INDIA 2009 ตอนที่ 4/2...วัดเวฬุวนาราม - ตโปทานที - ม.นาลันทา
วันที่สามของการเดินทาง 7 ก.พ. 2552/2
เริ่มต้นด้วยการตอบปัญหาที่ถามไว้เมื่อตอนที่แล้วก่อน..นะคะ ปอ ป้าถามไว้ว่า สิ่งที่ชาวบ้านคนนี้นำมาขายรวมกับสมุนไพรป่า ซึ่งเขาถืออยู่ในมือขวาเป็นอย่างเดียวกับที่วางกองอยู่ข้างหน้าเขานั้น .....คืออะไร ??.....
คราวนี้มีคนตอบถูกกันหลายคน ทั้ง พี่แอ๊ คุณจิ๋ม-busabap คุณพ่อหมูอ้วน..เอ๊ย..คุณพ่อหมูน้อย..อิ อิ...อ่ะ เราไปเที่ยวกันต่อดีกว่า...ค่ะ เสร็จสิ้นจากการตะกายลงจากเขาคิฌชกูฏแล้ว จุดหมายต่อไปของคณะเราก็คือ วัดเวฬุวนาราม
เวฬุ วนาราม ขานไข วัดแรกใน พระพุทธ ศาสนา พระเจ้าพิม พิสาร ทรงศรัทธา พะศาสดา รับไว้ เป็นอาราม
วัดเวฬุวนาราม วัดแรกในพระพุทธศาสนา เดิมเป็นอุทยานสวนไม้ไผ่นานาชนิดของพระเจ้าพิมพิสาร ที่ประทานให้ ส่วนที่เรียกว่า กลันทกนิวาปะ คือ เป็นที่ให้เหยื่อกระรอก กระแต อีกส่วนหนึ่งเรียกว่า โมรนิวาปะ คือเป็นที่ให้เหยื่อนกยูง พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายส่วนที่เป็นกลันทกนิวาปะ ให้เป็นอารามแด่พระพุทธเจ้าและสาวก ส่วนที่เป็นโมรนิวาปะ ได้ทรงอนุญาตให้เป็นที่พักของปริพาชก ซึ่งเป็นนักบวชพวกหนึ่ง ซึ่งแสดงว่า พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นศาสนูปถัมภ์ของทุกลัทธิ ถึงแม้มิได้นับถือ แต่ก็ไม่ทรงเบียดเบียน
สวนไผ่ที่มีต้นไผ่ทั้งสูงทั้งกอใหญ่
เวฬุวนาราม หรือ วัดป่าไผ่ อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำสรัสวดี มีตะโปธารสายน้ำร้อนคั่นอยู่ระหว่าง พระพุทธองค์ประทับอยู่นานในพรรษาที่ 2 3 4 ได้ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้อัครสาวกทั้ง 2 คือ พระโมคคัลลานะ กับ พระสารีบุตร เป็นที่แสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอริยสาวก 1,250 องค์ ในวันจาตุรงคสันนิบาต เพ็ญเดือน 3 ทรงแต่งตั้งพระทัพพมัลลบุตร ให้เป็นพระภัตตุเทสกะ และเสนาสนเทสกะ แก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษา ณ พระอารามเวฬุวันนี้ และ ณ ที่นี้เช่นกัน มีซากสถูป ปรากฏอยู่ 2 แห่ง คือ สถูปที่พระพุทธองค์ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของพระโมคคัลลานะ กับ พระอัญญาโกณฑัญญะ
ซุ้มเล็ก ๆ ที่สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ณ ที่แห่งนี้
ภายในซุ้มมีพระพุทธรูปอันเป็นองค์แทนแห่งองค์พระศาสดา
มะลิวัลย์ อยู่สองข้างทางเดินเข้าซุ้ม
ตโปทา นที มีเรื่องเล่า ว่าขุนเขา เวภา รบรรพต สายน้ำอุ่น ไหลมา มิเลี้ยวลด พระสุคต เคยเสด็จ แสดงธรรม
ตโปทานที ในสมัยพุทธกาล ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วชมพูทวีป ว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีสายน้ำอุ่นจากเขาเวภารบรรพต สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ จึงมีชาวเมืองใกล้ไกลแวะเวียนพากันมาอาบน้ำไม่ขาดสาย เพราะถือว่าเมื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่ประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก เมื่อฟังพระธรรมได้โอสถรักษาใจแล้ว ก็มาอาบน้ำเป็นเภสัชรักษากายด้วย
ตโปทานทีในวันนี้ เป็นที่บูชาของชาวฮินดูไปแล้ว พวกพราหมณ์ยังแบ่งชั้นให้ผู้มาอาบน้ำตามวรรณะอีกด้วย ใครที่กำหนดว่าวรรณะชั้นต่ำ ก็ต้องอาบน้ำที่เขาอาบกันมาแล้ว แม้ว่าน้ำจะขุ่นขลักเป็นสีโกโก้แล้วก็ตาม ส่วนวรรณะที่สูงขึ้นไป สีของน้ำก็ดูดีขึ้น น้ำพุร้อนแห่งนี้ มีนักวิทยาศาสตร์นำไปวิจัย พบแร่กำมะถัน เหล็ก ทองแดง และ เรเดี่ยมปนอยู่ในน้ำ จึงเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่าง
ชั้นนี้สำหรับคนวรรณะกลางสูง โปรดสังเกตสีผิว..ขาว...
