ่อมาณะภาพแล้ว เล่าถึงกลุ่มนิสิตนักศึกษาและข้าราชการ จำนวนเป็นสิบ ที่มาให้คุณยายสอนธรรมปฏิบัติให้

คืนนั้นป้าฟังด้วยความเพลิดเพลินและอิ่มอกอิ่มใจ ตั้งใจว่าจะไปที่บ้านธรรมประสิทธิ์ในวัดปากน้ำให้ได้ รุ่งเช้าคุณเผด็จก็จากไปทำงาน แต่ก็บอกวิธีเดินทางด้วยรถเมล์ไปบ้านธรรมประสิทธิ์ไว้ให้ ลูกชายได้ถามป้าว่า " แม่จะไปวัดปากน้ำเมื่อไหร่ครับ หนูจะไปกะแม่ด้วย "

" เราต้องไปกันวันหยุด เสาร์-อาทิตย์น่ะลูก วันธรรมดาลูกก็ไปโรงเรียน แม่ก็ไปทำงาน กลับถึงบ้านกันก็เย็นมากแล้ว ไปไหนกันไม่ไหว " ข้าพเจ้าตอบ

แต่พอถึงวันเสาร์อาทิตย์ ป้าก็วุ่นกับเรื่องลูก คนโต ๗ ขวบ คนมี่สองยังไม่ถึง ๖ ขวบ คนเล็กก็เพิ่ง ๒ ขวบเศษ ป้าต้องดูแลเต็มที่ทั้งสองวัน เพื่อให้เด็กลูกจ้างรีดผ้า เรื่องไปวัดก็เหมือนจะถูกลืม ลูกชายคนโตรบเร้าป้าทุกอาทิตย์ ป้าก็ชอลผลัดอยู่เรื่อยๆ

ครั้นผ่านไปหลายอาทิตย์เข้า ลูกชายก็ยื่นคำขาดกับป้าว่า " แม่ครับ หนูไม่เห็นแม่ไปวัดตามที่แม่บอกน้า เด็ดซะที หนูไม่คอยแม่แล้ว หนูจะไปเอง" เมื่อถูกลูกชายวัย ๗ ขวบ พูดอย่างนี้ ป้าก็ย้อนถามว่า "หนูจะไปยังไงกันลูก วัดนี้อยู่ไกลนะลูก"

" ไปถูกซิครับแม่ น้า เด็ดบอกว่า สุดทางรถเมล์สาย ๔ สาย ๙ สาย ๖๖ ก็ถึงวัดพอดี ที่หน้าโรงเรียนของหนูมีรถเมล์สายนั้นวิ่งผ่าน หนูจะขึ้นรถสายนั้นไปวัดคนเดียว อาทิตย์นี้แหละครับ "

ด้วยความเป็นห่วงลูก เวลานั้นแกเป็นเด็กรูปร่างหน้าตาน่ารักมาก กลัวว่าอาจจะหลงทาง หรือถูกใครจับตัวไปขาย ตามที่มีข่าวในหนังสือพิมพ์ ป้าจึงพาลูกชายคนโตไปบ้านธรรมประสิทธิ์ ในบ่ายวันอาทิตย์ต้นเดือน ปลายปี ๒๕๑๑

อุบาสิกา ถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล


Create Date : 23 เมษายน 2551
Last Update : 23 เมษายน 2551 11:08:05 น. 0 comments
Counter : 1608 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.