เมื่อฟองสบู่ราคาน้ำมันดิบและราคาทองคำสิ้นสุดลงในปลายปี 2014...วอชิงตัน เทหมดหน้าตักเพื่อจะคว่ำ เครมลิน ให้ได้---วรวรรณ ธาราภูมิ รายงานว่า อเมริกาและยุโรปได้ใช้เงินมหาศาลไปถล่มทองคำ ตามด้วยแซงชั่นรัสเซีย และทุบน้ำมัน ต่อด้วยรูเบิ้ล จับมือกับพวก Hedged Funds และธนาคารต่างๆ ใน Wall Street ตามมาด้วยการที่โอบามาออกนโยบายอุ้มแบงค์โดยการออกกฎหมายเพื่อเตรียมยึดเงินฝากประชาชน และอุ้มตราสารอนุพันธ์ มันก็เหมือนกับส่งสัญญาณให้รู้ว่า เอาให้เต็มที่ รัฐบาลจะช่วยรับผิดชอบ คล้ายๆ กับที่ว่า เผามันเลยพี่น้องงงงง ....ผมรับผิดชอบเอง นั่นแหละ ล่าสุด ฮ่องกงได้ตกลงจะแลกเปลี่ยนหยวนกับรูเบิลในระบบเคลียริ่งแล้ว นี่แสดงว่า ปักกิ่งหนุนหลังเครมลิน ใช่หรือไม่
ภาพบนจากหนังสือพิมท์กรุงเทพธุรกิจ วันที่17 ธันวาคม 2014
วันมืดดำในตลาดหุ้นไทย...ผู้มีความสามารถสูงแต่จรรยาบรรณต่ำจะเข้าไปครอบงำและผูกขาดกิจการต่างๆ รวมทั้งการยึดครองปัจจัยในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน แร่ธาตุ แหล่งน้ำ ป่าไม้ หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและพลังงาน...รวมทั้งเงินตรา หุ้นในตลาด ที่พวกเขาสามารถเสกคาถาให้ขึ้นลงได้ในพริบตาเดียว อีกด้วย
วันที่ 14 ธ.ค.57 ยุคทองเอเซียเปิดแล้ว ..จีนรวยที่สุดของโลกแซงหน้าสหรัฐไปแล้ว และโอบามา จะกล้าลงนามกฎหมายไหม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า จีนกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าสหรัฐแล้ว เพราะจีนมีตัวเลขผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) แซงหน้าสหรัฐเป็นครั้งแรก โดยเติบโตมากกว่า 10 ประเทศระดับชั้นนำของโลก โดยขณะนี้ จีนมี GDP คิดเป็นมูลค่าราว 576 ล้านล้านบาท ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีจีดีพีที่ระดับ 560 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มว่า GDP ของจีนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนา
คตข้างหน้า ถือเป็นการโค่นแชมป์เศรษฐกิจโลกของสหรัฐ ที่ดำเนินมากว่า 140 ปี หลังจากสหรัฐได้แซงหน้าอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2415 โดยจีนเพิ่งจะกลายเป็นประเทศที่มีตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองโลก แซงหน้าญี่ปุ่น ภายหลังตลาดหุ้นจีนมีมูลค่าเงินระดมทุนในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 143 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในปีนี้ 33 เปอร์เซนต์ ...นักวิเคราะห์มองว่าระดับราคาน้ำมันยังปรับลงต่อได้อีก โดยมีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมัน Brent จะลงต่ำกว่า 60 usd/barrel ขณะที่ราคาน้ำมัน WTI อาจจะลงสู่ 50 usd/barrel. จากรายงานแนวโน้มน้ำมันของ OPEC ในเดือน ธ.ค. ได้ปรับลดความต้องการน้ำมันปี 2015 ลง 3 แสน barrels ต่อวันหรือที่ 28.92 ล้าน barrels ต่อวัน ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2003 อาจมีผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงสู่ระดับ 40 usd/barrel และสถานการณ์ของน้ำมันน่าจะยังเข้าสู่ภาวะ Price War ต่อไปด้วยกำลังการผลิตที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น (Global Supply Glut) ขณะที่ความต้องการของน้ำมันที่ยังอ่อนแอ (Weak Demand)