INDIA 2009 ตอนที่ 6/1...วัดไทยกุสินาราฯ - สาลวโนทยาน
วันที่ห้าของการเดินทาง 9 ก.พ. 2552/1 วันมาฆะบูชา
ตี 5 รวมตัวกันที่หน้าพระมหาเจดีย์ วันนี้เป็นวันมาฆะบูชา ประเพณีที่วัดไทยกุสินาราฯ ปฏิบัติเสมอมาคือ เช้าวันนี้จะต้องเปิดองค์พระมหาเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และ เส้นพระเกศาของพระเจ้าอยู่หัว ฯ เมื่อครั้งทรงผนวช ให้พุทธศาสนิกชนที่มาแสวงบุญได้ชม และน้อมถวายเครื่องสักการะบูชาพร้อมกัน เป็นที่น่าเสียดายที่วัดฯ ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพพระบรมสารีริกธาตุและเส้นพระเกศา ฯ ที่งดงามมาก มากกว่าที่เคยเห็นจากที่ใดมา ทุกวันนี้ยังตราตรึงอยู่ในจิตของปอ ป้า ไม่มีวันจางหาย....
พระมหาเจดีย์ นามว่า " พระมหาธาตุ เฉลิมราชย์ศรัทธา "
ภายในบริเวณฐานพระมหาเจดีย์ ฯ
เครื่องสักการะบูชา
ผ้าไตรจำนวนมากที่น้อมนำถวาย
พระพุทธปรินิพพานจำลองมากมายวางอยู่ด้านหนึ่งของพระมหาเจดีย์
อาหารเช้า ของพวกเรา มีแค่นี้..แต่...อาหย่อยมากหลาย..อิ อิ
เสร็จภารกิจแรกที่วัดแล้ว คณะของเราก็เดินทางออกจากวัด มุ่งหน้าสู่สาลวโนทยาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าใดนัก ขับรถแค่ต้นถนนสู่ปลายถนนเท่านั้น เมื่อเดินทางถึงก็ตรงเข้าไปยังพุทธวิหารปรินิพพาน อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ปางปรินิพพาน ดวงตาหรี่เกือบปิดสนิท สีหน้าแสดงความหมดกังวลทุกอย่าง บนฐานที่มีความยาว 23 ฟุต 9 นิ้ว กว้าง 5 ฟุต 6 นิ้ว ส่วนองค์พระยาว 10 ฟุต สูง 2 ฟุต 1 นิ้ว
พุทธวิหารปรินิพพาน มองเห็นพระสถูปอยู่ด้านหลัง
พระพุทธปรินิพพาน ประดิษฐานอยู่ภายในพุทธวิหารปรินิพพาน
ชาวพม่า แสดงความเคารพสูงสุด ด้วยการกราบพร้อมกับเอาศีรษะจรดพระพุทธรูป
ส่วนคนนี้..กราบไหว้ตามแบบลัทธิของเขา กว่าจะไหว้รอบวิหาร...ท่าจะเหนื่อยเอาการ
มีผู้มีศรัทธานำผ้าจีวรสีทองเหลืองอร่ามมาถวายมิได้ขาด พุทธประติมากรรมแกะสลักจากหินจุณศิลาก้อนเดียว จากเมืองชูนาร์ ( Chunar ) ใกล้กับเมืองพาราณสี ที่ฐานเป็นรูปปั้นของปัจฉิมสาวก พระอรหันต์องค์สุดท้ายที่ทันเห็นพระพุทธองค์ ถัดไปเป็นพระอนุรุทธะผู้เข้าสมาบัติ ตามดูพระพุทธองค์จนเข้าสู่ปรินิพพาน ถัดมาเป็นรูปพระอานนท์กำลังโศกเศร้า คณะของเราได้ร่วมกันถวายผ้าครอง แล้วสวดมนต์ ปฏิบัติภาวนาถวายเป็นพุทธบูชา และพิจารณาเพื่อความสังเวชในความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสรรพสิ่งในโลก ไม่เว้นแม้แต่องค์พระบรมศาสดา...
