INDIA 2009 ตอนที่ 9/1...แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี
วันที่แปดของการเดินทาง 12 ก.พ. 2552/1
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางในทริปนี้ ตื่นเช้ากว่าเมื่อวานอีกค่ะ ตื่นตี 4 เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปล่องแม่น้ำคงคา ครั้งที่แล้วที่ปอ ป้า มาเมืองพาราณสี เริ่มล่องแม่น้ำคงคาที่ท่าน้ำปราสาทพระเจ้าพรหมทัต แต่ครั้งนี้ ต้องเดินผ่านตลาดเพื่อไปยังท่าเรือที่มีผู้คนเนืองแน่นตลอด 24 ช.ม. จะบางตาก็แค่ช่วงเวลาตี 4-5 เท่านั้น
เมืองพาราณสี นักการศึกษาสายศาสนา และท่านผู้ศรัทธามาแสวงบุญคงคุ้นเคยกับพุทธวจนะที่ว่า ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้วในกรุงพาราณสี ได้มีพระราชาแห่งรัฐกาสี ทรงพระนามว่า พรหมทัต เป็นกษัตริย์ที่มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร มีพาหนะมาก เป็นมหาวิชิต มีฉางหลวงเต็มไปด้วยข้าวเปลือก นั่นคือภาพรวมของเมืองพาราณสีเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว
บรรยากาศยามเช้ามืด ณ ท่าน้ำแห่งเมืองพาราณสี
พาราณสี เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นกาสีมาแต่ครั้งพุทธกาล ปัจจุบันคือ เมืองบานารัส ( Banaras ) ในเขตอำเภอบานาเรส รัฐอุตตรประเทศ เคยเจริญรุ่งเรืองมาแต่ก่อนพุทธกาล มีความชำนาญเชิงการพาณิชย์และอุตสาหกรรม มีสินค้าส่งออกลือชื่อ คือ ผ้าไหมกาสี เครื่องสำอางกาสีวิเลปนะ เครื่องประดับ ด้วยช่างฝีมือประณีต มีการติดต่อโดยตรงกับเมืองสาวัตถี เมืองเวสาลี เมืองราชคฤห์ และเมืองสำคัญอื่น ๆ
ความเก่าแก่ของเมืองพาราณสี มีปรากฏในชาดกมาเกินกว่า 4,000 ปี ชื่อเมืองจึงถูกกล่าวไว้ในต่างยุคต่างสมัยมากมาย เช่น สุตโสมชาดก เรียก สุทัสสนะ โสณทัณฑชาดก เรียก พรหมวัฑฒนะ ยุวันชัยชาดก เรียก รามนคร และอีกหลายชาดก เรียก กรุงพาราณสีว่า กาสีนครก็มี กาสีกุระก็มี
ตามตำนานทางพระพุทธศาสนากล่าว่า พระพุทธเจ้า ก่อนจะทรงบรรลุพระโพธิญาณ เคยเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ มีพระเตมีย์ พระสุวรรณสาม เป็นต้น และบำเพ็ญบารมีในยุคสมัย พระเจ้าพรหมทัตผู้ครองเมืองพาราณสีหลายชาติ เรียกว่า ในชาดก 500 ชาติ มีประวัติที่เกิดขึ้น ณ เมืองพาราณสี เกินกว่าครึ่ง เหมือนว่าเป็นโรงเรียนเตรียมของเหล่าโพธิสัตว์ที่จะก้าวล่วงสู่โพธิญาณ หรือการตรัสรู้ในเบื้องหน้า
ปัจจุบันเมืองพาราณสี คือที่ชุมนุมทางศาสนา ศูนย์กลางแสวงบุญของศาสนิกหลายศาสนาที่กำหนดด้วยศรัทธา ให้พาราณสีเป็นบุญสถาน เมืองที่ใช้ประกอบการบวงสรวง กราบไหว้บูชา โดยเฉพาะพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตทางศาสนาฮินดู มีเทวาลัยโบราณจำนวนพัน ๆ แห่ง ที่ตั้งศิวลึงค์มากที่สุดในโลก มีแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ใช้อาบชำระบาป มีท่าน้ำให้ลอยบาปได้ ท่าน้ำบางท่าแบ่งให้เป็นสวรรค์ ท่าน้ำบางท่าแบ่งให้เป็นป่าช้า ผู้ที่ตายแล้วก็มีสิทธิ์ในการใช้สอยได้เสมอกัน เช่น ท่ามณิกรรณิกาฆาต เมรุหลวงของชาวฮินดู เป็นลานส่งร่างไร้วิญญาณของศพที่ถูกเผา 4,000 กว่าปีมาแล้ว ไฟไม่เคยดับ