ชั้นนี้ เป็นที่จับจองของคนวรรณะกลางล่าง ผิวคล้ำลงหน่อย สีของน้ำก็คล้ำตามไปด้วย...อิ อิ
ชั้นนี้ สำหรับคนวรรณะต่ำสุด ดำทั้งผิวคนและน้ำที่อาบ
ในปัจจุบัน กว่าจะเดินขึ้นไปถึงที่ไหลมาของน้ำอุ่น ก็ต้องผ่านด่านลูกหลานชูชก ทั้งนั่งขอ เดินขอ หรือแม้แต่นอนขอก็ยังมี หลาย ๆ คนยอมแพ้ต้องเผ่นหนีกลับก่อน เพราะวิธีการขอของขอทานที่นี่น่ากลัวชนิดถึงเนื้อถึงตัวทีเดียว ครั้งแรกคุณไกด์ก็หวังดีผสมด้วยความเป็นห่วงว่าอย่าไปเลยนะ ไกด์ผู้หญิงยังไม่กล้าลงไป ต้องส่งไกด์แมน ๆ ไปแทน และด้วยความที่ปอ ป้า เห็นว่าพระวิทยากรท่านเดินนำไปก่อนแล้ว ก็คว้ากล้องถ่ายรูปวิ่งโกยตามหลังท่านไปติด ๆ เพราะอยากเห็น อยากเก็บภาพมาฝากเพื่อน ๆ ได้ดูกัน แต่สุดท้ายก็ไม่วายโดนสายพันธุ์ชูชกต้อนซะ หลงทางกับท่านไปเลย ฝ่าฟันไปได้แค่ 2 ชั้น เฮ้อ...เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดซะแหล่วววว....อุตส่าห์ลงไปเสี่ยงชีวิต ได้ภาพกลับมาแค่ 3 ภาพ เท่านั้น กว่าจะถ่ายได้แต่ละภาพ ต้องเดินหนีและถ่ายภาพไปด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะบรรดาขอทานทั้งหลายพยายามดึงแขน แอนด์ สะกิด ปอ ป้าอยู่ตลอดเวลา..ขากลับต้องใช้วิชาวิ่งเร็ว..ปรู๊ด.เดียว...ขึ้นรถต้องร้องเรียกน้องนก ให้นำผ้าเปียกมาบริการเช็ดถู..เช็ดถู..ทุกอวัยวะที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมา อะจึ๊ยยย....บรรยายไม่ถูก..สุด สุด...
