เยือนถิ่นพญาคันคากและย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า จ.ยโสธร
ไม่ได้อัพบล็อก 3 สัปดาห์ ไม่เกี่ยวข้องกับงานเยอะแต่อย่างใด แค่ติด netflix ครับ วันนี้ลุกจากหน้าจอทีวีไปท่องเที่ยวดีกว่า ขอเสนอตอน ทริปอีสานมหัศจรรย์จันจันจัน~ (ทำเสียงแบบโดราเอมอน) เมื่อปลายปีที่แล้วไปแอ่วอีสานตอนกลางมาเด้อ... มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-ยโสธร-มุกดาหาร-นครพนม-สกลนคร-กาฬสินธุ์ ซึ่งสถานที่ส่วนใหญ่ก็เคยอัพบล็อกไปแล้วทั้งสิ้น ที่ไปเพิ่มเยอะหน่อยก็เห็นจะเป็นร้อยเอ็ดกับยโสธรนี่ละครับ เลยขอกลับมาบอกเล่ากันอีกครั้ง
วันนี้ตัดเอาต่อนยโสธรมาเล่าก่อน... จังหวัดทางภาคอีสาน ที่ท่องเที่ยวก็น้อยกว่าภาคอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าจะเที่ยวส่วนมากก็ไปปราสาทหินทางอีสานใต้ หรือเที่ยวเลาะลำน้ำโขงตามจังหวัดชายแดนมากกว่า จังหวัดกลางๆ อย่างยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เลยมีข้อมูลท่องเที่ยวน้อย ขนาดหนังสือของนายรอบรู้ที่ทำข้อมูลท่องเที่ยวรายจังหวัดมา 53 จังหวัดแล้ว ยังไม่ทำสามจังหวัดนี้เลย
เวลาจะเที่ยวต้องนึกก่อนใช่ไหมครับ ว่าจังหวัดไหนมีเรื่องดีมีเรื่องเด็ดอะไรให้เราไปตามรอย หากพูดถึงยโสธรจะนึกถึงหม่ำจ๊กมก... ไม่เอาๆ... รัฐบาลก็เคยมีความพยายามสร้างอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด เพื่อส่งเสริมสินค้าและการท่องเที่ยวนะครับ โดยเฉพาะการมีคำขวัญจังหวัดเพื่อให้รู้ว่าจังหวัดนั้นๆ มีของดีของน่าสนใจอะไรบ้าง ของยโสธร --> เมืองบั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ ...ฮ่วย เที่ยวไม่ได้สักที่ หมอนขวานผ้าขิดคืออะไรตูยังไม่รู้เลย อันที่จริงยโสธรก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังมีชื่อเสียงอย่างพระธาตุก่องข้าวน้อย โบราณสถานดงเมืองเตย สวนสาธารณะพญาแถน โบสต์คริสต์บ้านซ่งแย้ ฯลฯ แต่ล้วนไม่ได้โดดเด่นระดับประเทศ และอยู่กระจัดกระจาย ไม่มีความเชื่อมโยงกันทั้งประเภทสถานที่ท่องเที่ยวและยุคสมัยที่สร้าง ทริปรอบนี้ก็จะเที่ยวแบบไม่ร้อยเรียงเรื่องราวอะไรนะครับ (คนไม่อยากอ่านประวัติศาสตร์เอามือทาบอกด้วยความปิติ)
ทริปนี้น้องเป็นคนออกแบบรูท ออกเดินทางวันที่ 19 พ.ย. 63 แวะเที่ยวร้อยเอ็ดก่อนมาถึงยโสธรบ่ายสองกว่าๆครับ สถานที่เที่ยวแรกได้แก่ วัดพระพุทธบาทยโสธร ประดิษฐานพระพุทธบาท พระพุทธรูปปางนาคปรก และศิลาจารึกสมัยอยุธยา แต่สิ่งที่ทำให้วัดสวยงามโดดเด่นเป็นที่หมายปองของนักท่องเที่ยวคือโบสถ์ใหม่ ที่ทำกำแพงเป็นรูปโลโก้ ปตท. เอ้ย! เปลวไฟสีขาวนวลตา ด้านในประดิษฐานพระพุทธโลกนาถ เป็นพระพุทธรูปหยกขาวขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สูง 3.7 เมตร เดี๋ยวค่อยกลับมาพักในตัวเมืองตอนเย็นๆ นะครับ ขับรถต่อไปที่พระธาตุก่องข้าวน้อยตอนใต้ของตัวเมืองนิดหน่อย เผื่อใครไม่เคยอ่านนิทานเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ขอสปอยล์สักหน่อยนะครับ --> ชายหนุ่มคนหนึ่งทำนาแดดร้อน แม่ก็มาส่งข้าวช้า พอแม่มาถึงเห็นข้าวมีนิดเดียว เกิดโมโหหิวเลยทุบแม่ตาย พอกินอิ่มก็สำนึกได้ เลยสร้างพระธาตุชดใช้ให้แม่ จบ!
