I Am Legend : โรคร้ายที่เรียกว่า ความเหงา

ก่อนที่จะรู้จักความเปลี่ยวเหงา เราทุกคนล้วนคุ้นเคยกับความอบอุ่นและการห้อมล้อมของหมู่มิตรหรือคนรัก ตราบใดที่บรรยากาศทางสังคมนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ช่องว่างที่ห่างเหินระหว่างกันไม่ว่าจะทางด้านร่างกายหรือจิตใจ เมื่อมันเริ่มมีมากขึ้น ความเหงาก็จะเริ่มต้นแสดงอาการ โรคร้ายชนิดนี้มักทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากยังไม่ได้รับวัคซีนวิเศษที่เรียกว่า ความรัก ความรู้สึกซึ่งต้องสกัดมาจากหัวใจ ประเด็นปัญหาที่หนังเรื่องนี้ตั้งคำถามไว้ในเบื้องต้น ความรู้สึกแห่งรักจะปรากฏขึ้นได้หรือไม่ หากเราต้องเหลือชีวิตเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนพื้นโลก
ผู้ชมส่วนใหญ่มักนำหนังเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับ 28 days later ของแดนนี่ บอยด์ ผู้กำกับชาวอังกฤษ เพียงเพราะภาพเมืองใหญ่ของโลกที่ถูกทำให้ร้างได้อย่างน่ากลัว ความคิดแรกที่ผุดแว้บขึ้นมาหลังจากดูจบ I Am Legend คือหนังสื่ออารมณ์ที่มาในแนวทางเดียวกับ Cast away ของโรเบิร์ต เซเมกคิส อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ไม่มีทะเล แต่อาการของคนที่ถูกปล่อยเกาะก็ถูกแสดงออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างชัดเจน

สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง คงเป็นวิธีในการวางอักษรของชื่อเรื่องในโปสเตอร์ ที่ให้ตัว I ลอยเด่นอยู่เพียงลำพัง สื่อนัยยะถึงความมีตัวตนอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางบริบทอันวิเวกวังเวงของเมืองร้าง
I Am Legend คืองานชิ้นที่สองของฟรานซิส ลอว์เรนซ์ผู้กำกับ Constantine หลังจากพาเราไปเยือนใจกลางนรกในหนังเรื่องก่อน ครั้งนี้เขายกนรกขึ้นมาวางไว้ ณ ใจกลางเมืองของพื้นโลก แสดงความทุกข์เข็ญของมนุษย์ได้อย่างน่าสังเวชเมื่อต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง
อีกจุดหนึ่งอันถือเป็นการปูทางที่น่าสนใจก่อนจะกลายเป็นเส้นสายลายเซ็นของผู้กำกับคนนี้ นั้นคืออุดมการณ์บางอย่างที่มีต่องานศิลป์ของตน ฟรานซิส ลอว์เรน มักชูประเด็นอันมีแนวโน้มความสนใจไปที่พลังศรัทธาแห่งศาสนาท่ามกลางบริบทของวิถีชีวิตปัจจุบัน

เหตุการณ์เริ่มต้นด้วยการค้นพบประโยชน์ของเชื้อไวรัสเพื่อใช้บำบัดรักษาโรคมะเร็ง เอมม่า ทอมสัน (Emma Thompson) รับบทเล็กๆ ที่ส่งผลยิ่งใหญ่ต่อหนังทั้งเรื่อง เธอกล่าวให้สัมภาษณ์กับพิธีกรผิวสีถึงปรัชญาการรักษามะเร็งด้วยเชื้อไวรัส ผ่านน้ำคำและแววตาที่บ่งบอกถึงขั้วความคิด ว่าเธอเองมีทัศนคติอย่างไรต่อสังคมและผู้คนในยุคปัจจุบัน ( เปรียบเทียบวัยรุ่นตีนผีกับเชื้อร้าย ) เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งที่มอบบทนี้ให้กับนักแสดงอังกฤษ เพราะนัยยะหลังจากนี้ของหนังล้วนสอดคล้องต้องกันกับประเด็นหลักของเรื่อง ว่าด้วยการแพร่กระจายอาณานิคมทางความคิดและการเหยียดผิว