ส้วมสาธารณะ...น่าใช้บริการมั้ยคะ...อิ อิ
จุดหมายต่อไปของเรา คือ การไปกราบไหว้บูชา หลวงพ่อพระองค์ดำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แกะสลักด้วยหินแกรนิตสีดำ เดิมประดิษฐานอยู่ในมหาวิทยาลัยนาลันทา ต่อมาเมื่อมหาวิทยาลัยถูกเผาทำลาย แต่องค์พระกลับยังคงอยู่อย่างเกือบจะสมบูรณ์ มีเพียงร่องรอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ระว่างทางได้แวะซื้อขนมขาชาอันเลื่องชื่อมาตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล ขนมขาชา ความจริงเขาชื่อ ขนมคาชะ แต่คนไทยเรียกว่า ขนมขาชา จะมีขายอยู่แห่งเดียว คือที่หมู่บ้านสี่เหล่า หรือ สิเลา อยู่ระหว่างกรุงราชคฤห์ กับ นาลันทา
หลวงพ่อพระองค์ดำ
ร้านขายขนม " ขาชา " มีทั้งชนิดหวานและชนิดเค็ม ชิมดูแล้วรสชาดคล้าย ๆ ขนมกรอบเค็มบ้านเรา ..แต่ของเราอร่อยกว่าหลายร้อยเท่า...ส่วนขนมขาชานั้น.. ชนิดหวาน..หวานสุด ๆ ผสมด้วยความเลี่ยนของน้ำมันที่ใช้ทอด ส่วนชนิดเค็ม พอกล้ำกลืนฝืนทนได้สักคำสองคำ...มะไหว..อ่ะ
นาลันทา เดิมคือ สังฆาราม เศรษฐีตาม ถวายแด่ พระพุทธะ ต่อมา ราชวงศ์ คุปตะ บูรณะ ตั้งเป็น มหา'ลัย
มหา'ลัยสงฆ์ แห่งแรก ถือกำเนิด ก่อเกิด สาขาวิชา มากหลาย รุ่งโรจน์ โชติช่วง สุดบรรยาย แต่สุดท้าย ต้องมลาย เพราะคนพาล
เดี๋ยวนี้มี นาลันทา แห่งใหม่ มุ่งสอนให้ เข้าใจ มหายาน ชนทุกชั้น เรียนได้ จนแตกฉาน ต่างประสาน เรียกนว- นาลันทา
นาลันทา เมืองนาลันทาเคยเป็นศูนย์กลางของศาสนาชิน ซึ่งคู่กับเมืองเวสาลีมานาน เดิมชื่อ นาลันทคาม เป็นเมืองเกิดของ 2 พระอรหันต์ คือ พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร นาลันทาเป็นรมณียสถานที่พระพุทธองค์เคยตรัสแสดงธรรมหลายพระสูตร จนท่านเศรษฐีชื่อว่า ทุสสปาวาริกะ ผู้ประกอบอาชีพตัดเสื้อ เกิดศรัทธาเลื่อมใส อุทิศสวนมะม่วงชั้นดี สร้างเป็นวัดถวายพระพุทธองค์เพื่อเป็นที่พำนัก ขณะเสด็จจาริกแสดงธรรมที่นครราชคฤห์ กับ นครเวสาลี อีกด้วย
มหาวิทยาลัยนาลันทา
คุณครู พานักเรียนมาทัศนศึกษา ที่โบราณสถานมหาวิทยาลัยนาลันทา
มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยของโลก ในครั้งพุทธกาล นาลันทามหาวิหารนี้เป็นสวนมะม่วงของทุสสปาวาริกเศรษฐี ได้อุทิศถวายแก่พระพุทธเจ้า ขณะเดียวกันในยุคหลังที่กษัตริย์อินเดียราชวงศ์คุปตะ ทรงเข้ารับอุปถัมภ์ ทำให้เมืองนาลันทาพัฒนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ เป็นหน้าเป็นตาในหมู่นักศึกษา แม้แต่มหาวีระ ศาสดาแห่งศาสนาเชน หรือ ชินะ ผู้เชื่อมั่นในการเปลือยกาย ก็มาเผยแพร่คำสอนที่นี่ด้วยเหมือนกัน ระหว่างศาสนาเชนกับพุุทธนั้น มีหลักคำสอนที่คล้ายคลึงกันมาก คือ การปฏิเสธพระเจ้าด้วยกันทั้งคู่ แต่ศาสดามหาวีระเน้นการไม่เบียดเบียน การสันโดษ จึงเปลือยกาย ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ สาวกของพระพุทธเจ้าเคยปุจฉาธรรมกันหลายครั้ง ปรากฏว่าปัญหาที่สาวกของศาสดามหาวีระยกมาถาม พระพุทธเจ้าทรงตอบได้หมด แต่คำถามที่ศิษย์สาวกของพระพุทธองค์ถามกลับไป พระมหาวีระอึกอักตอบไม่เต็มเสียง มีอาการเหงื่อแตกพลั่ก สาวกของพระมหาวีระจึงละทิ้งแนวทางเดิม หันมานับถือพระพุทธศาสนากันจำนวนมาก ขณะที่ศิษย์พระตถาคตยังมั่นในศรัทธาอยู่เช่นเดิม
