ความสุขของ กะทิ : หนังไทยไร้จริต (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)

หนังไทยซึ่งดัดแปลงงานเขียนระดับรางวัลมาขึ้นจอ แค่นี้ก็เรียกร้องความสนใจของผมได้ทันทีแม้จะยังไม่ได้อ่านงานต้นฉบับ เหตุผลคงเพราะช่วงที่ผ่านมา หนังไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับบทจนอาจถึงขั้นที่เรียกว่าละเลย การหยิบเรื่องราวระดับนี้มาสร้างหนังจึงน่าสนใจอยู่ไม่น้อยสำหรับวงการหนังบ้านเรา
ผู้เขียนบทรางวัลออสการ์ท่านหนึ่งเคยกล่าวประมาณว่า แม้บทหนังที่ดีจะไม่สามารถการันตีได้ว่าหนังจะต้องออกมาดี แต่หนังดีทุกเรื่องจำเป็นที่สุดที่จะต้องสร้างมาจากบทที่ดีเสมอ ผมฟังแล้วเชื่อสุดใจและระลึกอยู่ตลอดระหว่างการดูหนังเรื่องนี้

ความสุขของกะทิ สร้างจากนิยายขนาดสั้นรางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ. 2549 ของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ( ผู้แปลแฮรี่ พอตเตอร์ฉบับภาษาไทย ) เนื่องจากผมไม่เคยผ่านตาหนังสือเล่มนี้มาก่อน มุมมองที่มีต่อหนังจึงทั้งสดและใหม่ ไม่มีการคาดหวังหรือเรียกร้องอะไรเป็นพิเศษ กระทั่งได้ข้อสรุปสั้นๆ ตอนดูจบว่า ความสุขของกะทิ เป็นหนังที่ ผม ชอบมาก
ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่สัมผัสได้คือเด็กหญิงกะทิมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกับเด็กชายแฮรี่ พอตเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตมาโดยปราศจากพ่อแม่ ความสงสัยใคร่รู้เรื่องราวในอดีตของพ่อแม่ กระทั่งการดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมดี ๆจากเพื่อนและญาติมิตรซึ่งพร้อมที่จะหล่อเลี้ยงให้เด็กกำพร้าคนหนึ่งเจริญขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต

สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยในหนังเรื่องนี้คือแนวคิดเชิงสตรีนิยมภายใต้บริบทของสังคมไทย เพศสภาพของผู้หญิงในแง่มุมต่างๆ ถือเป็นประเด็นหลักแห่งการวิเคราะห์ผ่านตัวละครของกะทิ ยาย แม่ รวมตลอดถึงตัวละครเพศหญิงคนอื่นๆ
กะทิถูกเลี้ยงดูมาโดยตาและยายซึ่งอาศัยอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กะทิผ่านการอบรมนิสัยด้วยวิธีของคนรุ่นเก่า ยายมีความสามารถด้านการปรุงอาหารไทยรสเลิศ ทว่าเก็บงำความรู้สึกผ่านใบหน้าที่บึ้งตึงและเข้มงวดกับทุกสิ่ง ส่วนตาถือว่าตรงกันข้ามเพราะเป็นคนตลก แสดงความรักความรู้สึกที่มีต่อกะทิออกมาอย่างชัดเจน สั่งสอนบทเรียนชีวิตให้กะทิได้ซึมซับจดจำ ชีวิตภายใต้หลังคาเรือนไทยหลังนี้เสมือนยายจะมีอำนาจมากกว่าตา แต่ในทางกลับกันภายใต้หลังคาของศาลาท่าน้ำซึ่งเป็นที่ประชุมหมู่บ้าน ตากลับมีบทบาทเป็นถึงทนายความผู้รอบรู้ เป็นผู้นำความคิดของชุมชนและเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคนทั้งหมู่บ้าน จุดนี้เราจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของพื้นที่ที่มีผลต่อการแสดงออกซึ่งบทบาทของแต่ละเพศ