ฐานสี่เหลี่ยมก่ออิฐนี้อยู่ด้านหลังพุทธวิหาร สร้างไวเพื่อแสดงว่า ณ.ที่นี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพของพระพุทธองค์ ก่อนที่จะแห่ไปถวายพระเพลิงที่มกุฏพันธนเจดีย์
จากนั้นพากันเดินไปยังพระสถูปที่อยู่ด้านหลังวิหาร ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จมายังสถานที่ปรินิพพานนี้ ได้บริจาคพระราชทรัพย์หนึ่งแสนรูปี โดยโปรดให้สร้างขึ้นภายใต้ต้นสาละทั้งคู่ เมื่อวันเพ็ญวิสาขบูชา โดยสร้างคร่อมแท่นปรินิพพาน พร้อมด้วยต้นสาละนั่นเอง มีลักษณะทรงบาตรคว่ำ สูงราว 70 ฟุต บนยอดมีฉัตร 3 ชั้น สถูปปรินิพพานเก่าแก่โบราณนี้ มีการบูรณะกันหลายสมัย ด้วยศรัทธาที่มาก จึงทำให้สถูปนี้สูงใหญ่ขึ้นกว่าของเดิม ณ ที่สถูปนี้ คณะของเราได้สวดมนต์และเดินเวียนประทักษิณ 3 รอบ แล้วจึงเดินทางกลับวัดไทยกุสินาราฯ เพื่อร่วมกันถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ และรับประทานอาหารเที่ยงที่แสนจะอร่อยที่วัดนั้นเอง
ซุ้มที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ นั้น คือ สถานที่ที่พระอานนท์ไปร้องไห้เสียใจในการจากไปของพระพุทธองค์
ช่วงบ่ายได้ร่วมกันทำพิธีเปิดหอพระไตรปิฏกแห่งแรกในอินเดีย ซึ่งทางคณะของคุณพัชรา หวังว่องวิทย์ ผู้จัดการภาคอาวุโสเครือนำทอง บริษัท เอไอเอ ผู้เป็นหัวหน้าทัวร์ในครั้งนี้ ได้เป็นเจ้าภาพจัดสร้างถวายแด่วัดไทยกุสินาราฯ แต่เนื่องจากกำหนดการที่จะสร้างเสร็จเป็นเวลาที่คณะไม่สามารถเดินทางมาทำพิธีเปิดได้ ทางวัดฯ จึงได้ทำพิธีเปิดล่วงหน้าในวันนี้
หอไตรที่สร้างใกล้จะเสร็จแล้ว
พิธีเปิด
เสร็จพิธีเปิดหอไตรฯ แล้ว ก็แวะเยี่ยมกุสินาราฯ คลินิกที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนสภาพเป็นสำนักงานคลินิกเคลื่อนที่ เนื่องจากโรงพยาบาลได้เปิดบริการเป็นทางการแล้วนั่นเอง จากนั้นพากันเดินออกประตูด้านข้างวัด ข้ามถนนเข้าสู่โรงพยาบาลกุสินาราฯ ที่เมื่อครั้งที่แล้ว ปอ ป้า ได้มาร่วมพิธีวางก้อนอิฐเพื่อเริ่มการก่อสร้าง ซึ่งที่โรงพยาบาลนี้สร้างขึ้นเพื่อทดแทนกุสินาราฯ คลินิกที่ไม่อาจรองรับผู้ป่วยจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นทุกวันได้ โดยคุณพัชราและคณะ ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการถวายปัจจัยเพื่อการก่อสร้างด้วยเช่นกัน ณ วันนี้ อาคารใหญ่ของโรงพยาบาลสร้างเสร็จและเปิดให้บริการแก่ประชาชนแล้ว ด้านหลังกำลังก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม และวันนี้คณะของพวกเราได้ร่วมกันแจกทานผ้าห่ม ข้าวสารและเกลือ แก่ผู้ยากไร้จำนวนมาก เสร็จแล้วก็พากันไปขึ้นรถตรงไปยังมกุฏพันธนเจดีย์
ภายในโรงพยาบาล กำลังก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม
ผ้าห่มและสิ่งของที่จะแจกทาน ด้านหลังเป็นอาคารหลักของโรงพยาบาล ซึ่งปอ ป้า ได้มาวางศิลาฤกษ์เมื่อปี 2005 ตอนนี้เปิดใช้งานมาระยะหนึ่งแล้ว
บรรดาผู้ยากไร้ที่มารอรับการแจกทาน
ส่วนพวกที่อยู่ข้างนอกนี้ ก็อยากได้รับแจกบ้าง ถ้าคุณมาอินเดีย จะเห็นว่าคุณมีเท่าไรก็ไม่พอแจก ผู้ยากไร้มากมายจริง ๆ
และก็ได้เวลาแจก.... ที่เห็นเป็นระเบียบอย่างนี้ เพราะมีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและของวัด คอยกำกับอย่างเข้มงวด ไม่เช่นนั้น จะเกิดการจราจลย่อย ๆ ผู้แจกต้องกระอักตายเป็นแน่แท้
ยิ้มของผู้ยากไร้ ยามที่ได้รับการเหลียวแลจากผู้ใจบุญทั้งหลาย
คนนี้น่าสงสารมาก เพราะเดินแทบจะไม่ไหว
และแล้ว..การแจกทาน ก็เสร็จสมอารมณ์หมายทั้งผู้ให้และผู้รับ
มกุฏพันธนเจดีย์ ( The Cremation Stup-Ramabhar ) ที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ซึ่งมีชื่อท้องถิ่นว่า รามภาร์-กา-ดีลา ( Rambhar-ka-tila ) อันเป็นที่ประกอบพิธีอภิเษกในการเข้ารับตำแหน่งเป็นรัฐบาล มัลลกษัตริย์ได้ยกขึ้นเป็นที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ โดยตั้งเชิงตะกอนขึ้นในบริเวณมกุฏพันธนเจดีย์ เมื่อถวายพระเพลิงแล้วจึงก่อพระสถูปลง ณ ที่วถายพระเพลิงนั้นท่ามกลางทาง 4 แพร่ง สถูปนั้น ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า รามาภาร์
มกุฏพันธนเจดีย์
ในพระพุทธประวัติกล่าวว่า เมื่อได้ทำการสักการบูชาพระบรมศพครบ 7 วัน มัลลกษัตริย์ก็เตรียมการอัญเชิญพระพุทธสรีระไปถวายพระเพลิง ตอนแรกคิดจถชะลอพระพุทธสรีระไปทางทิศใต้ แล้วถวายพระเพลิงนอกเมือง แต่เมื่อมัลลปาโมกข์เข้าไปจะยกพระพุทธสรีระก็เกิดอัศจรรย์ยกไม่ขึ้น พระอนุรุทธะจึงชี้แจงว่า ความประสงค์ของมัลลกษัตริย์ไม่ตรงความประสงค์ของเทพยดาเจ้า เทพยดาประสงค์จะให้นำขบวนพระพุทธสรีระไปทางทิศเหนือเข้าสู่ตัวเมืองกุสินารา แล้วผ่านกลางเมือง ไปออกประตูเมืองด้านตะวันออก ตรงไปยังมกุฏพันธนเจดีย์ แล้วถวายพระเพลิงที่นั่น
บริเวณรอบ ๆ พระพุทธวิหาร สาลวโนทยาน
มัลลกษัตริย์ทราบความประสงค์ของเทพยดาเช่นนั้น จึงตกลงแห่พระพุทธสรีระไปตามเส้นทางที่กล่าวจนถึงมกุฏพันธนเจดีย์ จึงอัญเชิญพระพุทธสรีระขึ้นสู่เชิงตะกอนไม้แก่นจันทร์สูงถึง 120 ศอก แล้วก็จุดเพลิง แต่เกิดอัศจรรย์อีก คือ ไฟไม่ติด ทำอย่างไรก็ไม่ติด มัลลกษัตริย์จึงรับสั่งถามพระอนุรุทธะว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น พระอนุรุทธะทูลชี้แจงว่า เทพยดาเจ้ายังคอยพระมหากัสสปะ สาวกผู้ใหญ่ก่อน ขณะที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน พระมหากัสสปะอยู่ในป่าใกล้เมืองปาวา เมื่อทราบข่าวการปรินิพพาน ก็รีบเดินทางมายังมกุฏพันธนเจดีย์ กระทำประทักษิณาวัตรพระพุทธสรีระ 3 รอบ แล้วเข้าไปกราบพระบาท ขอประทานอภัยโทษในทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจล่วงเกินไว้ ทันทีนั้นไฟก็ลุกขึ้นที่เชิงตะกอนด้วยอานุภาพแห่งเทพยดาเหล่านั้น
