SPITI (ปี 3) หมู่บ้านสัญจร #Hikkim
เราได้ทราบถึงเส้นทางการเชื่อมต่อไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ผ่านตารางเดินรถโดยสาร กันแบบคร่าวมาแล้วเนาะ เรื่องอุปสรรคของเวลาน่าจะเป็นเรื่องที่หนักใจไม่น้อย บางหมู่บ้านไม่มีรถวิ่งผ่านทุกวัน หรือไม่ก็จะพบว่ากว่าเที่ยวรอบเย็นจาก kaza จะนำพาไปถึงยังจุดหมายก็โน่นเลย ปาไปเกือบค่ำมืดแล้ว หนำซ้ำคิววิ่งรถก็มัก ตีกลับในรอบเช้าตรู่ ถ้าจะพึ่งพาเพียงแค่รถประจำทางอย่างเดียวคงต้องมีเวลา อยู่กันยาว ๆ ถ้าต้องตัดตัวเลือกที่ง่ายแสนง่ายแอย่างการเหมารถรับจ้างออก ในอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้นั่นคือ การเดิน !
เมื่อวานนี้เราได้มีโอกาสเจอกับคนอื่นในครอบครัวผู้ดูแลเกสเฮาส์นี้อย่างเช่นคุณลุง (สามีป้า) นอกเหนือไปจากลูกสาว ลูกสะใภ้ หลานตัวเล็ก ก็ยังมีลูกชายคนโตอีกคน ถ้าไม่นับป้าคุณซุม พวกเขาต่างก็ใช้ภาษาสื่อสารได้ดี กิจการเกสเฮาส์เล็ก ๆ แห่งนี้ ทำให้ช่วงเวลาที่พักอยู่ใน Kaza ของเราจึงไม่เงียบเหงาเท่าไหร่
หลังออกไปเดินเล่นข้างนอกและหากาแฟดื่มช่วงเช้าตรู่แถวฝั่งท่ารถ วันนี้ตรงกับวันศุกร์ ไม่มีรถขึ้นไปยังหมู่บ้านด้านบนอย่าง Langza – Hikkim – Komic ก่อนหน้านี้เราเคยร่าง แผนบ้า ๆ บอ ๆ เอาไว้ในใจมานาน สำรวจเส้นทางเดินเท้าข้ามหมู่บ้านแบบที่คนท้องถิ่น เขาใช้สัญจรไปมาหาสู่กัน ช่วงนี้ยังมีร้านรวงเปิดอยู่มากมาย มื้อเช้าแรกของวันก็เลยออกไปหาได้ง่าย ๆ จากย่านตลาด พอกลับมาถึงเกสเฮาส์ก็ทำการแยกเป้ใหญ่สำหรับฝากไว้ แบ่งของที่จำเป็นไว้ในเป้เล็กสำหรับ ติดตัวช่วงการเดินทางไกลและจ่ายค่าที่พักให้กับลุง เลยได้ลองสอบถามถึงเรื่องเส้นทางเชื่อม ต่อไปบนเขาเพื่อความแน่ใจ และถึงคำตอบที่ได้จะดูเหมือนไม่ได้อยากส่งเสริมนักแต่ก็ไม่ถึง กับบอกห้าม "ได้สิ แต่ทางบนนั้นมันไม่ค่อยมีคนเดินขึ้นไปกันแล้ว" ตรงเนินเขาหลัง Sakya Tangyud Monastery มีพื้นที่สูงชันเป็นฉากใหญ หากมอง ถัดขึ้นไปบนนั้นอีกนิดก็จะเห็นกลุ่มธงมนตราแขวนอยู่ตรงหลักเสา นั่นคือจุดที่เราเคย ขึ้นไปนั่งชมวิว แล้วก็เข้าใจว่าคงขึ้นไปสุดได้เท่านี้ จนมารู้ภายหลังว่ามันสามารถใช้ เดินลัดเลาะไปไหนต่อไหนได้อีก
ลุงถามถึงน้ำที่จะพกติดตัวไปดื่ม เราโชว์กระบอกน้ำที่ติดตัวมาให้ดู มันเก็บความร้อนได้ และจุน้ำประมาณครึ่งลิตร แต่ก็พอมีขวดน้ำพลาสติกอีกใบที่ดื่มน้ำหมดเกลี้ยงแล้วยังไม่ได้ทิ้ง ลุงจึงหยิบขวดที่ว่าไปเติมจากจุดกรองน้ำสำหรับดื่มบนบ้าน พอขึ้นตามไปก็เห็นครอบครัวนี้ กำลังล้อมวงกินมื้อเช้ากันอยู่พอดีที่มุมหนึ่งของห้องครัว พอรู้ว่าเรามีแผนเดินเท้าขึ้นไปยัง หมู่บ้านข้างบน พวกเขาก็ถึงกับชักชวนให้มานั่งกินอาหารเติมพลังก่อนไป มื้อนี้มีทั้งข้าวและปาราทา (โรตีประเภทหนึ่ง) กินกับซับจี (ซับจี แปลว่าผัก) เป็นเมนูผักที่ผัดกับเครื่องเทศ ล้วก็มีแกงมันฝรั่งใส่โปรตีนเกษตรรวมถึงไข่เจียว … นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ กับการได้ร่วมล้อมวงกินข้าวร่วมกับครอบครัวชาวสปิติในมื้อ อาหารที่ทำกินกันเองในครัวเรือนจริง ๆ ไม่ใช่แบบที่จัดทำไว้รับต้อนรับแขกผู้มาเยือน