แม่น้ำคงคา สายธารอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ท่าน้ำคงคาเมืองพาราณสีเป็นเสมือนคัมภีร์ที่ห่อหุ้มชีวิตของชาวภารตะ ต้นน้ำคงคาเกิดบนเทือกเขาหิมาลัย สูงกว่าระดับน้ำทะเล 13,800 ฟุต ณ บริเวณที่เรียกว่า ภาคีรส ในคัมภีร์ปุรณะกล่าวว่า น้ำพระคงคาไหลพุ่งออกจากโคมุขี หรือปากวัว ซึ่งถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นบันไดขั้นแรกที่พระศิวะเสด็จจากบัลลังก์บนยอดเขาไกรลาศ แล้วไหลลงมาตามช่องเขาลงสู่ที่ลาดสูงแห่งหนึ่ง เรียกว่า คงโคตรี ที่นั้นถือเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งทางศาสนา มีโบสถ์พราหมณ์ตั้งอยู่หลังหนึ่ง เป็นที่รู้จักในหมู่ฮินดู ใคร ๆ ก็อยากไปถึงที่นั่นกันทุกคน
หนุ่ม ๆ ชาวเมืองพาราณสี ยืนเรียงแถวถูฟันอยู่ริมทางเดิน ไม่สนใจว่าใครจะมา ใครจะไปไหนกัน...ถู แล้วก็ ถู...อิ อิ
อุปกรณ์ในการทำความสะอาดฟัน คือ สิ่งนี้...ไม้ข่อย... หาซื้อได้ตามท้องถนนทั่วไป...แบบนี้...สนนราคาก็ไม่แพง กำละ 5 รูปี..
ณ เมืองพาราณสี บรรดาคนที่เป็นชาวฮินดู ต้องได้นมัสการสถานที่สำคัญ 5 แห่งริมน้ำ เรียกว่า ปัญจตีรถะ หรือท่าน้ำทั้ง 4 คือ ท่าทศวเมธ ท่าปัญจคงคา ท่ามณิกรรณณิการ์ และท่าอสีสังคม มีความเชื่อคล้ายชาวพุทธเรา ที่มานมัสการสังเวชนียสถานต้องครบ 4 แห่ง จึงจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรบกพร่อง
แม่น้ำคงคาตรงเมืองพาราณสีนี้ ไหลกลับขึ้นไปทางทิศเหนือ นับว่าแปลกกว่าที่อื่น ๆ ในคัมภีมหาภารตะจึงสร้างความสำคัญขึ้นว่า ตรงนี้เป็นที่ซึ่งเทวโลก มนุสสโลก ยมโลก มาพบกัน ผู้ใดมาอดอาหารที่นี่หนึ่งเดือน และอาบน้ำตรงนี้ ผู้นั้นจะมองเห็นเทวดาทั้งหลาย
อรรถกถาธรรมบทเล่าไว้ว่า สตรีอินเดียในพุทธกาล ผู้ทรงคุณวิทยา ผู้ที่มีความรู้เสาะหาสามี บิดามารดา ส่วนมากสอนให้ลูกสาวเรียนปรัชญา แล้วอนุญาตให้ผู้หญิงหาชายที่มีความรู้มาอาบน้ำริมฝั่งคงคา เมื่อประฝีปากกับชายใด พอใจแล้วก็อนุญาตให้แต่งงานกับชายผู้นั้นได้
ตามริมฝั่งน้ำ มีพวกแขกที่เรียกตัวเองว่า คงคาบุตร เป็นที่จัดพิธี ให้คำแนะนำพวกที่มาอาบน้ำ และเป็นที่ขายของเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นสำหรับบูชาเทพเจ้า ที่ท่าน้ำมีเรือรับจ้างจอดรอรับคนท่องเที่ยว เป็นเรือแจวหัวแจวท้าย เรือมีประทุน และเรือสำหรับคนสำคัญที่มาแม่น้ำคงคา
ตอนเช้า ๆ พวกแขกจะมาอาบน้ำกัน และนั่งสวดมนต์ทำอาการแปลก ๆ อยู่หลายท่า เช่น บูชาพระอาทิตย์ บ้างก็ลงอาบน้ำ และกินน้ำในแม่น้ำคงคานี้ ถือกันว่าเป็นการลอยบาปอย่างพิเศษ
อาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด ก่อนที่จะขึ้นไปทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
บางคน...ทั้งอาบ...ทั้งซัก...
