The Memory of India ตอนที่ 1

การเดินทางในครั้งนี้เรียกว่า สู่…แดนพุทธภูมิ ตามรอยพระบาทพระศาสดา
นมัสการสังเวชนียสถาน 4 ประสูติ-ตรัสรู้-ปฐมเทศนา-ปรินิพพาน
จัดโดยคณะผู้บริหารเครือนำทอง-เอไอเอ
ผู้เขียนได้รับการชักชวนจากตัวแทนขายประกันในเครือนำทอง คือ คุณศุภางค์ อัยรักษ์ หรือ คุณแป๋ว ให้ร่วมเดินทางไปด้วย ดังนั้นก๊วนของเราทั้งหมดจึงมีด้วยกัน 5 คน ได้แก่ คุณชลิต สามีของแป๋ว, แป๋ว, เพื่อนของผู้เขียน ชื่อหนู, น้องสาวของผู้เขียน ชื่อนก และตัวผู้เขียน

วันที่ 1, กรุงเทพฯ-คยา-พุทธคยา

ตั้มเป็นสารถีขับรถพาฉันไปส่งโดยออกจากบ้านมุ่งหน้าไปรับนกที่บ้านก่อนจึงเลยไปส่งที่สนามบิน เวลาตามที่ทัวร์นัดหมายคือ 11.30น. แต่ปรากฎว่าเวลาที่เราไปถึงเพิ่งจะ 10 โมงเศษ เท่านั้น เริ่มต้นการเดินทางก็ประทับใจในบริการของบริษัททัวร์แล้ว เนื่องจากเราไปเป็นคนแรกเขาเห็นเราก็กุลีกุจอเข้ามาสอบถามว่าใช่คณะเอไอเอหรือเปล่า แล้วก็จัดการรับกระเป๋าเดินทางของเราไปเช็คอินให้เรียบร้อย จากนั้นได้ชวนนกขึ้นไปทานอาหารเช้า+กลางวันที่ชั้น 2 ไม่นานเท่าใดนัก แป๋วและคุณชลิตก็ตามมาสมทบ
คนต่อไปก็เป็นหนู มาด้วยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง เพราะไม่ค่อยสบายตัวด้วยอาการของคนวัยทองกำเริบอย่างแรง สักพักใหญ่คุณนายศิริพรก็โทรเข้ามาว่าจะมาทานข้าวกลางวันด้วย พร้อมทั้งมีน้ำใจนำเครื่องรางฯ มาให้พวกเราติดตัวไปด้วยเพื่อความสิริมงคล และฝากเงินฉันไปทำบุญด้วย 1,000.-

เวลาประมาณ 14.25น. จึงได้เวลาเหินฟ้าโดยสายการบินแอร์อินเดีย มุ่งหน้าสู่ประเทศอินเดีย เวลาที่อินเดียช้ากว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อขึ้นเครื่องบินแล้วได้เห็นสภาพภายในเครื่องบินรวมทั้งบรรดาแอร์โฮสเตส และสจ๊วต แล้วอยากจะเป็นลมเพราะทั้งแก่ทั้งดำ แต่งตัวก็ปอน ๆ มอม ๆ กลิ่นภายในเครื่องบินก็สุดจะทน ว่าแล้วฉันก็ควักเอาพิมเสนน้ำมาปะจมูกไปเล็กน้อยรอเวลาให้จมูกมันชิน ๆ กับกลิ่นสักพัก อาหารบนเครื่องบินเป็นแกงกะหรี่ไก่ เห็นเพื่อนร่วมคณะทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ฉันก็เลยลองชิม ๆ ดูบ้าง
อร่อยมากผิดความคาดหมาย เลยพิจารณาอย่างละเอียดว่าเป็นฝีมือของใครทำ ปรากฎว่าเป็นอาหารที่ส่งมาจากครัวการบินไทย นั่นเอง

เวลาประมาณ 15.40น. เวลาประเทศอินเดีย เดินทางถึงสนามบินคยา หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า สนามบินนานาชาติเมืองคยา รัฐพิหาร ซึ่งสภาพรวม ๆ แล้ว สนามบินแม่ฮ่องสอนของเราทันสมัยกว่าเยอะ ที่นี่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ กว่าจะหลุดจากพิธีการต่าง ๆ ออกมาได้ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อเสร็จพิธีการแล้วได้มีการจัดแบ่งคณะออกเป็น 2 พวก โดยใช้รถ 2 คัน พวกของเราได้อยู่รถคันที่ 1 ซึ่งเป็นรถวีไอพี สำหรับคุณพัชรา ซึ่งเป็นหัวหน้าของแป๋ว เป็นอันว่าได้บารมีเจ้าแป๋วพามานั่งรถที่ดีที่สุดในคยา
เห็นว่าเพิ่งถอยออกมาได้แค่เดือนเศษ ๆ เท่านั้น บริการคณะของเราเป็นชุดที่สอง ส่วนรถคันที่ 2 นั้น ไม่รู้ว่าสภาพจะเป็นอย่างไร