ความหวังในการมีชีวิตรอดของมนุษย์นำมาซึ่งผลข้างเคียงที่รุนแรงมหาศาล ไวรัสตัวนี้กลายเป็นโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีอาการเหมือนซอมบี้ เป็นผีดิบเดินได้ที่ออกล่าเหยื่อยามค่ำคืนซึ่งถูกเรียกว่า Dark Seekers (ไวรัสตัวนี้จะตายเมื่อร่างกายต้องแสงอาทิตย์)
โรเบิร์ต เนวิลล์ รับบทโดย วิลล์ สมิธ (Will Smith) เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในมหานครนิวยอร์คที่เหลือชีวิตอยู่ เขาใช้เวลาแต่ละวันร่วมกับเพื่อนต่างสายพันธุ์ นั่นคือสุนัขแสนรู้ชื่อว่า แซม เนวิลล์กระจายเสียงของตนผ่านทางวิทยุเพื่อเสาะหาผู้รอดชีวิตรายอื่น แต่วันแล้ววันเล่า ก็เหมือนความหวังที่เคยมีจะริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ สัญญาณความปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวที่เขายังคงพึ่งพาได้นั่นคือเวลากลางวันซึ่งแสงอาทิตย์ส่องถึงพื้นโลก เพราะเมื่อใดที่ความมืดดำแห่งราตรีเริ่มย่างกรายมาปกคลุม ความเหงาที่เคยรู้สึกตอนกลางวันก็จะกลับกลายเป็นกลัวอย่างจับใจ

เนวิลล์ เคยเป็นทหารและมีความรู้เรื่องไวรัสวิทยา เขาจับ Dark Seekers มาตัวหนึ่งเพื่อทำการทดลองหาวิธีรักษาให้หายกลายเป็นคนปกติ การที่เนวิลล์พยายามรักษาอาการป่วยให้กับ Dark Seekers ตัวหนึ่งนั้น เขาต้องการค้นพบความมีชื่อเสียงกระฉ่อนโลกหรือเพียงต้องการสร้างเพื่อนมนุษย์ข้างกายขึ้นมาแค่สักคน เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าวิสัยทัศน์ของเขานั้นแตกต่างกับความคิดของด็อกเตอร์ซึ่งเป็นตัวละครที่ เอมม่า ทอมสัน เล่นตอนต้นเรื่องอย่างไม่มีข้อสงสัย
ชีวิตประจำวันของเนวิลล์ดำเนินไปอย่างซ้ำซากจำเจ หนังให้เวลาส่วนใหญ่ในเรื่องกับการซึมซับอารมณ์และบรรยากาศแห่งความเหงานี้เป็นหลัก ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ส่วนที่ตื่นเต้นและลุ้นระทึกเมื่อ Dark Seekers เริ่มปฏิบัติการจู่โจม

ในอีกทางหนึ่งเนวิลล์ก็เสมือนตกอยู่ในอาการป่วยด้วยเช่นกัน แต่แทนที่จะป่วยด้วยเชื้อไวรัส เขากลับป่วยด้วยโรคที่เรียกว่าความเหงา ความเหงาที่เพาะเชื้อสั่งสมมาจากหลากหลายเรื่องราว การสูญเสียภรรยาและลูกสาวที่น่ารักไปในอุบัติเหตุตอนอพยพออกจากเมือง ไร้ซึ่งเพื่อนมนุษย์คนอื่นที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พูดกับสุนัขคู่ใจประหนึ่งว่ามันเข้าใจในภาษา และทักทายหุ่นโชว์เสื้อในร้านเช่าดีวีดีด้วยความคาดหวังว่าสิ่งนั้นจะหันมาตอบทักทายบ้าง
I Am Legend เล่าเรื่องโดยตัดสลับเหตุการณ์ระหว่างก่อนการระเบิดสะพานเพื่อกักกันเชื้อโรคกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ( ฉากระเบิดสะพานสื่อถึงการตัดความสัมพันธ์ต่อสิ่งที่เห็นว่าน่ากลัวน่ารังเกียจ บทในส่วนนี้ยืนอยู่บนประเด็นเดียวกับความรู้สึกเหยียดที่มีต่อผู้ซึ่งต่างจากตัวเราและต้องการตัดความสัมพันธ์นั้นในทุกทาง ) หนังโดยรวมมีบทพูดน้อย รายละเอียดของเรื่องเดินไปอย่างเรียบง่ายไม่ซับซ้อน หากแต่แนวคิดที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้หน้าหนัง Sci-Fi เรื่องนี้ กลับเป็นประเด็นสำคัญที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมโลกและความมีมนุษยธรรมของคนในยุคปัจจุบันได้อย่างคมคาย