ดูเหมือนว่าบรรดาอาหารที่เล่ามาเหล่านี้จะมีรสชาติไม่จัดจ้านเท่าไหร่นะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ แอบมีของดองไว้กินแก้เลี่ยนอย่างพริกดองแบบอินเดียสีสุดแจ๊ด แล้วที่เซอร์ไพรส์มาก ๆ คือพริกคั่วป่นผัดน้ำมัน ที่ทำเก็บใส่กระปุกและตักแบ่งเอาไว้ใส่เพิ่มรสชาติตอนกินอาหาร ถ้าให้เทียบเคียง ก็น่าจะเหมือนพริกเผาที่ไม่ใส่มะขามเปียกปรุงรส เลยทักบอกพวกเขาให้ รู้ว่าว่าอันนี้ดูคล้ายเครื่องปรุงอาหารในเมืองไทยมาก ๆ เลย
จากที่เคยเขียนเล่าถึง หุบเขาสปิติ ในเอนทรี่เก่า ๆ ก็จะเห็นว่าเรามักจะเรียกผู้คนตามชาติพันธุ์ เพื่อง่ายต่อการเข้าใจในวัฒธรรมของท้องถิ่นนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจแบบเหมารวมนะคะ อย่างชาวลาดัก ชาวสปิติ ชาวอินเดีย เป็นต้น
มาถึงประเด็นนี้ ก็ถือโอกาสแทรกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หน่อยเนาะ -- อารมณ์ว่ารู้ไปก็เท่านั้น หากอิงจากงานเทศกาลเมื่อคืนนี้ ที่ใช้ภาษาฮินดี เพราะมีคนมาร่วมงานจากหลายที่หลายถิ่น มาร่วมชมด้วย แล้วโดยปกติเนี่ยชาวสปิติเขาพูดภาษาอะไรกัน
ตัดภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษ ที่ใช้สื่อสารกับคนอินเดียและคนต่างถิ่นรวมถึงต่างชาติ ภาษาถิ่นในสปิติ ถือเป็นกลุ่มเดียวกับ ลาดัก แยกย่อยมาจากตระกูลของภาษาทิเบต ซึ่งมี ชื่อเรียกเฉพาะว่า Bhoti จากที่ลองฟังเทียบดูแล้วก็คล้ายกันหลายคำ เช่นพวกศัพท์ที่ ใช้เรียกเครือญาติ แต่ก็ไม่สามารถสื่อสารกันได้แบบเต็มร้อย
พวกเขาได้บอกถึงสำเนียงการพูดของชาวสปิติ คนที่อาศัยใน Losar กับ Tabo จะเหน่อต่างกันอีก สำหรับคนนอกถิ่นแบบเราคงแยกไม่ออกเท่าไหร่
แต่ในประเด็นที่น่าสนใจสำหรับเราคือเพิ่งรู้ว่า พื้นที่ในเขต Mustang ของประเทศเนปาล ใช้ภาษานี้สื่อสารเช่นเดียวกับชาวสปิติอีกด้วย
โอเค พอจบการสนทนาแบบสัพเพเหระหลังมื้ออาหารนี้แล้ว ก่อนบอกลาเพื่อเตรียมตัวเดินทางไกล ป้าก็เอาปาราทาสองสามแผ่น มาทาเนยม้วนห่อฟอยด์ให้ติดไปเป็นเสบียงด้วย แกว่ากว่าจะเราดั้นด้น ไปถึงจุดหมายข้างบนได้นั้นมันต้องใช้พลังเยอะมากกกกกกกกกกกก
เราเดินออกจากเกสเฮาส์ตรงไปยังที่ตั้งของ Sakya Tangyud Monastery ในความทรงจำสุดท้ายที่พอนึกออก ด้านหลังวัดจะมีทางขึ้นบันไดเชื่อมต่อไปยังจุดเล็ก ๆ สองตำแหน่ง คือเทวสถานของฮินดู และเสาที่เป็นฐานปักธงมตราซึ่งจะอยู่บนที่สูงถัดไป จะว่าไปมันก็ดูเสียงเอาเรื่อง