ครอบครัวใหญ่ มาสักการะบูชาพระพุทธปรินิพพาน
เมื่อเพลิงเผาพระพุทธสรีระมอดลงเหลือแต่พระบรมธาตุ มัลลกษัตริย์จึงเก็บพระบรมธาตุใส่พระโกศ นำไปบูชาที่สันฐคารอีก 7 วัน ระยะนั้นบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนา ต่างกรีฑาทัพยกมาประชิดเมืองกุสินารา ขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อนำไปบูชา เกือบจะต้องฆ่ากันเป็นการใหญ่ เคราะห์ดีที่ได้โทณพราหมณ์ไกล่เกลี่ยให้ปรองดองกันเสียทัน จึงต่างเมืองต่างกลับไปด้วยความชื่นชมยินดี และมีการสมโภชพระบรมสารีริกธาตุที่ได้ไปเป็นการใหญ่
มกุฏพันธนเจดีย์ ตั้งอยู่บนเนินสูงประมาณ 50 ฟุต ได้ทำการตกแต่งเมื่อ พ.ศ. 2453 2455 นี่เอง เพราะมีพวกแสวงโชคมาขุดหาสมบัติโบราณ ขุดเจาะลงไปเป็นช่องจนถึงก้นสถูป จนสถูปใหญ่พังลงมา มองระยะไกล ๆ คล้ายกับภูเขาลูกหนึ่งทีเดียว ที่พื้นดินมีสีเหลืองปนดำ บางแห่งเป็นดินดำร่วนเหมือนกับถ่านไฟ ได้บูรณะครั้งใหญ่เมื่อฉลองพุทธชยันตี 25 พุทธศตวรรษ เนื่องด้วยสถูปเป็นเนินดิน ก่อก้อนอิฐหุ้มไว้ เมื่อถูกฝนหนักเข้าก็จะทรุดและพังลง จึงมีการบูรณะอีกเมื่อปลายปี 2542 นี่เอง
ท่านดอกเตอร์พระมหาคมสรณ์ เจ้าอาวาสวัดไทยกุสินาราฯ
ในเรื่องของพระพุทธสารีริกธาตุนั้น พระบรมศาสดาได้ทรงดำริไว้ว่า ตถาคตมีพระชนมายุน้อย ประกาศพระศาสนาอยู่ได้ไม่นานก็จะปรินิพพาน พระศาสนายังไม่แผ่ไพศาลไปยังนานาประเทศ จึงทรงอธิษฐานว่า เมื่อตถาคตปรินิพพาน และทำการถวายพระเพลิงแล้ว พระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายจะแตกกระจายออกเป็น 3 สันธาน คือ ขนาดโตเท่าเมล็ดถั่ว ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสาร และขนาดเล็กเท่าเมล็ดผักกาด เพื่อว่ามหาชนในนานาประเทศ จะได้อัญเชิญไปนมัสการทำการสักการบูชา เข้าถึงมหากุศล อำนวยผลให้บังเกิดในสุคติภพต่อไป ด้วยอานุภาพแห่งพุทธาธิษฐานทำให้เพลิงมิไหม้สิ่งเหล่านี้ คือ
1.ผ้าขาวที่หุ้มห่อพระสรีระชั้นในสุดและนอกสุด 2.พระเขี้ยวแก้ว 4 เขี้ยว 3.พระรากขวัญ ( กระดูกไหปลาร้าทั้งสองข้าง ) 4.พระอุณหิส ( กระดูกหน้าผาก )
สองเกลอสีตัดกัน เที่ยววิ่งเล่นอย่างสนุกสนานภายในสาลวโนทยาน
นี่เป็นครั้งสองที่ปอ ป้า ได้มาเยือนมกุฏพันธนเจดีย์แห่งนี้ มาทีไรก็ให้เกิดความรู้สึกเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้หวลนึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ซึ่งได้แจ้งแก่ใจแล้วว่า หันททานิ ภิกขเว อามันตยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอพูดกับเธอทั้งหลายว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากปัจจัยปรุงประกอบขึ้น ล้วนมีอันจะต้องเสื่อมสลายไป เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ....
