The Fountain : นิยามใหม่ของอมตะ
หลังจากหนังเรื่องนี้จบลง แรงบันดาลใจในการเขียนงานก็ถือกำเนิดขึ้น... ระลอกคลื่นความรู้สึกจากหนังที่เพิ่งผ่านตา ส่งแรงกระทบโดยตรงต่อหัวใจให้สร้างสรรค์งานใหม่ต่ออีกหนึ่งชิ้น การส่งต่อทางพลังงานที่หนุนเนื่องไม่จบสิ้นนี้ กระแทกกระแสความคิดให้คิดต่อได้ไม่รู้จบ ผู้เขียนหวังไว้ว่าหากเป็นไปได้ เมื่อบทความธรรมดาๆ ชิ้นนี้ถูกอ่านจบลง มันคงจะส่งต่อแรงบันดาลใจเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในชีวิตให้เกิดขึ้นได้อีกซักระลอกหนึ่ง อย่างที่หนังเรื่อง The Fountain กล่าวไว้ จุดจบหรือความตายของบางสิ่งให้กำเนิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ความคิดนี้ทำให้ความตายตามวาระอันควรเป็นสิ่งสวยงาม เป็นธรรมชาติหรือธรรมดาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว เราจะยอมรับมันได้อย่างไม่หลีกหนีและไม่หวาดกลัว เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่ได้ชม The Fountain ในรูปแบบจอใหญ่ แต่จากการอ่านนิตยสารบางเล่มที่กล่าวถึงหนังเรื่องนี้อย่างยกย่อง สื่ออินเตอร์เนต และจากคำแนะนำของเพื่อนสนิท ทำให้อดไม่ได้ที่จะพิสูจน์ด้วยตาตนเอง แม้เป็นการชมจากแผ่นดีวีดีที่ทำให้อรรถรสทางประสาทสัมผัสต้องด้อยลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความมีเสน่ห์ของ The Fountain ก็ยังคงกระทบใจของผู้เขียนเข้าอย่างจัง เนื้อสารที่หนังจะสื่อถึงยังคงยิ่งใหญ่ลึกซึ้งไม่ได้กร่อยลงตามขนาดของจอทีวีแต่อย่างใด The Fountain ว่าด้วยความเป็นอมตะของชีวิต เป็นประเด็นความสงสัยที่ท้าทายและทันสมัยอยู่เสมอในทุกช่วงเวลาของความเป็นมนุษย์ ดังนั้น การชมหนังเรื่องนี้หลังจากลาโรงไปแล้วระยะหนึ่ง จึงไม่ถือว่าล้าสมัยหรือหลุดจากกระแสนิยมแต่อย่างใด หากผู้ชมเคยชื่นชอบ The Matrix หรือหนังเกาหลีของผู้กำกับ Kim ki-duk อย่าง Spring Summer Fall Winter and Spring ย่อมจะต้องหลงรักหนังเรื่องนี้และไม่ควรพลาดโอกาสที่จะได้ทำความรู้จัก The Fountain บอกเล่าประเด็นการหลงทางอยู่ในวงจรแห่งความไม่รู้และหนทางหลุดพ้นออกจากวงจรแห่งวัฏสงสารนั้น เรื่องราวแบ่งภาคออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือชีวิตของนายแพทย์ทอมมี่ (ฮิวจ์ แจ็คแมน) ซึ่งพยายามวิจัยค้นคว้าหายารักษาเนื้องอกกับแฟนสาวนักประพันธ์ชื่อว่าอิซซี่ (ราเชล ไวซ์) ซึ่งกำลังป่วยหนักด้วยอาการเนื้องอกในสมอง ส่วนที่สองเป็นนิยายยุคประวัติศาสตร์ที่อิซซี่เขียนถึง ว่าด้วยเรื่องราวของพระราชินีอิสเบลล่าแห่งสเปนกับขุนพลหนุ่มในการตามหาต้นไม้แห่งชีวิตเพื่อทั้งสองจะได้ครองคู่ภายใต้ชีวิตอมตะ ส่วนที่สามเป็นการเคลื่อนตัวโคจรของลูกแก้วทรงกลมซึ่งรายล้อมด้วยกลุ่มแก๊ชสีทองในอวกาศ ภายในมีต้นไม้แห่งชีวิตซึ่งกำลังจะตายและนักบวชหนุ่มผู้พิทักษ์ต้นไม้นั้นอาศัยอยู่ ลูกแก้วที่กำลังเดินทางไปยังจุดแตกดับแห่งเอกภพเพื่อระเบิดและก่อกำเนิดหมู่ดาวกลุ่มใหม่ (หรือที่เรียกว่าบิ๊กแบง ) เรื่องราวทั้งสามเหตุการณ์ถูกเล่าสลับกันไปมา ภายใต้ประเด็นและอารมณ์เดียวกันในแต่ละช่วง ผ่านภาวะความสงสัย การค้นหา และการค้นพบ ที่หนังผูกโยงเรื่องราวออกมาได้อย่างงดงามและน่าทึ่ง วงจรแห่งความไม่รู้ (อวิชชา) ที่หนังเรื่องนี้หยิบยกมาวิเคราะห์ คือการปฏิเสธวาระธรรมชาติของชีวิตที่เรียกว่า ความตาย นายแพทย์ทอมมี่ทำใจไม่ได้กับการจากไปของภรรยา ในความคิดของเขา ความตายคือโรคร้ายที่ต้องรักษาให้หายเพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากวิถีแห่งความทุกข์นี้ ความหลงยึดติดอยู่กับการค้นคว้ายาอมตะของทอมมี่เริ่มทำให้เขาดูแปลกแยกและคล้ายจะเสียสติ กรอบประตูของโรงพยาบาลและห้องทดลองคือกรงขังความคิดของเขาให้หมกมุ่นอยู่กับความเชื่อเดิมๆ อย่างไม่อาจสลัดทิ้งหรือปล่อยวางได้แม้แต่สักชั่วขณะจิต ขุนพลผู้เป็นองค์รักษ์ของพระราชินีอิสเบลล่าในนิยายของอิซซี่ ก็ยังคงต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งยางจากต้นไม้แห่งชีวิต แม้ว่าทหารในกลุ่มเดียวกันจะเห็นว่าเป็นเพียงความเพ้อเจ้อไร้สาระก็ตามที แต่แล้วเมื่อเดินทางออกไปตามหาจนพบเจอว่ามีต้นไม้นี้อยู่จริงๆ ขุนพลผู้นั้นก็ไม่สามารถฝ่าด่านของผู้พิทักษ์ต้นไม้แห่งชีวิตไปได้ กรอบประตูเพียงไม่กี่ก้าวสกัดกั้นเขาไว้จากความเป็นอมตะที่ปรารถนานั้น นักบวชในลูกแก้วทรงกลม กำลังประคับประคองต้นไม้แห่งชีวิตไม่ให้ตาย เพื่อที่ตนจะได้กินเปลือกไม้และช่วยให้ชีวิตยังคงเป็นอมตะอยู่ได้ แต่แล้วเมื่อต้นไม้ได้แห้งเหี่ยวและตายลง ความทุกข์ระทมก็โหมกระหน่ำจนทำให้สับสนคลุ้มคลั่ง ติดอยู่ในกรอบลูกแก้วนั้นอย่างเคว้งคว้างและสิ้นไร้ความหมาย เรื่องราวในแต่ละส่วนวาดกรอบวงกลมล้อมความคิดของตัวละครไว้ ให้หลงวนเวียนอยู่ในขอบเขตอันคับแคบนั้น จนวาระแห่งความเข้าใจได้มาถึงในแต่ละภาค หนังสื่อภาพของวงจรแห่งการยึดติดได้อย่างเป็นรูปธรรม อาศัยสัญลักษณ์ของแหวนแต่งงานที่สื่อถึงความยึดมั่นในรัก ไม้กางเขนที่มีเสาเป็นอัญมณีวงกลมอันสื่อถึงความศรัทธาในชีวิตอมตะ และเกราะแก้วทรงกลมที่ลอยอยู่ในอวกาศเหนือกาลเวลาอันสื่อถึงความยึดมั่นในชีวิตที่ไม่ยอมตาย วงกลมในแต่ละส่วนล้วนแต่เป็นตัวแทนของวัฏสงสารหรือการเวียนว่ายตายเกิด เป็นเส้นทางโคจรแห่งความไม่รู้ของมนุษย์ (อวิชชาเป็นเหตุตั้งตนในกระบวนการแห่งปฏิจสมุปบาทซึ่งเกิดผลสุดท้ายเป็นความทุกข์) บทภาพยนตร์วางเรื่องราวความรักให้เกิดขึ้นระหว่างทอมมี่ผู้หลงไหลในวิทยาศาสตร์และอิซซี่ผู้ศรัทธาในจินตนาการและอารมณ์ เป็นความผูกพันระหว่างสองขั้วสมองของมนุษย์ที่ไม่อาจพรากส่วนหนึ่งส่วนใดออกจากกัน ความรักที่เป็นเสมือนแรงดึงดูดให้ระบบเหตุผล (วิทยาศาสตร์) และศรัทธา (ศาสนา) ดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และแสดงให้เห็นว่าภาวะการรวมตัวนี้คือความสมบูรณ์ที่แท้จริงของชีวิต