Red Cliff 2 : สองหัวดีกว่าหัวเดียว (หัวสมองและหัวใจ) "เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
คงจะนิยามได้สั้นๆ ว่า Red Cliff ของจอห์นวูเวอร์ชั่นนี้คือ สามก๊กฉบับบันเทิง ที่เน้นอารมณ์เมามันส์แบบได้ใจวัยโจ๋เป็นหลัก แต่ในเวลาเดียวกันหนังก็ยังแอบสอดแทรกสาระซึ่งผู้ชมสามารถเก็บมาคิดเป็นประโยชน์ได้ในหลายประเด็น หลายระดับ Red Cliff คือการตีความสามก๊กใหม่เพื่อตอบโจทย์แห่งยุคสมัย ห้วงเวลาที่สังคมโลกกำลังเต็มไปด้วยสงครามและความขัดแย้ง วรรณกรรมโบราณเรื่องนี้ซึ่งเคยยกย่องความเยี่ยมยุทธ์ทางการศึกกลับถูกแปรค่าใหม่ให้ผู้ชมได้มองเห็นถึงคุณค่าของความสามัคคีและสันติภาพ หนังส่วนแรกอาจทำให้เรายังมองข้อความคิดนี้ได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อเนื้อหาทั้งหมดถูกผนวกรวมกันอย่างสมบูรณ์ ประเด็นที่กล่าวมาก็ถูกฉายให้ชัดขึ้นตามไปด้วย จากสิ่งละอันพันละน้อยในเรื่องอย่างชื่อบุตรในครรภ์ของเสียวเกี้ยวว่า ผิงอัน ซึ่งหมายถึงความสันติสุข การใช้นกพิราบเป็นสัญลักษณ์ (ขาประจำของจอห์นวูเค้า) ฉากช่วงหลังที่แสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของสงคราม (แนวคิดแบบตะวันตกอย่างชัดเจน) ความคิดของทหารชั้นผู้น้อยที่ทนอยู่ไปวันๆ เพื่อที่จะได้กลับบ้านเมื่อสงครามเลิก คำกล่าวของจิวยี่ตอนเสร็จศึกที่ว่า ที่นี่ไม่มีใครชนะ เจตนารมณ์ของเสียวเกี้ยวที่บอกแก่โจโฉให้ระงับการสู้รบครั้งนี้ รวมถึงความรักความผูกพันของศัตรูต่างฝ่ายระหว่างซุนฮูหยินและเพื่อนแสนซื่อในค่ายทหารของโจโฉ เป็นต้น Red Cliff ส่วนที่สองนี้เดินเรื่องต่อจากที่ค้างไว้ครั้งก่อน ศึกผาแดงก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤตเต็มขั้น พันธมิตรฝ่ายเล่าปี่และซุนกวนเหมือนว่าจะแตกคอกัน ในขณะที่ฝ่ายโจโฉเองก็กำลังประสบกับภัยโรคระบาด ต่างฝ่ายต่างเดินหมากในกระดานอย่างรู้เท่าทัน (พาลให้นึกถึง Infernal Affairs ) ผู้กำกับเล่าเรื่องที่ต้องชิงไหวชิงพริบและหักเหลี่ยมเฉือนคมออกมาได้สนุกและง่ายต่อความเข้าใจ โครงเรื่องส่วนใหญ่เดินตามเค้าเดิมวรรณกรรมแต่มีการตัดทอนหรือเพิ่มเสริมรายละเอียดเข้ามาเพื่อให้สามก๊กฉบับนี้มีความเป็นตัวของตัวเองและรับใช้เรื่องราวซึ่งเป็นการตีความใหม่ให้ผู้ชมได้ร่วมกันค้นหา ตัวละครเพศหญิงใน Red Cliff ทั้งเสียวเกี้ยวและซุนฮูหยินถูกขับเน้นบทบาทอย่างมีนัยยะสำคัญ ในขณะที่เสียวเกี้ยวแสดงให้เห็นถึงพลังอันเป็นเสน่ห์อันชวนหลงใหลของเพศหญิง ซุนฮูหยินก็แสดงให้เห็นถึงพลังปัญญาและความแข็งแกร่งที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชายชาตรี คล้ายจะแทรกเรื่องราวของฮัวมู่หลานเข้ามาอยู่ในทีด้วยการปลอมตัวเป็นทหารและได้รับการยอมรับท่ามกลางสังคมที่ยังเป็นปิตาธิปไตย ฉากที่ซุนฮูหยินยืนยันไม่ยอมสวมเสื้อคลุมเพื่อปกปิด ทรวดทรงแห่งอิสตรี ในระหว่างการอธิบายแผนที่ทัพโจโฉ ในความคิดของผมเหมือนจะเป็นสงครามเล็กๆ ระหว่างเพศที่หญิงผู้หนึ่งต้องการจะอวดให้แม่ทัพนายกองทั้งหลายซึ่งล้วนแต่เป็นชายได้ตระหนักว่าภารกิจสำคัญนี้สำเร็จลงได้นี้ด้วยฝีมือของ ผู้หญิง ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ฉากนี้ซุนฮูหยินไม่ได้กำลังเรียกร้องความสนใจ แต่เธอกำลังเรียกร้อง การยอมรับ โดยเฉพาะจากซุนกวน เป็นข้อสังเกตได้เช่นกันที่ Red Cliff ซึ่งถือเป็นกระบอกเสียงจากจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มส่งสัญญาณต่อชาวโลกถึงการยอมรับบทบาทของเพศหญิงในปัจจุบัน ลบล้างภาพลักษณ์เดิมๆ เพราะหากมองย้อนไปในอดีตแล้ว จีนแผ่นดินใหญ่นี่แหละขึ้นชื่อที่สุดแล้วเรื่องของการเหยียดเพศ ดังนั้น ถ้าจะมองว่าสามก๊กฉบับนี้เป็น feminist ก็คงจะไม่ผิดนัก การศึกสงครามเรียกร้องความเข้มแข็งทางร่างกายจากเหล่าทหารเพื่อให้การรบประสบชัยชนะ แต่ความเข้มแข็งในจิตใจกลับเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ฉากการเล่นฉูจู้ของทหารฝ่ายโจโฉถือเป็นเกมกีฬาเพื่อพัฒนาความแข็งแรงให้ร่างกาย ทว่าแม้ร่างกายจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่หากเริ่มท้อแท้และขาดกำลังใจ ร่างกายที่เคยกำยำล่ำสันนั้นก็อาจอ่อนแอลงได้ในฉับพลัน หนังแสดงให้เห็นถึงปฏิภาณขั้นเทพของโจโฉที่เข้าใจปัญหานี้อย่างถ่องแท้และเร่งเสริมกำลังใจแก่เหล่าทหารที่เจ็บป่วยให้กลับมามีไฟเพื่อขับเคลื่อนสงครามครั้งนี้ให้ยุติ ดังที่ขงเบ้งกล่าวว่ายาที่ใช้รักษาไข้รากสาดน้อยนั้นหายากยิ่งนัก แต่ไม่น่าเชื่อว่าแค่โจโฉป้อนถ้อยคำอันเป็นเสมือนยาวิเศษนี้ให้แก่ทหารคนหนึ่งที่กำลังอ่อนระโหยโรยแรง โรคภัยที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ในศึกครั้งนี้ (กำลังใจ) ก็พลันหายเป็นปลิดทั้ง ฉากเติมบัวลอยให้จิวยี่ในวันที่ทุกข์ใจแสนสาหัสก็เป็นภาพแสดงถึงการเติมเต็มกำลังใจเช่นกัน แม้เหมือนวันนั้นจิวยี่จะสูญเสียเมียสุดรักแต่กลับได้มวลมิตรมหาศาลมาทดแทน ในหลายฉากของ redcliff 2 ดูจะให้ความสำคัญกับพลังภายในที่เรียกว่า "พลังใจ" เป็นพิเศษและพลังในส่วนนี้เองที่กลายเป็นตัวแปรในการชี้ผลแพ้ชนะของสงครามศึกผาแดง Red Cliff ยังว่าด้วยเรื่องของจังหวะเวลาและฤกษ์ยาม หลายฉากในหนังสื่อออกมาได้ค่อนข้างชัดเจน เช่น การพรางตาด้วยจังหวะเวลาซึ่งเต็มไปด้วยหมอก จังหวะเวลาในการเปลี่ยนทิศทางลม การชงชาซึ่งต้องรอจังหวะน้ำเดือดที่เหมาะสม การหน่วงเวลาของเสียวเกี้ยว ( เหมือนสารหน่วงไฟที่เรียกว่า Chemical agent ) นอกจากนี้ยังปรากฏฉากที่แสดงถึงผลร้ายของการไม่รู้จังหวะเวลาเพราะคิดไวใจร้อนหรือเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นฉากที่โจโฉประหารชัวมอกับเตียวอุ๋นในฉับพลันโดยยังไม่ได้ไต่สวนฟังความเห็นให้รอบด้าน ( หากจิวยี่คิดไวใจร้อนเหมือนโจโฉ ขงเบ้งก็อาจถูกกุดหัวเพราะทหารเลวสองสามนายยังนับลูกเกาทัณฑ์ไม่ครบ) หรือการที่เตียวหุยเร่งรีบออกประมือกับศัตรูโดยไม่รีรอจังหวะของกลศึกจนได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น