หลายฉากในหนังเรื่องนี้คล้ายกำลังเหน็บแนมวิถีชีวิตของชาวเมืองนิวยอร์คอยู่ในที ไม่ว่าจะเป็นภาพรถที่จอดนิ่งอยู่เต็มถนนซึ่งหาได้แตกต่างจากสภาพรถติดที่จอดนิ่งในชั่วโมงเร่งด่วนของแต่ละวัน ความเป็นเมืองใหญ่ที่พลุกพล่านวุ่นวายแต่ทว่าผู้คนกลับยังรู้สึกเหงากันอย่างน่าประหลาด ฉากสิงโตที่งับคอกวางหลงฝูงซึ่งเกิดขึ้นกลางถนนสะท้อนภาพประชดประชันการแก่งแย่งชิงดีและเอารัดเอาเปรียบของผู้มีอำนาจเหนือซึ่งไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉานในสังคมปฐมภูมิ การรังเกียจเหยียดผิวที่ยังไม่จางหายไปจากความคิดของคนขาวที่เรียกตัวเองว่าผู้เจริญแล้ว โดยเฉพาะเหตุการณ์ในร้านเช่าหนังที่เนวิลล์ซึ่งเป็นคนผิวสีกล่าวทักทายหุ่นโชว์เสื้อ ทั้งหุ่นที่ยืนอยู่นอกร้าน หุ่นของสุภาพสตรีที่เชิดหน้าหยิ่งผยอง และหุ่นของเจ้าของร้านที่ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจในคำทักทายของเขา เหตุการณ์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรอให้เชื้อร้ายของไวรัสแพร่ระบาด นั่นเพราะเชื้อร้ายที่รุนแรงและน่ากลัวไม่ต่างกัน ถูกบ่มเพาะอยู่ในความคิดความรู้สึกของผู้คน ณ เมืองใหญ่ ที่แสดงอาการให้เห็นว่าคนเราทุกวันนี้เริ่มสูญเสียความเป็นคนมากเข้าไปทุกที ๆ

I Am Legend กล่าวถึงความพยายามในการผูกมิตรเพื่อสร้างเพื่อนและความพยายามในการตัดความสัมพันธ์จากผู้ที่เห็นว่าแตกต่างจากตนออกไปให้พ้นตัว โรคร้ายที่ระบาดในเรื่องแท้จริงคืออคติขั้นรุนแรงที่เกลียดชังเข้าถึงกระดูก ความคิดที่มุ่งตัดความสัมพันธ์ให้ขาดสะบั้นลงนี้ เป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้ที่ถูกทอดทิ้งต้องเผชิญอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าความเหงา สารเคมีอาจรักษาอาการไข้ของผู้ป่วยให้ฟื้นตัวแต่การป่วยไข้ทางจิตใจล่ะ จะต้องใช้สิ่งใดเป็นตัวเยียวยา...คำตอบที่ I Am Legend นำเสนอนั่นคือ ความรัก ในระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จงรักกัน และหากปรากฏว่าต้องโดดเดี่ยวอยู่ลำพัง การเปิดใจให้กว้างเพื่อรับความรู้สึกรักจากพระเจ้า (ธรรมะหรือธรรมชาติ) ความศรัทธาแห่งศาสนานี้สามารถฉุดเราให้หลุดพ้นจากภาวะความเปลี่ยวเหงาอันแสนทรมานนั่นได้เพียงแค่เราต้องรู้จักการรับฟัง...
เนวิลล์เคยปฏิเสธเสียงของลูกน้อยที่เจื้อยแจ้วพูดถึงแต่เรื่องของผีเสื้อ เคยปฏิเสธเสียงแห่งศรัทธาทั้งหลายที่กล่าวถึงอานุภาพของพระเจ้า ปฏิเสธความคิดใหม่ที่ขัดแย้งกับความเชื่อของตน แต่เมื่อวันหนึ่งเขาหยุดการพร่ำพูด หยุดการเรียกร้อง และเริ่มเรียนรู้ที่จะฟังเสียงเพรียกซึ่งดังมาจากเบื้องบน (Calling) เขากลับตระหนักขึ้นอย่างเฉียบพลันว่า แท้จริงแล้วมนุษย์เราไม่จำเป็นต้องเดียวดาย (lonely) แม้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว (alone) ก็ตามที ( หนังเปรียบนิสัยของเนวิลล์กับตัวละครเชร็คในการ์ตูนได้อย่างตรงประเด็น )