หนังนิยามความเป็นอมตะของชีวิตตามหลักพุทธศาสนาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เป็นสากลและเป็นวิทยาศาสตร์ ความเป็นตัวเป็นตนของมนุษย์แท้จริงแล้วคือการสมมุติอุปโลกป์ ชีวิตเป็นเพียงแค่การประชุมของเหตุและปัจจัยภายใต้เงื่อนไขของเวลาช่วงขณะหนึ่ง หลังจากนั้นก็แตกธาตุออกไปเพื่อที่จะรวมองค์ประชุมใหม่เป็นสิ่งมีชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง (บ้างก็อาจเรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิด) แต่ละภพ (ภาวะ) ก่อให้เกิดแต่ละชาติ (ความเป็นตัวเป็นตนเช่นคนดีหรือคนชั่ว เป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ ) ตามหลักปฏิจสมุปบาทหมุนเวียนไปเช่นนี้ไม่จบสิ้นและเป็นนิรันดร์ อมตะไม่ใช่ความไม่ตาย หากแต่คือความตายที่ไม่มีวันดับสูญ เป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงรูปแบบหนึ่งในกระแสชีวิตของโลกและจักรวาล ความตายในมุมมองของพุทธศาสนาเป็นภาวะธรรมดาภาวะหนึ่ง ที่ต้องมองอย่างเข้าใจและไม่ไปหลงยึดติดอยู่กับความเป็นตัวเป็นตนของสิ่งนั้น เพราะความยึดมั่นถือมั่นคือสาเหตุสำคัญและหนึ่งเดียวที่ทำให้เกิดความทุกข์ อย่างที่อิซซี่กล่าวให้ทอมมี่ฟังในคืนก่อนตาย ว่าร่างกายที่ถูกนำไปฝังไว้ในผืนดิน เมื่อหว่านเมล็ดพืชลงไปบนนั้นชีวิตใหม่ก็จะงอกงามและเติบโต เมื่อนกมากินเมล็ดพันธุ์ที่ผลิผล ชีวิตใหม่ก็จักกลายเป็นส่วนหนึ่งของนกที่โบยบินอย่างเสรี เป็นคำกล่าวที่มอบความเข้าใจในความตายเพื่อทอมมี่จะได้ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่กำลังจะพรากจาก และรู้จักการปล่อยวางให้ผู้อันเป็นที่รักได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ตามกฎแห่งธรรมชาติ ภาษาภาพยนตร์ที่หนังหยิบมาใช้นอกจากวงกลมดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ยังได้แก่อาการเนื้องอกที่ขยายลุกลาม ที่อาจเปรียบเปรยได้กับการขยายตัวของอัตตา อัตตาที่รุกรานหัวสมองของทอมมี่ให้ทนทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าอาการป่วยของภรรยา ส่วนนิยายของอิซซี่ที่เธอเขียนไม่จบในช่วงชีวิตอันแสนสั้นนี้ อิซซี่ทิ้งบทสุดท้ายไว้ให้ทอมมี่เขียนต่อ การต่อสู้ของขุนพลกับผู้พิทักษ์ต้นไม้แห่งชีวิต แท้จริงแล้วคือการก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์เข้าสู่ภาวะแห่งความเข้าใจความตายของทอมมี่นั่นเอง ในที่สุดทอมมี่ ขุนพลและนักบวชก็หลุดพ้นออกจากกรอบของแต่ละคน ทางออกที่ต้องอาศัยพลังแห่งการปล่อยวางจากสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่น ของขวัญที่อิซซี่มอบให้ทอมมี่ก่อนตายคือปากกาพร้อมหมึกซึมหนึ่งชุดเพื่อการเขียนงานบทสุดท้าย Fountain Pen อันแปลว่าปากกาหมึกซึม ที่แม้ว่าตัวด้ามจะถูกเขียนจนหมดหมึก แต่ผลงานที่ถูกจารึกในแผ่นกระดาษคือการให้กำเนิดวรรณกรรมเรื่องใหม่ที่มีชีวิต น้ำยางในลำต้นของต้นไม้วิเศษก็เช่นกัน