นอกจากเรื่องราวโดยรวมของ Red Cliff จะแสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ (ที่ล้วนแต่เขี้ยวลากดิน) ก็ยังสอดแทรกความโฉดเขลาเบาปัญญาเพื่อการเปรียบเทียบเข้ามาด้วย คนโง่ที่โดนเด่นประจำภาคนี้ได้แก่เพื่อนของซุนฮูหยินซึ่งเป็นทหารในทัพโจโฉ (คงไม่ต้องบอกว่าหน้าตาคล้ายใคร ?) เพื่อนเก่าของจิวยี่ซึ่งเป็นคนโง่อวดฉลาด หรือแม้แต่ชัวมอเตียวอุ๋นซึ่งถูกขงเบ้งตุ๋นซะเปื่อยในฉากขโมยเกาทัณฑ์ ให้ภาพที่ชัดเจนว่ามหาสงครามครั้งนี้ไม่ใช่แค่การสู้รบกันด้วยระเบิดไฟ เกาทัณฑ์ หรือคมหอกคมดาบ หากแต่มันคือการขับเคี่ยวกันระหว่างคมปัญญาของมนุษย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาวุธที่ คม คาย ที่สุดในบรรดาศาสตราวุธทุกชนิด แม้เหมือนจอห์นวูจะไม่ได้มีเจตนาแบ่งภาค Red Cliff ออกเป็นสองส่วนมาตั้งแต่ต้นทว่าส่วนตัวผมแล้วกลับเห็นว่าในแต่ละส่วนนั้นก็ยังมีความเป็นเอกภาพอยู่พอสมควร ส่วนแรกเป็นเรื่องราวของหัวสมองและส่วนที่สองนี้เป็นเรื่องราวของหัวใจ ความสมบูรณ์ของ Red Cliff จึงเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองภาคนี้มาบรรจบกัน ไม่ใช่แค่จบครบถ้วนเรื่องราวที่หนังต้องการเล่า แต่การดู Red Cliff ทั้งสองภาคนี้ถือเป็นการเดินทางที่น่าสนใจยิ่งเพื่อสำรวจการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันสมองและการรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมในป่าดงดิบมนุษย์เป็นสิ่งจำเป็นต่อความอยู่รอด ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่เสมอไม่ใช่แค่เพื่อความอยู่รอดหากแต่เป็นการใช้สมองเพื่อการเอาเปรียบ คำกล่าวที่ว่าคนโง่ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาดจำต้องกลายเป็นสัจธรรมทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยในหมู่ชนซึ่งไม่ใช่สังคมของเดรัจฉาน มันสมองสิ่งเดียวไม่เคยทำให้คนกลายเป็นมนุษย์ได้หากปราศจากหัวใจ "สองหัวดีกว่าหัวเดียว" จึงเป็นคำกล่าวที่น่าจะจริงอยู่เสมอหากมันคือการหลอมรวมกันระหว่าง"หัว" สมองและ"หัว" ใจเพื่อการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เมื่อนายทหารแสนซื่อสหายของซุนฮูหยินถามซุนฮูหยินก่อนสิ้นใจว่า "หมูน้อย เจ้ายังอยากขี่คอข้าไหม๊..." มันเป็นคำถามที่ส่งต่อมาถึงผู้ชมในโรงด้วยและนั่นทำให้ผมรู้สึกอยากร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเศร้าในความตายหากแต่เป็นความเศร้าเพราะรู้คำตอบนั้นดี(เพลงประกอบภาพยนตร์)
Create Date : 30 มกราคม 2552
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 0:09:08 น.
3 comments
Counter : 4332 Pageviews.
โดย: ข้าวหวาน(พอพูดแล้วก็คิดถึงชื่อนี้จัง) IP: 124.121.193.51 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:27:58 น.
1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31