ตำนานเรื่องก่องข้าวน้อย เป็นนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อกันมาทั้งที่บ้านตาดทองและบ้านทุ่งสะเดา โดยต่างก็มีพระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นของตนเองนะครับ
ที่เป็นที่รู้จักมากกว่าคือ พระธาตุตาดทอง สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 24 สูง 10 เมตร และเป็นสถาปัตยกรรมล้านช้าง ไม่น่าสร้างด้วยฝีมือชาวบ้านได้ ยกเว้นเขาจะได้พลังจากการตีพ่อตีแม่จนร่างกายสูงใหญ่เป็นเปรตยโสธร อีกตำนานของพระธาตุนี้คือชาวบ้านได้รวบรวมของมีค่าเตรียมไปบรรจุพระธาตุพนม แต่สร้างเสร็จเสียก่อน เลยเอามาบรรจุที่นี่แทน พระธาตุไหนอยู่โซนนี้ ได้สตอรี่ประมาณนี้กันไปหลายแห่งละครับ ถ้านับตามเวลาสร้างที่ไล่เลี่ยกัน ตอนสร้างพระธาตุตาดทอง พระธาตุพนมถูกบูรณะครั้งที่ 4 แล้ว (ช่วงปี พ.ศ.2350-2356) ผมเคยมาที่นี่รอบนึงเมื่อปี 2556 นะครับ วันนี้กลับไปอีกรอบ ตลาดข้างพระธาตุที่เคยคึกคักก็เงียบเหงา พิษโควิดแม้จะคลายล็อคแล้วก็ยังฟื้นกลับมายากจริง แล้วพอมาปีนี้ก็ต้องล็อคอีกรอบ พระธาตุทุ่งสะเดา จะอยู่ห่างมา 3.5 กม. อยู่ในวัดทุ่งสะเดา เป็นพระธาตุองค์เล็กฝีมือช่างพื้นเมืองแท้ๆ สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 23-24 เจดีย์องค์แรกพังทลายจนเหลือแต่ฐานไปแล้ว เลยสร้างองค์ที่สองขึ้นมาใกล้ๆ กัน ในวัดมีอนุสาวรีย์แห่งการตีพ่อตีแม่เป็น ref. ของตำนานก่องข้าวน้อย | | อะ เย็นละ ได้เวลาเข้าตัวเมืองยโสธรกันครับ สถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของจังหวัดนี้เห็นจะเป็นสวนสาธารณะในเมือง ที่อยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำลำทวน นอกจากทัศนียภาพที่งดงามแล้วยังมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมทั้งในตัวกบและตัวงู กบกับงูที่กำลังจ้องกันอยู่นี่ไม่ได้มาจากเรื่องนารูโตะแต่อย่างใด แต่คือพญาคันคากและพญานาค ตามตำนานท้องถิ่นเรื่องพญาคันคากรบพญาแถน | สวนสาธารณะพญาแถน (Phraya Than Public Park) | รูปปั้นที่ตั้งอยู่ระหว่างพญาคันคากและพญานาคนี้คือพญาแถน ผู้ปกครองสวรรค์ตามความเชื่อคนอีสาน แต่เสื่อมความนิยมลงเพราะคนหันไปนับถือ พญาคันคาก โอรสของเจ้าเมืองชมพู ผู้เกิดมาเป็นคางคกน่าเกลียดน่ากลัว แต่ได้รับพรจากพระอินทร์จนกลายเป็นหนุ่มรูปงามปกครองบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง วิญญาณนางอิจฉาช่องเจ็ดเข้าสิงพญาแถนจึงห้ามไม่ให้พญานาคขึ้นไปเล่นน้ำบนสวรรค์ ทำให้ฝนไม่ตกลงมา เกิดภัยแล้งไปทั่ว พญาคันคากจึงร่วมกับพญานาคก่อภูเขาขึ้นไปรบกับพญาแถนบนสวรรค์ สู้กันไปสามสิบกระบวนท่าจนพญาคันคากสามารถเอาชนะได้ พญาแถนจึงทำ MOU ยอมส่งน้ำลงไปให้โลกมนุษย์ โดยขอให้ชาวโลกส่งซิกมาว่าอยากได้ฝนตอนไหน จึงเป็นที่มาของการยิงบั้งไฟหัวพญานาค เพื่อบอกให้พญาแถนรู้ว่านาคจะมาเล่นน้ำแล้วจ้า เปิดน้ำด่วน~
เรื่องของพญาคันคากคือตำนานที่เล่าต่อเนื่องกันมานับพันปีของคนแถบนี้ และเป็นที่มาของงานบุญบั้งไฟครับ แหม่... เสียดายตอนทำ MOU น่าจะใส่เงื่อนไขด้วยว่าต้องส่งอะไรขึ้นไปถึงจะรู้ว่าหยุดฝนได้แล้วโว้ย! น้ำจะท่วมตายหงส์ตายห่านหมดแล้ว!! ตัวตำนานมีหลายเวอร์ชั่นนะ รายละเอียดอาจแตกต่างกันนิดหน่อย เวลาอ่านพวกตำนานแล้วไม่ต้องเอาไปจัดแรงค์พลังนะครับ พญาแถนคนอีสานนับถือกว้างขวางและเก่าแก่กว่าเยอะ แต่พญาคันคากแต่งขึ้นมาทีหลัง ก็ต้องโชว์เทพตบตัวเก่าเรียกคะแนนนิยมสักหน่อย เหมือนฮินดูที่แต่งให้พระอินทร์ที่มีคนนับถือก่อนหน้ามานานนมซะกากนั่นแหละ
พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก อยู่ภายในตัวเจ้าคางคกยักษ์นี่ละครับ จังหวัดยโสธรร่วมกับองค์กรพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อวพช.) สร้างขึ้นเพื่อให้ความรู้เรื่องคางคก บั้งไฟ และความเป็นมาของจังหวัดยโสธร ....จับฉ่ายน่าดู ด้านในแบ่งเป็น 5 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวตรงปากคางคกยักษ์ เห็นวิวอ่างเก็บน้ำลำทวนสวยงาม พิพิธภัณฑ์พญานาค อยู่ภายในตัวพญานาค สร้างขึ้นเป็นแหล่งให้ความรู้เรื่องงู ตำนานพญาคันคาก และความเชื่อเรื่องพญานาค ถึงจะไม่ใหญ่โตแต่ก็ทำการจัดแสดงได้ดีงามสมศักดิ์ศรี อวพช. เข้ามาที่ใจกลางเมืองยโสธรตรงนี้เรียกว่าบ้านสิงห์ท่า เป็นชุมชนที่เกิดจากการพาผู้คนอพยพมาจากเวียงจันทร์ ใจกลางชุมชนนี้คือ วัดมหาธาตุ สร้างในปี พ.ศ.2321 มีเจดีย์ประธานคือพระธาตุอานนท์ บรรจุพระสรีรธาตุของพระอานนท์ที่ชาวเวียงจันทร์นำมาจากเมืองเทวทหะ
ในยุค ร.1 ได้ส่งเจ้าพระยาวิชัยราชขัตติยวงศาจากบ้านสิงห์ท่าไปปกครองนครจำปาศักดิ์จนถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ.2354 เจ้าราชวงศ์สิงห์ผู้เป็นบุตรจึงนำอัฐิกลับมาฝังที่บ้านสิงห์ท่า และยกฐานะบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมืองยโสธรในปี พ.ศ.2357 โดยมีเจ้าราชวงศ์สิงห์เป็นเจ้าเมืองคนแรก มีราชทินนามว่า "พระสุนทราชวงศา" ส่วนอัฐิของเจ้าพระยาวิชัยราชขัตติยวงศาถูกฝังไว้ในเจดีย์องค์รองหน้าพระธาตุอานนท์ครับ ถนนอุทัยรามมฤทธิ์ใน ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า จะเปิดเป็นถนนคนเดินในช่วงวันหยุด 99% เป็นของกินครับ ไม่ค่อยมีงานฝีมือหรือศิลปะท้องถิ่นแบบที่นักท่องเที่ยวคาดหวังในถนนคนเดินต่างจังหวัดเท่าไหร่ บริเวณเมืองเก่านี้เป็นย่านการค้าตั้งแต่สมัยโบราณ หลังสร้างเมืองสิงห์ท่าขึ้นในตอนต้นรัตนโกสินทร์ เมืองก็เจริญขึ้นมากในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพล เลยเกิดอาคารแบบชิโนโปรตุกีสขึ้นมากมาย หลายแห่งก็ปรับเป็นร้านค้าหรือร้านอาหาร แต่ก็ยังคงกลิ่นอายแบบเก่าให้ดื่มด่ำบรรยากาศ ถนนคนเดินผ่านศาลหลักเมืองยโสธร ตัวศาลผสมผสานศิลปะไทย-จีน-ลาว และหลักเมืองแบบ 3 เสาที่เดียวในประเทศไทย โดยเสากลางคือหลักเมือง เสาซ้ายขวาเป็นที่สถิตของผีพระละงุมและผีพระละงำผู้รักษาหลักเมือง | |
ของกินในถนนคนเดินไม่จุใจอะครับ หาร้านนั่งเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่า วนมาได้ร้านข้าวต้มหยก เมนูหลากหลายมากครับ กบ หมูป่า ปลากะพง ปลาเนื้ออ่อน หมึก หัวปลา ฯลฯ มีหมด ถ้วยซุปเก็บความร้อนได้ยันกินเสร็จซุปยังร้อนจี๋อยู่เลย ...แอนด์ดีสอีสที่ซุกหัวนอนของเราในคืนแรกของทริปอีสานนี้ The Colour ราคามิตรภาพตามสไตล์ภาคอีสานครับ คืนละ 550 ห้องจัดว่าดีเลย สีสันและการตกแต่งแต่ละห้องไม่ซ้ำกันด้วยนะ โรงแรมมีชั้นเดียว คนเฒ่าคนแก่ชอบมากไม่ต้องขึ้นบันได เช้าตรู่วันที่ 20 พ.ย. 63 เราออกเดินทางกันต่อ หลังจบกับมื้อเช้า (แวะกินข้าวมันไก่ย่างห้าดาวข้างทาง) ขับรถขึ้นมาตอนกลางของจังหวัดที่บ้านซ่งแย้ อ.ไทยเจริญ มีโบสถ์คริสต์สร้างจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ วัดอัครเทวดามิคาเอล เดิมทีผู้คนที่เข้ามาอาศัยอยู่บริเวณนี้จะอยู่ได้ไม่นานเพราะโรคภัยไข้เจ็บจนมีความเชื่อว่ามีผีร้ายมาไล่ที่ จนกระทั่งบาทหลวงเดชาแวลและอัมโบรซิเอเข้ามาช่วยไล่ผีในปี พ.ศ.2451 จากนั้นก็ไม่เกิดอาเพศใดๆ อีก ทำให้คนหันมานับถือศาสนาคริสต์ส่วนนึงด้วย นี่เป็นการนำการแพทย์เข้ามาช่วยผู้คนไปพร้อมๆ กับการเผยแผ่ศาสนาครับ