ฉากโรงเรียนของกะทิ ปรากฏตัวละครหญิงรุ่นพี่ที่เด็กๆ ในชั้นเรียนของกะทิพร้อมใจกันเรียกว่า ป้อมยักษ์ ป้อมยักษ์เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ทรงอำนาจในพื้นที่สาธารณะ วางตัวกร่าง เกะกะระรานผู้ที่อ่อนแอกว่า เด็กๆ ทุกคนยำเกรงอิทธิพลของป้อมยักษ์ ไม่ใช่ด้วยความเคารพแต่ด้วยความเกรงกลัวเรือนกายที่ใหญ่โต ป้อมยักษ์คือภาพแสดงถึงความไม่งดงามของเพศหญิงเมื่อเลือกยืนอยู่ในพื้นที่ของเพศชาย ประเด็นข้างต้นได้รับการขยายความเพิ่มเติมในฉากเล่นฟุตบอล เมื่อเด็กผู้ชายในตำแหน่งผู้รักษาประตูบาดเจ็บเลยมีการประกาศหาผู้เล่นคนใหม่ กะทิยกมือขึ้นและขอเป็นผู้รักษาประตู กรรมการสนามอนุญาตและให้เด็กชายคนเดิมไปเต้นเป็นเชียร์ลีดเดอร์แทนกะทิ ระดับความมีนัยยะสำคัญของฉากนี้ค่อนข้างสูง เพราะถือเป็นการแปะมือแลกบทบาทกันระหว่างเพศของเด็กรุ่นใหม่ การเข้าสู่ตำแหน่งผู้รักษาประตูของกะทิได้รับการยอมรับและเป็นการมอบโอกาสให้จากทุกคนทั้งในและนอกสนาม เป็นวิธีการซึ่งเพศหญิงคนหนึ่งมีโอกาสได้มายืนในพื้นที่สาธารณะซึ่งเพศชายเคยครอบครองและถือว่าเป็นเกมของตนโดยแท้ กรณีของกะทิแตกต่างจากป้อมยักษ์ ในขณะที่กะทิมาสู่บทบาทนี้อย่างชอบธรรม ป้อมยักษ์เธออาศัยการได้เปรียบทางกำลังเพื่อช่วงชิงความยำเกรงนั้นมาโดยที่สังคมยังไม่พร้อมยอมมอบให้

ในขณะที่กะทิกำลังทำหน้าที่ป้องกันประตูจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ฉากหลังของสนามฟุตบอลปรากฏภาพเมืองเก่าซึ่งเหลือเพียงซากปรักหักพังจากการรุกรานของศัตรูในอดีต น่าเชื่อว่าหนังต้องการจะสื่อถึงบทบาทในการรักษาชาติและแผ่นดินภายใต้บริบทของสังคมปัจจุบันซึ่งเพศหญิงก็มีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาย
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ บทบาทของเพศที่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวระดับชาติ หนังวางระบบคิดอย่างเป็นระเบียบกล่าวถึงความเป็นไทยซึ่งถูกแทนด้วยเพศหญิงและความเป็นชาติตะวันตกที่แทนด้วยเพศชาย คาดว่าคงจะคำนึงถึงระดับความมีอำนาจในสังคมโลกและความแข็งแกร่งทางกายภาพของประเทศเป็นสำคัญ สื่อผ่านตัวละครต่างชาติในเรื่องที่เป็นเพศชายรวมถึงนักแสดงชายลูกครึ่งในเรื่องนี้ เช่นฉากที่ชายฝรั่งเศสปั่นจักรยานจากปารีสมาถึงอยุธยา ความลับเรื่องพ่อของกะทิ รวมถึงส่วนประกอบเล็กๆ อย่างฉากที่กะทิไม่ยอมแลกปิ่นโตกับเพื่อนผู้ชายซึ่งดูมีฐานะกว่าจนเพื่อนผู้หญิงค่อนขอดว่ากะทิอดกินของอร่อยเพราะปิ่นโตใบสวยนั้นอาจมีจะมี สเต็ก หรือ พิซซ่า หรือฉากที่พี่ทองบอกกะทิตอนเที่ยงวันว่าจะต้องไปกินปุพเฟ่ต์ที่วัด เป็นต้น

ฉากที่กะทิไม่ยอมแลกปิ่นโตกับเพื่อนและฉากที่กะทิขอแลกตำแหน่งกับเด็กผู้ชายเพื่อจะเป็นผู้รักษาประตูแทน สองฉากนี้เปรียบเทียบให้เห็นถึงวิธีคิดของกะทิได้ชัดเจนถึงความเป็นคนเข้มแข็งและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
ส่วนการเปรียบเปรยบทบาททางเพศที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวระดับชาติ ประเด็นนี้ถือเป็นการฉุดดึงให้ประเทศเราซึ่งค่อนข้างอ่อนแอทางวัฒนธรรม (เหมือนความอ่อนแอทางกายภาพของเพศหญิง) ได้ทบทวนบทบาททางสังคมที่ต้องแสดงออกด้วยความเหมาะสม การระวังภัยวัฒนธรรมตะวันตกที่เริ่มรุกรานความมีเสน่ห์ของคนไทย กระแสความทันสมัยของสังคมเมืองที่เริ่มลิดรอนวิถีชีวิตแบบเก่าก่อน ( เช่นการพูดคุยเรื่องพระราชบัญญัติฉบับใหม่ซึ่งจะเอาที่ธรณีสงฆ์ไปทำประโยชน์แก่เอกชน ) ฉากหนึ่งที่สะท้อนออกมาได้ชัดเจนถึงการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตกคือฉากน่ารัก ๆ ที่เหมือนจะไม่มีพิษภัยอย่างการปั่นจักรยานเลียนแบบชายฝรั่งเศสของบรรดาเด็กๆ ในโรงเรียนที่ต่อแถวกันเป็นขบวนยาวเหยียดจนสุดโค้งคันนา พฤติกรรมการทำตามกระแสอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจทำให้วันหนึ่งประเทศชาติเราไม่เหลือเค้าเดิมของความเป็นไทย ทั้งวิถีการดำเนินชีวิต อาหารการกิน ทัศนคติ รวมถึงความเชื่อความศรัทธา