สนามบินคยา รัฐพิหาร


รถมุ่งหน้าพาคณะของพวกเราสู่โรงแรมโตเกียววิหาร ที่เขาว่าทันสมัยระดับ 4 ดาว ตั้งอยู่ไม่ไกลจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อไปถึง จึงได้เห็นว่าเป็นอาคาร 3 ชั้น ไม่มีลิฟท์ การต้อนรับอบอุ่นเป็นกันเองดี พนักงานที่ทำงานในโรงแรมตัวดำ ๆ แต่แต่งตัวสะอาดเรียบร้อยดี จัดน้ำมาเป็น WELCOME DRINK พร้อมทั้งคล้องมาลัยดาวเรืองและแต้มหน้าผากสีแดงให้กับผู้เข้าพักทุกคน แต่ตัวฉันนั้นไม่อนุญาติให้ใครมาคล้องพวงมาลัยและแต้มสีให้ เพราะข้างในไม่อนุญาติ ฉันจึงได้แต่โบกมือให้พวกเขาเข้าใจว่าเราขอไม่รับพร้อมทั้งยิ้มและพูดขอบคุณพวกเขาที่มีน้ำใจ พวกเขาก็ยิ้มตอบและแสดงว่าเข้าใจ หลังจากนั้นการจัดสรรห้องพักก็เกิดขึ้น โดยฉันพักกับแป๋ว หนูพักกับนก ส่วนคุณชลิตพักกับเพื่อนชื่อคุณประจวบ


โรงแรมโตเกียววิหาร



บ้านนี้อยู่ติดกับโรงแรมที่พัก


เมื่อนำกระเป๋าเดินทางและสัมภาระเข้าห้องกันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงมาพร้อมกันรับประทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารในโรงแรม จัดเป็นแบบบุฟเฟต์ คณะของไกด์ก็แนะนำตัวว่าใครเป็นใครจะบริการประจำรถคันไหน รวมทั้งแนะนำไกด์ท้องถิ่นที่มาช่วยประสานงานอีก 2 คน คือ ศิวนารถ ประจำรถคันที่ 1 และ สัญชัย ประจำรถคันที่ 2 พร้อมทั้งมีไกด์สาวไทยมาเพิ่มอีก 1 คน คือน้องตุ๊ก พร้อมทั้งมีการแนะนำการปฏิบัติตัวในเรื่องการรับประทานอาหารรวมทั้งน้ำดื่มที่ห้ามไม่ให้ไปซื้อทานเอง ทุกอย่างขอให้อยู่ในความดูเลของคณะไกด์เท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาเรื่องท้องเสียนั่นเอง และเวลาเดินไปไหนมาไหนที่นี่ จะต้องมองที่เท้าตัวเองเป็นหลัก เนื่องจากประเทศอินเดียนั้นระบบสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมจัดอยู่ในฐานะต่ำกว่ามาตรฐานมาก ๆ ดังนั้นตามท้องถนนหนทางจะได้พบกับขยะสิ่งสกปรก ขี้วัว-ควาย-แพะ หรือแม้แต่ของมนุษย์เอง นอกจากนี้มีการเตือนว่าห้ามให้เงินหรือสิ่งของกับขอทานที่ได้พบเห็นตามทางที่จะไปอย่างเด็ดขาด ทางคณะไกด์จะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้นหากท่านทั้งหลายไม่ปฏิบัติตามที่ได้กล่าวมาแล้ว…. ฟังแล้วน่ากลัวจัง ……