คงคาแปลตามตัวอักษรว่า ผู้ไปเร็ว ฝรั่งเอามาแปลงเป็น แกนยีส์ ( Ganges ) เลยไม่มีความหมายว่าอะไร สายน้ำคงคานี้ รวมระยะจากต้นน้ำถึงปากอ่าว ยาว 1,551 ไมล์ แต่มีสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งถือว่าเป็นแดนเทวดา ก็ที่เมืองพาราณสีนี่เอง
พาราณสียามเช้าที่พวกเราต้องเดินไปลงเรือ เนื่องจากรถบัสใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปถึงท่าน้ำ จึงต้องลงเดินด้วยความระมัดระวัง เพราะมีทั้งวัวนอน คนนอนมากมาย แม้ร้านค้ายังไม่เปิดก็ยังมีคนหามศพพันผ้าขาวขึ้นแคร่ไม้ไผ่ผ่านตาไป พวกญาติมิตรมี่เดินตามศพ แต่งกายกันไปตามเรื่อง ไม่มีพิธีรีตองว่าจะใช้สีอะไรเป็นสีไว้ทุกข์ เสียงร้องพร้อม ๆ กันเป็นจังหวะลั่นถนนฟังไม่ได้สรรพว่าตะโกนร้องอะไรกัน ด้วยความอยากรู้จึงเรียนถามพระวิทยากร ท่านบอกว่า รามะนามะ สัตยาไฮ แปลว่า พระนามของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นของเที่ยง นอกนั้นตายเกลี้ยงไม่เหลือหรอ
ท่ามณิกรรณิการ์ฆาต นับว่าศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง พิธีกรรมต่าง ๆ ทำกันที่นี่ แม้แต่การเผาศพ ในคัมภีร์ปุราณะยืนยันว่า พระศิวะเสด็จมาที่นี่ และต่างหูของพระองค์ข้างหนึ่งหลุดตกลง ณ ที่ตรงนี้ จึงเรียกว่า มณิกรรณิการ์ ตามชื่อของต่างหูนั้น ท่าน้ำนี้จึงถือว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในบรรดาท่าน้ำทั้งหลาย ทุกคนต้องการให้ซากศพของตนได้มาเผาที่นี้ และทุกคนพยายามมาอาบน้ำตรงนี้ด้วย จึงนับว่าเป็นภาพที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก คือ คนเป็นคนตายอาบและเผาอยู่ที่เดียวกัน
หนุ่มคนนี้...ขยันทำมาหากินมาก...เดินเร่ขายสินค้าตั้งแต่เช้ามืด
ส่วนเจ้าตัวนี้...ก็ขยันหากิน...ไม่แพ้คน..
