อาทิตย์ที่แล้วมีธุระต้องเดินทางไกล ไปเยี่ยมญาติที่ไปทำมาหากินอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามัน เลยไม่ได้เข้ามาที่บล๊อกแก๊งค์เท่าไหร่ ที่รับรู้ข่าวสารก็โดยการใช้สมาร์ทโฟน (แบบว่าทันสมัยกะเขาหน่อย...) น่ะครับ

ที่จริงเราแพลนว่าจะลงใต้เมื่อเดือนเมษายน แต่เจ้าลูกชายสุดที่เลิฟดันยังไม่ปิดเทอม คือผลพวงมาจากน้ำท่วมใหญ่อ่ะครับ เขาสอบเสร็จเมื่อประมาณ 18 พฤษภาคม เราเลยถือฤกษ์ลงไปรับเขาที่หอพักมหาวิทยาลัยแถวฝั่งธน เพื่อร่วมเดินทางไปด้วยกัน.... การล่องใต้ของเราคราวนี้จึงเป็นช่วงพายุเข้าพอดี ภาพในแต่ละสถานที่จึงออกมาเป็นมัวๆ เศร้าๆ ไม่สดใสเท่าที่อยากได้ ทนชมหน่อยนะครับ..

เริ่มภาพเดินทางสู่แดนใต้ ที่ปั๊มน้ำมันที่ปราณบุรี

เราเดินทางออกจากขอนแก่นเที่ยงวันที่ 22 พ.ค. 2012 โดยเที่ยวนี้ไม่ขับรถลงไปเอง เข็ดเมื่อตอนขับไปภูเก็ต กลับถึงบ้านต้องพักฟื้นหลายวัน แต่เที่ยวนี้ไม่มีเวลามากขนาดนั้นครับ.... เราถึง กทม. เอาตอนเย็น ประมาณห้าโมงเศษๆ แวะรับลูกชายแล้วเดินทางต่อเลย เป้าหมายคืนนี้จะพักรถแถวๆปราณบุรี

ออกจากฝั่งธน ใช้ถนนพระราม 2 ไปทางปากท่อ พอผ่านมหาชัย ก็แวะเข้าทานมื้อเย็นแบบง่ายๆที่ปั๊ม ปตท. ร้านอาหารติดแอร์ เย็นสบาย ราคาก็พอทานได้ เสร็จแล้วลุยต่อโดยใช้บายพาสผ่านชะอำ หัวหิน ออกปราณฯ และหาที่พักแบบง่ายๆที่นั่นประมาณสามทุ่มเศษๆ

ปตท. ปราณฯ..จอดทานข้าวแกงแบบกับข้าว 2 อย่าง 30 บาท แล้วเดินถ่ายภาพมาฝาก

การเดินทางไกลของเรา เรื่องอาหารไม่เน้นเท่าไหร่ ขอให้สะอาด ร้อนๆ เป็นใช้ได้ เพราะสิ่งที่ต้องคิดถึง คือ วันนี้เราต้งถึง จ.กระบี่ ก่อนมืด... เราจึงเลือกร้านอาหารตามปั๊มน้ำมัน ปตท.นี่แหละ เพราะปั๊ม ปตท.ในคอนเซ็บท์ใหม่คือเป็น Destination ของคนเดินทาง โดยเลียนแบบมาจากปั๊ม Jeffy ในสมัยก่อน (เดี๋ยวนี้ ปตท. ซื้อเอาเกือบหมดแล้วมั๊ง) เราเลือกพักตามปั๊ม ปตท. เพราะมีให้เราเกือบทุกอย่าง ทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร และสำคัญห้องน้ำสะอาด นี่คือสิ่งที่เราเลือก

ออกจากที่พักประมาณ 7.00 น เราทานข้าวแกงที่นี่เป็นมื้อเช้า และผมตบท้ายด้วยกาแฟที่ร้านตรานกแก้วนั่น ก่อนที่เราจะเดินทางไกลต่อครับ

เส้นทางหมายเลข 4 สู่ใต้

ณ เวลานี้ต้องบอกคำเดียวว่า เส้นทางสู่แดนใต้บ้านเราดีมาก พอหลุดชุมพรลงไป มีแยกเป็น 2 สาย สายเพชรเกษมเก่า (#4) และสาย #41 ซึ่งตรงดิ่งเข้าพัทลุง พอเลยสุราษฯ แยกออกไปหลายด้านเลย โดยเพิ่มสายริททะเลเข้าไปด้วยอีกสายยาวถึงสงขลาเลย..... สะดวกมากๆครับ

ผ่านประจวบฯ เราแวะหว้ากอ หอดูดาวสมัย ร.4 (พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

เมื่อก่อนถ้าเราจะพูดถึงแหล่งที่สำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ "หว้ากอ" ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยที่นี่เป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จมาเพื่อทรงทอดพระเนตรสุริยุปราคา

ผ่านประจวบฯซัก 7 กม. เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป...ถึงแล้ว "หว้ากอ"

"อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งอยู่ริมอ่าวหว้ากอ ในตำบลคลองวาฬห่างจากตัวเมืองประจวบฯ ไปทางทิศใต้ราว 12 กิโลเมตร มีอาณาเขตรวมเนื้อที่ 485 ไร่ 1 งาน 56.2 ตารางวา พื้นที่ด้านตะวันออกถูกขนาบด้วยทะเลฝั่งอ่าวไทย มีทิวสนทะเลขึ้นตลอดแนวชายหาด สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบ ดินร่วนปนทราย สภาพภูมิอากาศแบ่งเป็น 3 ฤดูกาลคือ ฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม -พฤศจิกายน และฤดูหนาวระหว่างเดือนธันวาคม - มกราคม"

อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย

"ในอดีต หว้ากอ เป็นชื่อหมู่บ้านเล็กๆ ในตำบลคลองวาฬซึ่งเคยเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ได้ทรงคำนวณไว้ว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่นี่ ในวันที่ 18 สิงหาคม 2411 ทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรสุริยุปราคา ณ ที่แห่งนี้พร้อมพระราชโอรส พระราชธิดา ข้าราชบริพาร ตลอดจนทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าให้ชาวต่างประเทศได้มีโอกาสร่วมชมปรากฎการณ์ครั้งนี้ด้วย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรด้วยไข้มาเลเรียและเสด็จสวรรคตอันเนื่องมาจากเสด็จหว้ากอในครั้งนั้น และแล้วค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ ณ บ้านหว้ากอ ก็ถูกลืมและทิ้งให้ปรักหักพังไปตามสภาพ"

แทนดาวพุธ (Mercury)

"ต่อมาในปี พ.ศ.2536 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งเป็นสถานศึกษา เพื่อเทิดพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสนองนโยบายการกระจายโอกาสในการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีดาราศาสตร์ อวกาศ และสิ่งแวดล้อม แก่นักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วประเทศ"

อ่านเพิ่มเติม : https://www.waghor.go.th/newweb/aboutus/index.php

หอดูดาว...แต่จะเปิด 09.00 น.เลยไม่ได้เข้า

อ่าวมะนาว...หน้า อุทยานวิทยาศาสตร์หว้ากอ

เลยเขตชุมพรลงไป...เจอสวนปาล์มเต็มไปหมด

เลยชุมพรลงไปประมาณทุ่งตะโก (62 กม. จากชุมพร) เรายูเทิร์นไปทานมื้อเที่ยงที่ "สวนนายดำ" ซึ่งจะนำมารีวิวให้ชมในโอกาสต่อไป.

พอถึงสุราษฎร์ธานี เราแวะเข้าไปในเมืองขับรถชมเมืองในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ซึ่งสมัยนี้เจริญขึ้นมาก.

จากนั้นเราใช้เส้นทางสาย 44 (บางคนเรียกว่า Motor Way) เพื่อตัดเข้าไปหาสาย 4 เก่าที่ช่วงกระบี่-พังงา ถนนสายนี้เขาออกแบบไว้ห่างกันพอประมาณ (หมายถึงเลนส์ไป และเลนส์กลับ) ดูคร่าวๆน่าจะห่างกันซัก 50-100 เมตร ซึ่งน่าจะเป็นแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ในอนาคต โดยใช้ตรงกลางที่เว้นไว้ทำทางรถไฟ หรือวางท่อน้ำมัน? ประมาณนั้น...โดยทั่วไปถนนค่อนข้างเปลี่ยว ไม่เหมือนถนน 4 เลนส์ธรรมดา ... แต่ทำเวลาได้ดีมากๆ

เข้าเขตกระบี่แล้ว

พอเข้าสาย 4 เก่า เราเลี้ยวซ้ายลงไปกระบี่ ถนนช่วงนี้เป็น 4 เลนส์ขับสบาย แต่ต้องระวังมอเตอร์ไซต์หน่อย หมวกกันน๊อกก็ไม่ค่อยใส่กัน ต้องขับห่างๆไว้ครับ... สองข้างทางจากสุราษฯ มาถึงกระบี่เต็มไปด้วยสวนปาล์มที่เขียวชะอุม จนบางครั้งนึกว่าขับอยู่แถวๆเมืองกัวลาลัมเปอร์ มาเลย์เซียซะอย่างงั้น... จขบ.วาดภาพเอาว่า สวนยางที่ยังหลงเหลือ อีกหน่อยคงกลายเป็นสวนปาล์มทั้งหมดนั่นแหละ

เราเดินทางไกลจากขอนแก่น มาถึงกระบี่ใช้เวลาทั้งสิ้นเกือบ 2 วัน โดยขับไป เที่ยวไปเพื่อไม่ให้คนขับเครียดและเบลอ ในที่สุดเราก็ถึงกระบี่โดยปลอดภัยครับ

ถนนสู่กระบี่

สรุปเส้นทางที่เราใช้ คือ

- มิตรภาพ (ขอนแก่น - กทม.)
- พระรามที่ 2 (กทม.-วังมะนาว)
- เพชรเกษมสาย 4 (วังมะนาว - ชุมพร)
- ชุมพร เข้า สาย 41 (ชุมพร - สุราษฎร์ธานี)
- สุราษฯ เข้าสาย 44 (สุราษฎร์ธานี - กระบี่)
- กระบี่ สาย 4 ครับ

ไม่อยากรวมระยะทาง แต่ก็ไกลเหมือนกันครับ.

ลาตอนนี้เลยนะครับ