อินเดีย..เมืองใช้หัว


อาหารมื้อแรกที่อินเดีย ก็มีทั้งอาหารไทย น้ำพริกที่นำมาจากเมืองไทย และอาหารอินเดียที่หน้าตาน่าทานฝีมือโรงแรมรังสรรไว้ต้อนรับอย่างดี ฉันเองทานอาหารไทยเป็นหลัก เพราะยังเกรง ๆหน้าตาและกลิ่นของอาหารอินเดียอยู่ เครื่องดื่มที่แนะนำคือ น้ำชา ที่นำไปต้มกับนมแพะผสมเครื่องเทศ ได้แก่ ข่า และ กานพลู เรียกว่า กลัมจาย หรือจาย ที่แปลว่าชา นั่นเอง ซึ่ง เจ้าจาย นี้ เป็นที่ชื่นชอบของพรรคพวกหลาย ๆ คน โดยเฉพาะ นก และแป๋ว รวมทั้งหนูด้วย ตัวฉันได้ทดลองชิมไปหน่อย รู้สึกไม่ชอบ เนื่องจากมีนมผสมอยู่ ก็เลยบายเสียตั้งแต่วันแรกไปเลย ได้ลองชิมโรตีของแขกแท้ ๆ จึงได้รู้ว่า อันโรตีนั้นมีด้วยกัน 3 อย่างคือ จาปาตี เป็นแป้งโรตีหนาประมาณ 1 ซ.ม เวลาทำจะต้องนำแป้งจาปาตีไปผิงกับเตาถ่านโบราณ โดยเตานี้จะมีลักษณะเหมือนถังสี่เหลี่ยมลึก ตัวถ่านจะอยู่รอบนอกของถัง เวลาจะทำให้จาปาตีสุก ก็เอาแป้งจาปาตีนั้นไปผิงหรือแปะติดไว้กับขอบเตาด้านในกลับไปมาสักสองครั้งก็เป็นอันเสร็จ นำมาทานกับแกงต่าง ๆ เช่นแกงถั่ว สารพัดถั่ว หรือแกงกะหรี่ แกงไก่ ฯลฯ ชนิดที่2 เรียกว่า ปูลี ลักษณะเป็นแป้งแผ่นกลมเล็กประมาณฝ่ามือ บาง ๆ ทอดกรอบ คล้าย ๆ โรตีใส่นมบ้านเราแต่บางกว่าและชิ้นเล็กกว่า ส่วนชนิดที่ 3 เรียกว่า นาน เป็นแผ่นแป้งคล้าย ๆ ปูลี แต่ใหญ่กว่าหนากว่าเล็กน้อย ทอดเนยมันแผล็บ โรตีทั้งสามอย่างนี้ พออยู่ไปหลาย ๆ วัน ก็เห็นว่าสามารถทานได้กับทุกอย่างไม่จำเป็นว่าเป็นแกงพิเศษแต่อย่างใด บางทีก็เห็นเขาทานกับเนยเปล่า ๆ ก็มี อันนี้คงจะอยู่ที่ว่าใครชอบแบบไหนเสียมากกว่า ส่วนของหวานที่นี่ก็คือ ไอสครีมนมแพะ ที่แสนจะอร่อยถูกปากบรรดาพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย รวมทั้งลูก ๆ กุมารของฉันด้วย ตลอดการเดินทางจึงร้องขอทานไอสครีมปิดท้ายรายการอาหารทุกมื้อ นอกจากนี้ก็มีผลไม้ที่เห็นกันอยู่ดาษดื่น ได้แก่ ส้ม ลูกใหญ่กว่าส้มเขียวหวานบ้านเราหน่อย สีเหลืองอ่อน ๆ ไม่ทองจัด เปลือกหนาแต่ไม่ถึงกับหนาเหมือนส้มจุกบ้านเรา รสชาดคล้ายส้มบางมดผสมส้มเช้งปนส้มจุกที่บ้านเรา ก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง แล้วก็มีองุ่นไร้เม็ดลูกไม่ใหญ่เท่าไรนักแต่ว่ารสชาดอร่อยสุด ๆ นัยว่าราคาถูกมาก สุดท้ายฉันจึงได้รู้ว่าถูกจริงอย่างที่เขาว่า กก.ละ 35-40 บาทเท่านั้น บ้านเราแพงมาก กก.ละ2-300 นอกจากนี้ก็มีกล้วย ลักษณะลูกเรียว ๆ ยาวกว่ากล้วยน้ำว้าบ้านเราหน่อย เมื่อลองทานดูแล้วรสชาดแปลก ๆ คล้าย ๆ กล้วยหอมผสมกล้วยไข่ปนกล้วยน้ำว้า เนื้อไม่เหนียวเหมือนกล้วยบ้านเรา ออกจะร่วน ๆ ปุย ๆ หน่อย และยังมีทับทิมลูกใหญ่เบ้อเริ่ม เม็ดข้างในแน่นเอียด สีแดงเข้มจัด น้ำเยอะ รสชาดหวานหอมอร่อยชุ่มคอดีจริง ๆ ถึงขนาดแป๋วเอ่ยปากว่า ถ้าฉันมีเม็ดทับทิมซึ่งหมายถึงทับทิมที่เป็นอัญมณีจริง ๆ สักลูกขนาดและสีเท่าลูกทับทิมที่พวกเรากำลังทานกันอยู่คงจะดีไม่น้อย พวกเราก็เลยหัวเราะกับความช่างคิดของหล่อนกันใหญ่ ที่นี่ไม่มีน้ำแข็งทาน ฉันเอากระติกน้ำแข็งลงมาขอน้ำแข็งที่ห้องอาหาร ทั้งไกด์และเด็กบริกร พากันหัวเราะฉันกันใหญ่ ก็เลยหน้าแตกหมอไม่รับเย็บไปหนึ่งเพลา