การประสานวัฒนธรรมเก่า-ใหม่ การปรับเปลี่ยนบทบาททางเพศ จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทยและสังคมยุคนี้ บทบาทของผู้หญิงที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านซึ่งแตกต่างจากผู้หญิงในอดีต แม้กระทั่งยายของกะทิเองก็ยังมีความรู้ความสามารถยิ่งกว่าการเป็นแม่บ้านธรรมดาเช่นพูดได้หลายภาษาจากประสบการณ์การทำงานในอดีต น้าฎาที่มีบุคลิกเป็น Working Women รวมถึงแม่ของกะทิที่เคยทำงานอยู่ในบริษัทกฎหมายต่างชาติ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธ ผู้หญิงยุคใหม่จำเป็นต้องเสาะหาความพอดีระหว่างบทบาทของตนทั้งในและนอกบ้าน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเอาตัวรอดในสังคมขณะเดียวกันก็ต้องไม่หลงลืมเสน่ห์อันเกิดจากบทบาทของการเป็นภรรยาและแม่คน

อาการป่วยของแม่ด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงสื่อถึงความอ่อนแอทางกายภาพของเพศหญิงได้ชัดเจนที่สุด แต่ความอ่อนแอทางร่างกายนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งที่หลบซ่อนอยู่ภายใน (และคงจะไม่ต่างจากหญิงไทยทุกคน) เป็น ความเข้มแข็งทางจิตใจ ของผู้หญิงซึ่งเป็นแม่ ทั้งการตัดสินใจเลี้ยงลูกเพียงลำพังโดยไม่ง้อฝ่ายชาย ความทรมานที่ต้องจากลูกรักของตนมาด้วยความจำเป็น การจัดเตรียมคำอธิบายถึงอดีตของแม่เพื่อเป็นการทอดวางอนาคตให้ลูกได้อย่างพรั่งพร้อมน่าอัศจรรย์
ตอนท้ายเรื่อง กะทิถูกพิสูจน์ความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือการตัดสินใจว่าจะส่งจดหมายที่แม่ฝากไว้ไปให้พ่อที่ต่างประเทศหรือไม่ ฉากนี้นอกจากจะสะท้อนถึงทางเลือกในการมีพ่อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หนังยังได้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของผู้หญิงยุคใหม่ซึ่งเลือกที่จะยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองได้ตั้งแต่ยังเด็ก ( เป็นบุคลิกที่ชัดเจนของกะทิซึ่งไม่ชอบร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ) หลังการตัดสินใจครั้งใหญ่ของกะทิ หนังตัดภาพไปยังโรงละครเล็กซึ่งกำลังแสดงฉาก สีดาลุยไฟ จากเรื่องรามเกียรติ์ ฉากนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของเพศหญิงที่กล้าตัดสินใจกระทำในสิ่งที่เพศชายก็ยังอาจรู้สึกขลาดกลัว

ในอีกมิติหนึ่ง ฉากนี้เป็นบทพิสูจน์จุดยืนทางวัฒนธรรมของชาติไทยว่าจะดำรงอยู่ในสังคมโลกโดยไม่ต้องพึ่งพามหาอำนาจชาติอื่นได้หรือไม่
ความสุขของกะทิ นำเสนอหลักธรรมะเรื่องการปล่อยวางได้อย่างเป็นรูปธรรมจากภาพที่ปรากฏในเรื่อง เช่น ฉากผ้าที่ปลิวหายตามแรงลม ลูกโป่งที่ลอยหลุดมือแม่ หรือดอกผักตบชวาที่เหี่ยวเฉารวมไปถึงความตายของแม่ จากความไม่เข้าใจในตอนต้นซึ่งกะทิต้องเผชิญและใคร่ครวญสู่การตัดสินใจเลือกที่จะปล่อยวางผู้เป็นพ่อในท้ายที่สุด