เรายืนคิดถึงความน่าจะเป็นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีพระกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากอาคาร พอโบกมือทักและส่งเสียงทักไปยังพระที่ยืนในอยู่ในกลุ่มต่างกำลังเดินลงบันไดลงมา หนึ่งในนั้นแยกตัวออกมาเพื่อตรงเข้ามาที่เรา ก็เลยได้ถามหลวงพี่ถึงทางขึ้นด้านบนและ ได้รับคำยืนยันว่าเส้นทางนั้นยังใช้ได้อยู่จริง ช่วงแรกอาจต้องออกแรงปีนเยอะนิดหน่อย แต่ผ่านไปสักเดี๋ยวก็เจอกับถนนที่เชื่อมต่อไปยังหมู่บ้านด้านบนได้
*คำที่ใช้กล่าวทักทาย ในบริบทนี้นอกจาก Juley ก็ยังมีคำเฉพาะสำหรับพระ (โดยเฉพาะระดับผู้ใหญ่) ก็คือ Chatsel เราจำมาจากภาษาที่ใช้กันในลาดักอีกทีนะ เพราะมีวัฒนธรรมคล้ายกันอยู่ อาจใช้รูปเต็มคือ ชัทเซล จูเล (Chatsel Juley) ซึ่งใน ตำราบอกไว้ว่าเป็นระดับคำที่ very respectful เลยล่ะ
⭗ พระที่มาช่วยบอกทางและช่วยแนะนำที่พักในหมู่บ้านให้
หลวงพี่ถามหากระดาษหรือไม่ก็อาจเป็นสมุดที่พกมาพร้อมปากกา เหมือนจะเอามาเขียน จดอะไรบางอย่างให้ เปิดควานกระเป๋าดูแล้วรื้อยากมาก เลยหยิบแผนที่ไปให้แทนเพราะ มันพอเหลือพื้นที่สำหรับขีดเขียนลงไปได้ "อาตมาชื่อจัมปา"
พระแนะนำตัวเอง แล้วยื่นส่งกระดาษและปากกาส่งกลับมา พร้อมอธิบายสิ่งที่เขียนไว้ "ถ้าเย็นนี้เธอแวะไป Hikkim ก็พักที่บ้านของครอบครัวพี่ชายอาตมาได้เลย" มีแค่ชื่อเจ้าของบ้านที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ และประโยคภาษาฮินดีที่เราอ่านไม่ออกกำกับไว้
พูดถึง Hikkim เราเคยเดินผ่านหมู่บ้านที่ว่านี้หนนึง จำได้ว่ามันมีขนาดเล็กมาก ๆ จำนวนประชากรคงเยอะสูสีกับ Komic ที่แทบจะรู้จักกันหมดทั้งหมู่บ้าน ส่วนมากแล้ว จุดขายของ Hikkim ก็คือที่ตั้งของที่ทำการไปรษณีย์ที่เคลมว่าอยู่ในระดับสูงสุดในโลก คนที่แวะมาก็แค่ทำกิจกรรมส่งโปสการ์ด ปั๊มตราประทับและหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ เป็นอัน จบธรรมเนียมของการมาเยือนของนักท่องเที่ยวแล้วก็จากไป แต่ที่จะมาพักค้างแรม...แทบไม่เคยได้ยิน โดยมากแล้วก็จะนิยมไปที่ Langza มากกว่า เอาเถอะ ถึงจะไม่ได้รับปากพระจัมปาไปตรง ๆ ว่าคิดจะพักที่ไหนในคืนนี้ ก็ได้แต่ขอบคุณกับน้ำใจที่เสนอทางเลือกนี้มาให้ ภายหลังจบการพูดคุยแล้ว เราก็รีบหาทางขึ้นไปที่หลังวัดต่อทันที
จากจุดเริ่มต้นแรกเนี่ย ไม่ยากมากเท่าไหร่ มันเป็นบันไดปูน ที่ปูเชื่อมทางขึ้นเขาเอาไว้แบบปกติเลย แค่อาจมีเหนื่อยง่ายนิด ๆ เพราะอยู่บนพื้นที่สูงนี่เนอะ มาถึงตำแหน่งแรกตรงแยกด้านบน ก็เจอกับชาวอินเดีย รายนึงกำลังเลี้ยวไปทางด้านขวามือ นี่ก็เลยสงสัยว่าขึ้นมาทำอะไรบนนี้และถามเขา ว่าจะไปไหนอะคะ...ไบย่า? "มันดีร์!"