คณะของเราได้สวดมนต์และเจริญสมาธิภาวนาเป็นพุทธบูชา พร้อมทั้งเดินเวียนประทักษิณาวรรต 3 รอบ จนได้เวลาใกล้เพล จึงได้น้อมจิตกราบลาสังเวชนียสถานแห่งนี้ เดินทางกลับสู่วัดไทยกุสินาราฯ เพื่อเตรียมตัวเวียนเทียนวันมาฆะบูชากันต่อไป
ฝากรูปดอกไม้สวยที่วัดไทยกุสินาราฯ ไว้เป็นการจากลาสำหรับตอนนี้..นะคะ
สวัสดีค่ะ
ดอกป๊อปปี้ แดงได้ใจ
| | | |
ขอขอบคุณ..นู๋ดาวจ๋า และ คุณวันชนะ.. ที่ให้ความกรุณาสละเวลาอันมีค่า ช่วยทำบีจีสวย ๆ รวมทั้งนำโค๊ดเพลงไพเราะ มาฝากอีกมากมาย ขอบคุณด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง...ค่ะ
และ..ขอบคุณกรอบสวยจากบ้านคุณแมว maew_kk ด้วย..ค่ะ
| | | | |
Create Date : 18 เมษายน 2552 |
|
67 comments |
Last Update : 14 สิงหาคม 2558 23:00:47 น. |
Counter : 3964 Pageviews. |
|
|
|
> > .............ดาวจ๋า.......ดาวจ๋า...................ดาวจ๋า..........ดาวจ๋า
> > .........ดาวจ๋า.............ดาวจ๋า................ดาวจ๋า...............ดาวจ๋า
> > .....ดาวจ๋า...................ดาวจ๋า.............ดาวจ๋า...................ดาวจ๋า
> > ...ดาวจ๋า........................ดาวจ๋า........ดาวจ๋า......................ดาวจ๋า
> > ..ดาวจ๋า.............................ดาวจ๋าดาวจ๋า...........................ดาวจ๋า
> > .ดาวจ๋า.................................ดาวจ๋า.................................ดาวจ๋า
> > .ดาวจ๋า...........................................................................ดาวจ๋า
> > ..ดาวจ๋า.........................................................................ดาวจ๋า
> > ....ดาวจ๋า......................................................................ดาวจ๋า
> > .....ดาวจ๋า...................................................................ดาวจ๋า
> > ......ดาวจ๋า...........................ขอเจิมค่ะ.....................ดาวจ๋า
> > ...........ดาวจ๋า.......................................................ดาวจ๋า
> > ................ดาวจ๋า...............................................ดาวจ๋า
> > ....................ดาวจ๋า......................................ดาวจ๋า
> > .........................ดาวจ๋า..............................ดาวจ๋า
> > ..............................ดาวจ๋า.....................ดาวจ๋า
> > ....................................ดาวจ๋า............ดาวจ๋า
> > ........................................ดาวจ๋า.....ดาวจ๋า
> > ...............................................ดาวจ๋า