เป็นการสร้างระบบนิเวศน์ที่เกื้อหนุนเพื่อกำเนิดพฤกษาใหญ่น้อยในป่าอันเป็นการมอบชีวิตใหม่แก่ผืนโลก มนุษย์ผู้มีร่างกายห่อหุ้มกระแสเลือด ด้ามหมึกสีแดงที่เรียกว่าชีวิตนี้ล้วนลิขิตวรรณกรรมอันเป็นเรื่องราวของแต่ละคนไว้เป็นมรดกโลก จะมีสิ่งใดบ้างที่ทำให้หวนระลึกถึงวรรณกรรมของเราเมื่อชีวิตต้องตายจากไป เป็นคุณความดีที่ได้เคยกระทำหรือจะเป็นเพียงแค่เศษซากของร่างกายให้ต้นไม้ได้ดูดกิน หนังเรื่อง The Fountain มาพร้อมการแสดงโดยรวมที่ทำได้ดีตามมาตรฐาน งานด้านภาพที่แปลกตาและงดงาม อีกทั้งดนตรีประกอบที่ไพเราะกินใจ หนังเดินเรื่องราวที่คล้ายจะซับซ้อนนี้ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และมีการลำดับความคิดอย่างเป็นระบบ ทิ้งช่วงให้หล่อเลี้ยงอารมณ์ได้อย่างรู้จังหวะ โดยเฉพาะช่วงความรักความอาวรณ์ของตัวละคร ฉากที่แสดงภาวะแห่งการบรรลุถูกสื่อออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่ตระการตา กระทบความรู้สึกแห่งปิติได้อย่างอัศจรรย์ คงไม่มีใครที่เข้ามาดูหนังด้วยความหวาดกลัวและหลบหน้าหนีการมาถึงของฉากจบอันเป็นรูปแบบจำลองหนึ่งของความตาย ฉากจบของหนังดีๆหลายเรื่องทำให้เราลุกเดินออกไปใช้ชีวิตอย่างรู้สึกว่าถูกเติมเต็มและเติบโต รับเอาความคิดความรู้สึกจากสื่อที่เพิ่งบริโภคนั้นเข้ามาอาศัยอยู่ในหัวสมองของเราและกลายเป็นประสบการณ์ในชีวิต เหมือนเช่นการกินอาหารที่แม้จะเป็นการบริโภคความตายของชีวิตอื่น แต่ก็เป็นความตายที่ต่อลมหายใจให้อีกหนึ่งชีวิต เพื่อที่ในภายหน้าเราเองก็จะกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอื่นด้วยเช่นกัน กระแสธรรมนี้จะยังคงเป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อนาทีที่หนังเรื่อง The Fountain จบลงในเวลาอันสมควรตามกฎแห่งไตรลักษณ์ มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำและกลายเป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์ของผู้เขียน เป็นการจบของหนังที่มอบความรู้สึกอิ่มเอิบ เต็มเปี่ยม สมบูรณ์ และคุ้มค่าแก่การดูชม จนหากวันหนึ่งเมื่อวาระสุดท้ายในชีวิตมาถึง ก็พาลอยากที่จะจบวรรณกรรมของตัวเองให้ได้อย่างที่หนังเรื่องนี้เป็น
Create Date : 14 มกราคม 2551
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2551 15:49:14 น.
7 comments
Counter : 3183 Pageviews.
โดย: haro_haro วันที่: 14 มกราคม 2551 เวลา:15:30:52 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.92.251 วันที่: 16 มกราคม 2551 เวลา:2:53:45 น.
โดย: Michiru วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:17:20:04 น.
โดย: mm IP: 117.47.130.46 วันที่: 20 มกราคม 2551 เวลา:4:00:10 น.
โดย: som IP: 202.176.114.84 วันที่: 19 มีนาคม 2552 เวลา:1:51:29 น.
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
โดยส่วนตัว หนังเรื่องนี้ไม่ได้ดูยากเลย เพียงแต่ถ้าเข้าเรื่องศาสนาและปรัชญา ผมว่าจะเก็ทในทันทีเลยแหละ