ห๊ะ … เดี๋ยวนะ หูฟาดรึเปล่าเนี่ย ทางนี้มันเชื่อมไปไกลจนถึง เมืองมันดี้ ได้ด้วยเรอะ อเมซิ่ง !!!! จากนั้นเขาก็ทำท่าไหว้ แล้วชี้ให้ดูตรงที่ตั้งของเทวสถานเล็ก ๆ ของฮินดู ปัดโธ่ เขาหมายถึง Mandir ต่างหากไม่ใช่เมือง Mandi 555
เมื่อเรามาถึงจุดที่เคยมานั่งชมวิว แหงนมองไปยังตำแหน่งของเสาปักธงที่อยู่ถัดไปจากนี้ มันช่างสูงงงง เสียเหลือเกินตรงสันเขานั่น … จากนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เราเลี้ยวลัดไป อีกฝั่งที่ตรงนั้นเหมือนมี่รอยทางเล็ก ๆ ให้เดินไปได้ คาดว่าสักพักหนึ่งคงเจอทางเชื่อม ที่ลัดไปยังข้างบนเองแหละ
⭗ เดินเลียบเขาไปพร้อม ๆ กับชมมุมสูงของ Kaza อีกมุมหนึ่ง
⭗ ฟากตรงข้ามของแม่น้ำสปิติ มีที่ตั้งของชุมชนเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Gawang และมีสำนักชีตั้งอยู่ตรงนั้น
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง จากทางเดินเลียบเขาที่วุ่นวายกับการคลำหาจุดวางเท้าที่เหมาะสมกับการพาตัวเอง ในเคลื่อนไปข้างหน้า บางทีก็ต้องไต่ขึ้นปีนลง จากที่ดูเป็นทางเท้าเล็ก ๆ ในระยะแรกมันก็เริ่มแคบลง รอยทางที่คาดว่าจะพอให้วางเท้าเดินยากจากปกติ หดหายไปจนเหลือแต่โขดหิน ร่องหิน ให้พอเกาะ ยึดและป่ายปีนแบบพวกปีนผา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเส้นทางลัดแบบนี้ ชาวบ้านจะแบกขนข้าวของหอบ พะรุงพะรังจาก Kaza ขึ้นหมู่บ้านยังไง หากนี่คือการเดินทางแบบคนในยุคก่อนที่ใช้การเดินเท้าอย่างนี้ เป็นเรื่องปกติ
ยิ่งเคลื่อนไปข้างหน้ามือชักเริ่มไม่ว่าง โขดหินบางก้อนก็ดูไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่ กดเหยียบแล้วร่วงก็มี คงถึงเวลาต้องเก็บกล้องเข้ากระเป๋าและออกแรงหนักจริงจังซะแล้ว จังหวะหนึ่งที่พอมีพื้นที่ให้เท้ายืน ค้ำเกาะยึดตัวได้ เราเอื้อมหยิบขวดน้ำพลาสติกที่ทางเกสเฮาส์กรอกมาให้มาจิบ แต่ก็ดันหลุดพลาดไป จากมือ ขวดน้ำนั่นกลิ้งร่วงลงไปข้างล่าง เมื่อกระทกลงที่พื้นด้านล่างแรงกระแทกกับหินก็ได้อัดฝาปิด กระเด็นออก ส่วนขวดน้ำที่บิดเบี้ยวก็กลิ้งไถลลงไปเรื่อย ๆ จนหยุดลงที่ซอกหิน
มีความคิดวูบหนึ่งวิ่งแล่นเข้ามาในหัว แล้วถ้าเปลี่ยนจากขวดน้ำเป็นร่างตัวเองที่พลาดละเฮ้ย
เป็นช่วงเวลาที่น่าสับสนจริง ๆ กับคำว่าจะไปต่อหรือหาทางกลับดี เวลาก็เพิ่งจะบ่ายโมง นี่ถ้าวก กลับไปยังเกสเฮาส์คงขายหน้าเขาแย่ อุตส่าห์ให้ร่วมวงกินข้าวเอาแรง ยื่นเสบียงพกพา และร่ำลา กันซะดิบดี
ชะเง้อมองไปไกลจากในทิศทางข้างหน้า มีทางถนนที่เป็นทางปกติสำหรับรถวิ่งคงหมดหนทาง หาจุดลัดขึ้นไปด้านบนแล้วล่ะ ถอดใจและเปลี่ยนแผนบ้า ๆ นี่แล้ว พร้อมหาทางลงไปยังพื้นที่ด้านล่าง แทนดีกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าในขณะที่ตัวเองยังไต่เลียบเขาตอนนั้น จะมีใครสักคนที่อยู่ด้านล่างในฝั่ง New Kaza สังเกตเห็นหรือปล่าวนะ แต่ที่แน่ ๆ ได้โบกมือทักนักท่องเที่ยวที่ขับมอเตอร์ไซค์ข้างล่าง ผ่านสายตาไปสองสามราย จำได้ว่าคนพวกนั้นส่งสัญญาณมือทักทายกลับ "วู้ ๆ" พร้อมยกนิ้วโป้งให้... พวกเขาช่างไม่รู้ความเลยว่าไอ้เรากำลังทำอะไรอยู่ อยากตะโกนบอกเหลือเกิน ช่วยพาตูลงไปที!!!!!