เมื่อทานอาหารกันเสร็จแล้ว ก็พากันไปขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าสู่บริเวณมณฑลต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยมีท่านพระมหาภุชงค์เป็นผู้นำพาไป


พระมหาเจดีย์พุทธคยา



พระแท่นวัชระอาสน์


เท้าก้าวแรกที่เหยียบลงบนแผ่นดินบริเวณทางเข้าปริมณฑลฯ นั้น ได้พบเห็นบรรดาเด็กทั้งที่พิการและไม่พิการหรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เหม็นสาบสางผิดมนุษย์ ต่างกรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเพื่อขอทานเศษเงิน ภาพเหล่านั้นทำให้ฉันไม่สามารถก้าวเท้าเดินต่อไปได้ ต้องหยุดตั้งสติครู่หนึ่งก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาหนีพวกเขาไปให้เร็วที่สุด เดินไปก็รู้สึกสังเวชหดหู่ใจยิ่งนัก ไม่เคยคิดว่าแบบนี้จะมีอยู่ในโลกใบนี้ มันอึ้งเสียจนคิดหรือพูดอะไรไม่ออกจริง ๆ ความคิดมีแต่เพียงสมเพชเวทนาสงสารจับใจ อยากหยิบยื่นเงินหรือสิ่งของให้ แต่ก็ไม่กล้าทำเพราะยังจำได้ดีถึงคำเตือนของไกด์และใคร ๆ ตั้งแต่ก้าวแรกของการมาอินเดียแล้ว เมื่อถึงประตูทางเข้าปริมณฑล พวกเราต้องไปถอดรองเท้าฝากไว้ยังที่จัดฝากรองเท้าหน้าประตูทางเข้า นัยว่าต้องเสียค่าบริการด้วย แต่ทั้งหมดทางไกด์จะเป็นผู้จัดการให้พวกเราเอง


ขอทานที่ดักรออยู่หน้าปริมณฑล


ท่านพระมหาภุชงค์ ได้พาคณะของเราเข้าไปบริเวณปริมณฑล สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งถือเป็นการสักการะแทบพระบาทพระศาสดา ถวายเป็นพุทธบูชา ณ โพธิ์บัลลังก์พระแท่นวัชระอาสน์ ภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ ทำประทักษิณรอบองค์พระมหาเจดีย์เวียนเป็นทักษิณาวรรต 3 รอบ เมื่อเสร็จแล้วได้มานั่งรวมกันด้านหลังต้นโพธิ์ เจริญจิตภาวนาด้วยการสวดมนต์ร่วมกันและทำสมาธิ จนได้เวลาปิดสถานที่คือ 21.00น. จึงได้เห็นเจ้าพนักงานผู้ดูแลปริมณฑลฯ เดินเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่าหมดเวลาแล้ว ต้องรีบกลับออกไปโดยเร็ว พวกเราก็ทยอยกันเดินไปขึ้นรถกลับสู่โรงแรม

คืนนี้เป็นคืนแรกที่มานอนในประเทศอินเดีย รู้สึกว่านอนไม่ค่อยหลับ นึกขึ้นได้ว่าต้องตั้งจิตรับศีลห้าเสียก่อน จึงได้นอนหลับได้...

โปรดติดตามตอนต่อไป...........






Create Date : 20 พฤษภาคม 2551
Last Update : 14 สิงหาคม 2558 21:19:14 น. 0 comments
Counter : 1443 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรหมญาณี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [?]








Prommayanee Tansukchai




ส่งอีเมล์ถึงป้า
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
20 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add พรหมญาณี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.