I Am Legend จบลงอย่างมีความหวัง ความหวังว่าโลกใบนี้จะหายขาดจากอาการป่วยด้วยโรคแห่งความเกลียดชัง โรคแห่งการเหยียดผิว เหยียดเพศ เหยียดชาติพันธุ์และเหยียดศาสนา หายขาดจากความคิดนิยมสงครามและหันมาผูกมิตรกับสิ่งที่เคยเห็นว่าแตกต่าง หยุดการเรียกร้อง หยุดการเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ตน หันมาลองรับฟังความคิดและความเห็นใหม่ๆ เพื่อร่วมกันสร้างโลกทัศน์ให้มีความเป็นสากลอย่างแท้จริง
หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เราเห็นว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเนวิลล์ไม่ใช่ความมืดมิดแห่งราตรี หากแต่เป็นความมืดดำในจิตใจของเพื่อนร่วมสังคม ความมืดที่จะนำโลกเข้าสู่ยุคแห่งหายนะ หากเรายังไม่ร่วมกันสร้างสารเคมีอัศจรรย์ เพื่อสูบฉีดให้โลกสีฟ้าใบนี้หมุนไปได้ด้วยแรงเหวี่ยงและพลังของ ความรัก
Create Date : 27 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 8 มกราคม 2551 13:17:48 น. |
|
17 comments
|
Counter : 4555 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: joblovenuk วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:13:42:26 น. |
|
|
|
โดย: พี่ด่อง IP: 203.154.187.178 วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:14:16:45 น. |
|
|
|
โดย: cratrina (Herzspezialist ) วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:15:14:33 น. |
|
|
|
โดย: Raven_kate IP: 125.24.87.254 วันที่: 29 ธันวาคม 2550 เวลา:2:08:13 น. |
|
|
|
โดย: renka IP: 58.64.78.22 วันที่: 30 ธันวาคม 2550 เวลา:0:51:15 น. |
|
|
|
โดย: เพื่อนเธอ IP: 124.121.18.24 วันที่: 2 มกราคม 2551 เวลา:17:07:06 น. |
|
|
|
โดย: beerled วันที่: 3 มกราคม 2551 เวลา:12:49:01 น. |
|
|
|
โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน IP: 124.121.193.240 วันที่: 3 มกราคม 2551 เวลา:15:39:38 น. |
|
|
|
โดย: เพื่อนเธอ IP: 124.121.25.126 วันที่: 3 มกราคม 2551 เวลา:17:25:26 น. |
|
|
|
โดย: beerled IP: 203.154.187.178 วันที่: 4 มกราคม 2551 เวลา:12:37:50 น. |
|
|
|
โดย: เพื่อนเธอ IP: 124.121.20.194 วันที่: 4 มกราคม 2551 เวลา:12:43:22 น. |
|
|
|
โดย: ขอรบกวนทั้งเสื้อสูท+ผูกไท (ขอรบกวนทั้งชุดนอน ) วันที่: 7 มกราคม 2551 เวลา:13:01:12 น. |
|
|
|
โดย: ป. IP: 203.55.213.20 วันที่: 7 มกราคม 2551 เวลา:15:55:07 น. |
|
|
|
โดย: เพื่อนเธอ IP: 124.121.21.95 วันที่: 7 มกราคม 2551 เวลา:19:49:14 น. |
|
|
|
โดย: beerled IP: 58.9.136.87 วันที่: 7 มกราคม 2551 เวลา:20:00:39 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|