เผื่อใครที่นึกไม่ออกว่าสิ่งที่บรรยายมานั้นมันเป็นยังไงล่ะก็ ขอเฉลยให้ดูก่อนเลยนะ .... แอ่น ~ แอน ~ แอ๊นนนน
⭗ ฝั่ง New Kaza และภูเขาที่ตั้งอยู่เป็นฉากหลัง ที่เป็นพื้นที่เชื่อมโยงไปยังหมู่บ้านด้านบนด้วยเส้นทางลัด บนทาง(หลง)เส้นสีแดง จำไม่ได้แล้วว่าเดินไปสุดตรงไหน รู้แต่ว่าเลยพ้นไปไกลจากหมู่บ้านแล้ว
ใช้เวลาตะเกียกตะกายปีนป่าย หาทางลงมายังถนนได้อย่างปลอดภัยแล้ว ก็มานั่งบนแท่นปูนที่เขาวางกั้นริม ขอบถนนพักหนึ่ง ควักเสบียงที่พกติดตัวมานั่งกินด้วยความเซ็ง นอกจากปาราทาของป้า ก็มีผลไม้อบแห้งที่ ซื้อติดมาจากลาดัก รวมไปถึงชีสแห้ง ที่หยิบเอามานั่งกินเติมแรง แต่แกล้งเหมือนทำทีว่ามานั่งปิคนิค
ผ่านไปได้สักยี่สิบนาทีได้ไม่เห็นมีรถคันไหนวิ่งผ่านมาสักคัน จนได้เจอกับพวกพี่ ๆ คนงานรับจ้างสองคน ที่กำลังขับแทร็กเตอร์ขึ้นมา ก็น่าจะเป็นชาวอินเดียจากทางตอนล่างมารับจ็อบงานเก็บเกี่ยวแถวนี้ และตรง ด้านหลังติดพ่วงกระบะเอาไว้
เรารีบถามพวกเขา ถึงจุดหมายที่กำลังไป พวกเขาบอกกลับมาว่า Langza
ถึงจะเป็นคนละหมู่บ้านในเป้าหมายแรกตามที่คิดไว้ แต่แถวนั้นมันก็เป็นกลุ่มหมู่บ้านที่ตั้งไม่ไกลจากกันนัก เราเลยขอติดรถไปด้วย
⭗ หลังกระโดดขึ้นรถเพื่อขอเกาะติดไปด้วย มีที่นั่งฝั่งหนึ่งยังว่างอยู่แต่คิดว่าบนกระบะน่าจะดีกว่า
⭗ สองคนนี้ไม่รู้เส้นทางไปยังหมู่บ้าน Langza เพราะมาครั้งแรก เลยต้องจอดถามรถที่สวนผ่านมา
โดดมานั่งหลังกระบะบนเส้นทางขลุกขลัก ๆ รถแทรกเตอร์ก็เคลื่อนขับไปตามความสูงของถนนที่กำลังจะพา ไต่ระดับไปหาที่ตั้งของกลุ่มหมู่บ้านสูงลิบลิ่วเหนือสันเขา ที่เราเคยพยายามปีนแล้วแต่ไม่สำเร็จเมื่อครู่นี้ พี่สองคนก็พยายามถามหาเส้นทางจากรถที่สวนผ่านมา สองถึงสามคันจนกระทั้งเจอป้ายที่ปักบอกทาง ไปยัง Langza และเส้นที่แยกไป Hikkim - Komic
คนขับรถหันมาถามว่า ตกลงจะไป Komic มั้ย หรือจะไป Langza ด้วยกัน ระหว่างรอตัดสินใจก็มีรถตู้ขาวที่ขับพานักท่องเที่ยวแวะมาเทียบถามทาง คนนั่งหน้ารถคู่มากับ คนขับดูเหมือนเป็นชาวอินเดียจากทางตอนใต้ พวกเขาคุยอะไรบางอย่างสองสามประโยค ก่อนจะได้ความว่ารถคันนี้จะไปทางฟาก Komic เลยหันมาบอกให้เราติดไปกับคนกลุ่มนี้แทน
นี่ก็ไหว้ขอบคุณพวกเขาเลยนะ ที่ให้ติดรถมาถึงข้างบนแล้วฝากฝังกับกลุ่มนักท่องเที่ยวอื่นแทนอีก ที่รถคันใหม่เบาะหน้าข้างคนขับถูกขยับแบ่งที่ให้ครึ่งนึง ดีที่เป็นคนตัวเล็กเหมือนกัน ส่วนผู้โดยสาร คนอื่น ๆ ตรงด้านหลังก็เป็นกลุ่มเพื่อนทีมเดียวกันนี่แหละ พวกเขามาจากรัฐเกรละและทำคอนเทนต์ เรื่องท่องเที่ยวในนามของ Wandering Keralites ก็มีคละกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