หนังวางบุคลิกของ ลุงตอง (ชื่ออาจสื่อได้ถึงความเป็นเพศที่สาม) ว่าเป็นผู้ชายที่ไม่ชอบผู้หญิง ลุงตองทำหน้าที่เสมือนสะพานเชื่อมโยงให้กะทิได้รู้จักพ่อด้วยเพราะความนุ่มนวลที่มีอยู่ในตัวประกอบกับการเข้าอกเข้าใจความรู้สึกส่วนหนึ่งของเพศหญิง นอกจากภารกิจในการบอกเล่าเรื่องราวของพ่อแล้ว ลุงตองยังทำหน้าที่กามเทพให้แก่น้ากันฑ์และน้าฎา ลักษณะของลุงตองที่เป็นคนชอบจัดดอกไม้ การจัดวางความสัมพันธ์ที่ออกมาได้สวยงามในตอนจบก็ต้องถือว่าเป็นเพราะฝีมือของลุงตองด้วยเป็นส่วนสำคัญ
ความสุขของกะทิ ไม่ใช่หนังสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพียงแค่เป็นเรื่องราวของเด็กซึ่งเป็นตัวละครหลัก หนังบอกเล่าถึงวิธีในการดูแลบุตรหลานให้เติบโตขึ้นเป็นคนดี การจัดเตรียมความพร้อมให้เด็กได้เผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต ได้เข้าใจและจัดการกับความทุกข์อย่างถูกต้องรวมถึงมองเห็นความสุขง่ายๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัว

หนังเดินเรื่องอย่างเนิบนิ่ง สไตล์เดียวกับหนังอาร์ตญี่ปุ่นที่เรียกร้องความมีสมาธิของผู้ชมพอสมควร ดนตรีประกอบที่คลอเบาและหลีกเลี่ยงการชี้นำอารมณ์ ( แม้กระทั่งฉากที่น่าจะปลดปล่อยอารมณ์เป็นที่สุด ) งานด้านภาพดูสะอาดตาและงดงามเป็นธรรมชาติ เน้นการใช้สีฟ้าที่ให้ความรู้สึกโล่งกว้าง เย็นสบาย การแสดงของตัวละครโดยรวมทำได้ดี แม้ตัวละครเด็กส่วนใหญ่จะยังท่องบทและเล่นแข็งกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่จุดใหญ่ให้ต้องติติงและเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ หนังเล่าเรื่องคล้ายหนังสั้นที่แบ่งแต่ละตอนด้วยข้อความเสมือนเสียงเรียกร้องเบื้องลึกของกะทิ การทิ้งกล้องให้แช่อยู่กับภาพก่อนตัดเข้าสู่ตอนใหม่ถือเป็นวิธีการที่โดดเด่นในหนังเรื่องนี้ เหมือนการเว้นวรรคด้วยพื้นที่ว่างเปล่าให้ผู้ชมได้ผ่อนอารมณ์และซึมซับกับเรื่องราวอย่างเต็มที่ก่อนการเปลี่ยนเข้าสู่บทต่อไป

หนังเน้นการเล่าเรื่องด้วยภาพเป็นหลัก แต่ละฉากจึงเต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่ ความสุขของกะทิดึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของหนังสือมาสู่บริบทของภาพยนตร์ เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ครุ่นคิดและจินตนาการโดยที่หนังไม่ได้เผยออกให้เห็นทั้งหมด
ความสุขของกะทิ เป็นงานที่ให้เกียรติบทประพันธ์เพราะสื่อออกมาได้ทรงคุณค่าและลุ่มลึกอย่างที่ หนังสือซีไรต์ เรื่องหนึ่งควรจะเป็น...
เพลงประกอบภาพยนตร์ "ความสุข"
Create Date : 12 มกราคม 2552 |
Last Update : 29 มกราคม 2552 22:53:04 น. |
|
13 comments
|
Counter : 5256 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: Huda วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:13:37:58 น. |
|
|
|
โดย: freeplay200 วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:13:52:12 น. |
|
|
|
โดย: bondsp วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:13:58:39 น. |
|
|
|
โดย: ratana_sri วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:15:18:15 น. |
|
|
|
โดย: me prompt วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:17:06:17 น. |
|
|
|
โดย: pinkcat2002 (pinkcat2002 ) วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:22:34:16 น. |
|
|
|
โดย: miragery วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:57:21 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
กลัวว่า มันจะทำลายจินตนาการจากหนังสือ