ตัวโบสถ์ไม้ที่เห็นนี้เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นเป็นหลังที่ 4 ในปี พ.ศ.2490 ขนาด 16 เมตร x 57 เมตร ใช้เสา 360 ต้น เป็นโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใหญ่จนไม้ที่เหลือจากการสร้างโบสถ์ยังนำไปสร้างโรงเรียนบ้านซ่งแย้พิทยาได้อีกหลัง ด้วยเวลาจำกัดจึงออกเดินทางไปมุกดาหารต่อเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายที่ในยโสธรที่ยังไม่เคยไปนะครับ โดยเฉพาะพวกโบราณสถานยุคเจนละทั้งหลายนอกจากดงเมืองเตยที่เคยไปแล้ว มุกดาหารกับจังหวัดอื่นๆในทริปนี้เคยอัพบล็อกไปจนปรุแล้ว ที่เที่ยวที่เพิ่มมานิดหน่อยจากทริปนี้ อาจเอากลับไปอัพในบล็อกเก่าๆ แทนนะครับ เดี๋ยวบล็อกหน้าพาเที่ยวอีกจังหวัดที่เที่ยวเพิ่มมาแบบมีน้ำมีเนื้อ คือร้อยเอ็ดครับ นี่ก็มีที่เที่ยวน่าสนใจเยอะเกินคาดเหมือนกัน
Create Date : 03 ตุลาคม 2564 |
Last Update : 3 ตุลาคม 2564 20:58:09 น. |
|
37 comments
|
Counter : 1646 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณเริงฤดีนะ, คุณThe Kop Civil, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณหอมกร, คุณกะว่าก๋า, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณKavanich96, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณlovereason, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณSertPhoto, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณtoor36, คุณSweet_pills, คุณmultiple, คุณTui Laksi, คุณInsignia_Museum, คุณtuk-tuk@korat, คุณนกสีเทา, คุณทนายอ้วน |
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 3 ตุลาคม 2564 เวลา:10:47:13 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 3 ตุลาคม 2564 เวลา:13:51:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 ตุลาคม 2564 เวลา:14:42:30 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 3 ตุลาคม 2564 เวลา:21:44:10 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 4 ตุลาคม 2564 เวลา:5:06:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 ตุลาคม 2564 เวลา:8:35:36 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 4 ตุลาคม 2564 เวลา:21:18:40 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 ตุลาคม 2564 เวลา:22:23:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 ตุลาคม 2564 เวลา:5:57:39 น. |
|
|
|
โดย: toor36 วันที่: 5 ตุลาคม 2564 เวลา:20:26:40 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 ตุลาคม 2564 เวลา:21:42:25 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:0:15:04 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:5:11:58 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:5:27:11 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:8:59:27 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:9:14:36 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:20:08:29 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 ตุลาคม 2564 เวลา:22:22:29 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:5:55:51 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:10:04:16 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:16:21:33 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 9 ตุลาคม 2564 เวลา:15:57:57 น. |
|
|
|
|
|