เธอชื่อฟ้าเหรอ ผมชื่อ Fai
คนที่แบ่งพื้นที่เบาะให้นั่งแนะนำตัวให้ฟัง พวกกลุ่มข้างหลังนั่งขำกับชื่อที่บังเอิญฟังดูคล้าย ๆ กันของพวกเรา ไม่รู้ว่า Fai นี่มาจากคำว่าอะไรแต่ชื่อแปลกดีคงเป็นภาษาทางใต้มั้ง ส่วนพี่คน ขับรถก็มาจากรัฐเกรละเหมือนกัน เลยคิดว่ารถคันนี้คงเช่ามาขับเที่ยวเป็นการส่วนตัว
Fai บอกว่าตามแผนของพวกเขาจะไปแวะกันที่ Hikkim แล้วค่อยไปต่อ Komic จากนั้นก็ว่าจะไปค้างกันที่โฮมสเตย์ในหมู่บ้าน Langza ฟังดูแล้วก็เป็นทริปการเดินทาง ที่เชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านต่าง ๆ ในย่านนี้ได้ไวดีจัง
⭗ ได้ย้ายตัวลงจากแทรกเตอร์มานั่งเบาะหน้ารถนำเที่ยวของกลุ่มคนที่มาไกลจากรัฐเกรละ
⭗ เส้นทางรถวิ่งเมื่อไต่ระดับความสูงขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง
พอมาถึงหมู่บ้านที่หมาย ก็พากันลงไปสำรวจพื้นที่กันสักหน่อย ก่อนที่จะพากันไปยังที่ทำการไปรษณีย์ ถ้าใครไม่พกเตรียมการ์ดที่จะส่งมาก่อน จะมีจุดขายโปสการ์ดตั้งอยู่ตรงข้ามขายกันที่ 30 รูปี ภายหลังจาก เขียนข้อความด้านหลังและชื่อที่อยู่ผู้รับเสร็จแล้ว ก็จะต้องเข้าไปซื้อดวงตราไปรษณีย์ที่ด้านในที่ทำการฯ ของเราส่งกลับไปยังที่เมืองไทยก็จะติดเยอะกว่าใครเขา พื้นที่โปสการ์ดเลยมีน้อยกว่ารายอื่น ๆ ที่เขาแปะ กันแค่ดวงเดียวเพราะส่งกันแค่ภายในประเทศ
หน้าตาของพื้นที่ด้านในของที่ทำการไปรษณีย์ก็เหมือนกับบ้านธรรมดา ๆ หลังนึง เดินเข้าไปแล้วไม่มีทางแยกออกแน่นอน มีการเว้นพื้นที่ส่วนหนึ่งให้คนที่มาใช้ บริการรอเจ้าหน้าที่กดประทับตราก่อนออกไปหย่อนกันที่ตู้สีแดงเล็ก ๆ ที่แขวน เป็นจุดเด่นที่ด้านนอก
ระหว่างที่กลุ่มคนจากเกรละ กำลังรอถ่ายรูปและส่งโปสการ์ด เราก็ใช้ช่วงเวลาระหว่างนั้นลองเดินหาบ้านของหลวงพี่จัมปา โดยแวะไปที่ ร้านขายของชำหน้าหมู่บ้าน หากไม่มีใครรู้จักก็จะได้เลยไปยัง Komic แทน
ลองถามพระที่นั่งอยู่บริเวณนั้นพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นนั้นส่งไปถามถึงบ้าน ของคนที่ชื่อ นาวัง หลังจากพระได้อ่านข้อความที่เขียนอธิบายเพิ่มมาในนั้น ก็ชี้บอกถึงตำแหน่งบ้านดังกล่าว ที่ดาดฟ้าของบ้านมีชายคนหนึ่งกำลังยืนจัด ระเบียบของเหล่ากิ่งก้านพืชที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาสุมกอง
พระตะโกนบอกให้นาวังรู้ว่า เราจะไปพักที่บ้านของเขา หลังจากส่งโพยกระดาษนั้นให้ดู รวมถึงภาพของพระจัมปาที่ถ่ายไว้ นาวังยืนยันว่านั่นคือน้องชายของเขาเอง จากนั้นก็เชิญไปยังที่บ้าน พร้อมกับบอกให้ลูกสาวมาเปิดห้องให้เข้าพัก แล้วพวกเขาก็ขอแยกตัว ออกไปจัดการธุระของวันนี้ก่อน ช่วงค่ำ ๆ ค่อยเจอกันอีกทีตอนกินข้าว
⭗ ที่ทำการไปรษณีย์ของหมู่บ้าน Hikkim ที่เคลมกันว่าเป็น The World's Highest Post Office
⭗ โปสการ์ดที่ซื้อจากแถวนั้น ส่งกลับมาไทยเลยติดดวงตราไปรษณียากรเยอะกว่าคนแถวนั้น
⭗ วิวจากเนินบนถนน แถว ๆ จุดจอดรถ Fai วิ่งลงไปสำรวจด้านล่างแล้วกลับมาบอกว่ามีโรงเรียนด้านล่างที่นึง
พอตกลงที่จะปักหลักพักค้างแรมในที่บ้านนาวังในวันนี้ ก็ต้องออกไปบอกลากับกลุ่มชาวเกรละ ว่าจะไม่ติดรถไปอีกหมู่บ้านพร้อมกันแล้ว ความที่ Hikkim นี้ไม่มีอะไรมาก ไม่นานนักพวกเขา ก็มุ่งหน้าเดินทางไปกันต่อ
⭗ อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน Hikkim ลักษณะการตั้งบ้านจะอยู่รวม ๆ ที่เนินด้านบน ส่วนพื้นที่กว่านั้นเป็นที่นา
⭗ ร้านขายของชำและร้านน้ำชาประจำหมู่บ้าน ช่วงนี้เริ่มมหมอกลงอากาศเริ่มเย็นขึ้น
⭗ ผืนนาที่เก็บเกี่ยวไปจนเกือบหมดแล้ว ก็มีทั้งวัว ทั้งจามรี เล็มหาหญ้าบริเวณนั้น
⭗ ได้เวลาต้อนฝูงปศุสัตว์กลับคอกช่วงเย็น
⭗ ทั้งแพะและแกะเดินกันฝุ่นตลบ ที่จริงแล้วมีจะหมาเลี้ยงแกะคอยวิ่งคุมแถวด้วย
⭗ วิวหน้าต่างจากห้องที่นอนในคืนนี้
ครอบครัวของนาวัง มีอยู่ด้วยกันห้าคน ประกอบด้วยเซริ่ง (ภรรยา) ลูกสาวสองคน เจนซิน, ลาโม และลูกชาย คนเล็ก ทุกตั๊บ ที่ไม่ค่อยมานอนบ้านตัวเองเท่าไหร่ ด้วยความที่คนแถวนั้นรู้จักกันแทบหมดเลยไม่ค่อยน่าห่วง อะไร อีกทั้งเจ้าตัวเล็กนี่ค่อนข้างติดเล่นเกมในแท็บเล็ตไปเยอะหน่อย
พวกเขายกห้องนอนชั้นบนให้เราพัก ส่วนบริเวณล่างของบ้านที่เป็นห้องสำหรับรับแขก ห้องครัว และห้องนอน จะเป็นพื้นที่ของคนในครอบครัว ช่วงมื้อค่ำน้องเจนซินชวนลงไปกินข้าว เห็นนาวังนั่งอยู่บริเวณหัวมุมกำลังอ่าน ท่องบทสวดหรือคัมภีร์บางอย่างอยู่ซึ่งพิมพ์เป็นอักษรทิเบตอย่างเงียบ ๆ
พี่เซริ่งทำแกงถั่วกับจาปาตีและผัดผัก แถมโยเกิร์ตอีกหนึ่งทัพพี ก่อนที่จะเอาส่วนที่เหลือไปทำเป็นหัวเชื้อ หมักใส่นมสำหรับกินในรอบถัดไป เจนซินดูกำลังเคร่งเครียดกับการบ้านคณิตศาสตร์ กินข้าวพร้อมนั่งแก้ โจทย์เลขไปด้วย แถมยังบอกว่าจะมีสอบพรุ่งนี้อีก ดีที่โรงเรียนใกล้บ้านและเข้าเรียนเก้าโมง ลูกสาวคน- รองอย่างลาโม ดูเหมือนจะเป็นคนคุยเก่งกว่าใครในบ้าน ส่วนเจ้าทุกตั๊บ โผล่มาครู่เดียวก็หนีไปนอนที่บ้าน ญาติที่เป็นพระ(พระรูปเดียวกับที่เจอตรงร้านขายของชำ) เป็นที่เรียบร้อย
พวกเขาเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ที่น่ารักดี ถึงจะดูมีท่าทีแปลกใจนิดหน่อยกับแขกผู้มาเยือนวันนี้ จากการ ฝากฝังของพระจัมปาผู้ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านนี้อีกคน เราเองก็แอบวางตัวไม่ค่อยถูกนิด ๆ ในช่วงแรกที่มาทำความรู้จักสมาชิกบ้านนี้ คือไม่รู้ว่าจะอยู่ในฐานะไหนระหว่างนักท่องเที่ยวผู้เข้ามา พักแรมกับโฮมสเตย์ทั่วไปหรือมาพักในนามแขกรับเชิญของญาติพวกเขา
++ หมายเหตุ ++
(1) เรื่องของ Kaza ในครั้งนี้จะอาจไม่ได้เอ่ยถึงมากเท่าไหร่ แวะไปดูในเอนทรี่เก่าได้ที่นี่ : SPITI (ปี 1) สำรวจ Kaza และเรื่องทั่วไป
(2) ชื่อหมู่บ้าน โคมิก จากเดิมที่เคยลงไว้ในตอนเก่า ๆ อย่าง SPITI (ปี 2) หรือก่อนหน้านั้น ปรับเปลี่ยนแก้การสะกดตัวท้าย จากเดิมที่เคยใช้คือ Komik มาเป็น Komic แทนหลังจากนี้นะคะ
Create Date : 23 พฤษภาคม 2565 |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2565 8:29:08 น. |
|
11 comments
|
Counter : 1041 Pageviews. |
|
|
ทึ่ง ตะลึง ตึงๆ ในความกล้าหาญ ชาญสมร ที่คิดจะเดินเท้า ตัวคนเดียว ปล่าวเปลี่ยวเอกา ขึ้นเขาไปหาหมู่บ้านลึกลับนะเนี่ย
ถ้าเป็นทางราบก็ว่าไปอย่าง
นี่ เส้นทางบนเขา ต้องปีนป่าย อากาศเบาบางด้วย
แล้วก็โชคดีนะที่หลง เพราะถ้าไม่หลงนี่ มันสูงมากเลยนะ
มี ฉากหวาดเสียว กระติกน้ำหล่นด้วยอะ ดีที่ไม่ห่วงกระติก เอื้อมมือไปคว้านะเนี่ย อุ๊ย หวาดเสียว555
นึกถึงหนัง เรื่องนึง จำชื่อไม่ได้ ที่พระเอกไปเที่ยวแล้วตกไปติดในซอกหน้าผา แคบๆ แล้วขาหรือแขนหักไม่รู้ กว่าจะหลุดออกมาได้นี่หลายวันเลย
ลุ้นน่าดู เพราะไปในเส้นทางที่ไม่มีคนสัญจรปกติแบบนี้เลย
แล้วก็ชอบซีน ที่ตัดสินใจกลับลงมานั่งกินโรตี ตอนหิวตาเหลือกแล้วทำท่าทางปกติ เหมือนมาปิกนิค เนียนมากเลยจ้า555
ทริปนี้โชคดีที่มีแทรคเตอร์ผ่านมา นั้่งหัวสั่นหัวคลอน ตับไตไส้ เขย่าไปรวมกันหมด 555
แถมพี่คนขับก็ใจดี ฝากไปกับรถ นทท ให้ แต่ดูถนนแล้ว แค้บ แคบ น่าหวาดเสียวมากๆ
ในที่สุดก็ได้มา ไปรษณีย์ที่ สูงที่สุดในโลก
ถามนิดนึง ว่า นานมั้ย ที่โปสการ์ด กว่าจะมาถึงเมืองไทยเนี่ย
สุดท้าย ก็โล่งใจ ที่ได้ที่พักที่พระ ฝากฝังมา
กินจาปาตี อิ่มปากมัน นอนอุ่นสบาย มีห้องน้ำเข้าไม่ต้องไปเก็บดอกไม้
แต่ขอเดาว่า คืนนั้น น้องฟ้า น่าจะไม่ได้อาบน้ำอีกแน่นอน อิอิ
เข้าใจได้ว่า อากาศมันเย็น เหงื่อไม่ค่อยออกเนอะ 555