เพลิงที่จุดไว้ 4,000 ปี จึงไม่เคยดับ มีศพหามกันมาไม่เคยหยุด เรียกว่า เผากันทั้งปีเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อกองไฟกองหนึ่งมอดลง ญาติของผู้ตายจัดการระบายกระดูกและเถ้าถ่านลงแม่น้ำคงคาไป แล้วเจ้าภาพของศพที่คอยอยู่ก็เข้าแทนที่ ขนดุ้นฟืนดุ้นใหญ่ ๆ ออกมาวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยม เมื่อสูงพอสมควรแล้ว เขาก็ช่วยกันหามศพลงจากแคร่ สังเกตว่าบางศพยังสดมาก เพราะเมื่อขึ้นมาถูกหิ้วตัวยังงอได้ ศพนั้นจะถูกนำไปวางลงบนกองฟืน แล้วจึงเอาฟืนที่เหลือสุมลงไป จนกระทั่งมองไม่เห็นศพ เสร็จแล้วเอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟขึ้น ญาติมิตรทั้งหลายจะมารุมล้อมที่กองฟืน พากันหลั่งน้ำตาแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง เคราะห์ดีที่รัฐบาลสมัยนี้ห้ามมิให้ผู้เป็นเมียต้องกระโดดเข้ากองไฟตายตามผู้เป็นสามี
ตามฝั้งแม่น้ำคงคาจะมีอาคารที่พัก สำหรับผู้มารอรับความสุข คือ บูชาพระอาทิตย์ และอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ยามพระอาทิตย์ส่องฟ้า และผู้มารอรับความตาย บูชาพระอัคนี ที่พักจะเรียงรายกันอยู่ เรียกว่า Morana Hotel
พาราณสี ไม่เคย หลับใหล เปลวไฟ จุดแล้วกว่า สี่พันปี เมื่อตาย ขอทอดกาย ลงนที คงคานี้ นำสู่ ประตูสวรรค์
วันนี้ปอ ป้า ขอจบเรื่องราวของเมืองพาราณสี และ แม่น้ำคงคา ไว้เท่านี้ก่อน เนื่องจากยังมีเรื่องราวให้พูดถึงอีกมากมาย เอาไว้ต่อตอนหน้า...นะคะ
ดวงอาทิตย์ ยามเช้า...เหนือริมฝั่งแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี
Create Date : 13 พฤษภาคม 2552 |
|
73 comments |
Last Update : 14 สิงหาคม 2558 22:52:17 น. |
Counter : 3574 Pageviews. |
|
|
|
ปอ ป้า โชคดีเหลือหลาย ที่ฝนฟ้ามาช่วยไว้ได้ทันการ...หุ หุ
ระหว่างที่เจรจาหย่าศึกกะคุณป่วน กำลังจะพ่ายแพ้อยู่แล้ว...เชียว
คุณป่วน เลยเผ่นแน็บบบบบ...ไปแหล่วววว...อิ อิ
เค้าไม่ชอบอากาศเย็น....ค่ะ
เวลาอากาศเย็น ๆ เค้าจะต้องหนีไป...ซ่อนตัว
พออากาศร้อน ก็จะออกมาทำตัวเป็นนักเลง....เกเร
ป้าก็จะใช้วิชาธรรมะ เข้าต่อสู้ด้วยทุกครั้ง
แบบว่า...เอาธรรมะ ....เข้าข่ม ขย่มคุณป่วน..
แพ้มั่ง ชนะมั่ง ไปตามวาระแห่ง....กรรม
ถ้าไม่มีธรรมะของ....พระพุทธองค์
ป้าคงตามคุณพุ่มพวงไปนานแล้วล่ะ...ค่ะ
ต้องขอบคุณทุก ๆ ท่านที่เป็นห่วงและส่งกำลังใจมาให้
ก็ถือโอกาสนี้น้อมนำบุญที่ได้กระทำมาส่งให้ทุกท่าน
ขอให้ผลบุญที่ป้าได้สั่งสมมาจงเป็นพรอันประเสริฐ
บันดาลให้ทุกท่าน มีความสุข ความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม
มีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่เข้มแข็ง...แข็งแรงกันทั่วทุกคน..นะคะ