ภาพแสดงเรื่องราวการขุดค้นพบมหาวิทยาลัยนาลันทา
คุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลือให้เราได้ศึกษาและชื่นชม
พระวิทยากร บรรยายให้ฟังว่า มหาวิทยาลัยนาลันทา มีอาคารหลักที่มีความสูงถึง 7 ชั้น ในอาคารหลักนี้แบ่งเป็นห้องสอนหนังสือ และห้องนอนของนักศึกษาด้วย ที่มหาวิทยาลัยฯ เปิดสอนหลายวิชา เช่น การแพทย์ พุทธศาสนา สมัยก่อนที่จะมีมหาวิทยาลัยนาลันทา ก็มีสำนักตักศิลา เมื่อมหาวิทยาลัยนาลันล่มสลาย จึงเกิดสถาบันสัมปูระณานัน ขึ้น ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จมาเยี่ยมชมกิจการของสถาบันฯ แล้วเสด็จกลับไปเปิด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กรุงเทพฯ
เดินแถวกันขึ้นไปชมชั้นที่สองของซากอาคารหลัก ซึ่งจัดเป็นส่วนของห้องพักนักศึกษา
ห้องนอนของนักศึกษา ที่เห็นเป็นแท่นสี่เหลี่ยมนั้น คือ เตียงนอน
ซากฐานอาคารต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยฯ
นาลันทามีเงาสัญญาณแห่งความล่มสลายใน พ.ศ. 1172 ( ค.ศ. 629 ) พวกมุสลิมเข้ารุกรานแผ่นดินอินเดีย ขยายพื้นที่ยึดครองชมพูทวีปมาจนถึงนาลันทา ใน พ.ศ. 1766 ( ค.ศ. 1223 ) แม่ทัพใหญ่ชื่อ ภัขติยาร์ ขิลจี คุมทหารม้า 200 เดินทัพมาถึงนาลันทา ขณะนั้นมหาวิทยาลัยฯ ได้ร่วงโรยไปมากแล้ว แต่ยังมีภิกษุสามรเณรศึกษาพักกันอยู่เต็ม พวกมุสลิมเข้ามาถึงก็ประกาศไล่ให้ออกจากสถานที่ ใครไม่ออกก็ถูกฆ่าตาย เป็นการฆ่าอย่างทารุณ คือ เอาขวานฟันสะพายแล่ง หรือฟันคอ มีนักศึกษาหลายคนที่ไม่ยอมหนีออกจากที่พัก มุสลิมจึงใช้วิธีใหม่ โดยเอาเชื้อไฟสุมที่ตรงประตูเข้า แล้วเผากุฏิทั้งหลัง เป็นวิธีคลอกให้ตายในกองไฟ เผาพระภิกษุตายคาผ้าเหลืองไปได้หลายร้อยองค์ จากนั้นก็ลงมือพังกุฏิและสังฆารามทุกแห่ง สำนักศึกษาและที่ประชุมทั้งหมด เทวรูป พุทธรูป และตำราหลายร้อยหลายพันเล่ม ถูกขนออกมาเผา พร้อมทั้งวางเพลิงมหาวิทยาลัยให้มอดไหม้อยู่นานถึง 6 เดือน จึงสิ้นซากเนื่องจากความใหญ่โตของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งมีความกว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ ( 1 โยชน์ = 16 ก.ม. )
เรื่องราวของเมืองนาลันทา และ มหาวิทยาลัยนาลันทา ตั้งแต่ยุคเิริ่มแรกจนล่มสลายและกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งนั้น มีมากมาย หากจะเจาะลึกเข้าไปต้องใช้เวลาอีกนานหลายตอนทีเดียวกว่าจะจบลงได้ แต่ที่จะละเลยกล่าวถึงไม่ได้คือ ณ ที่แห่งนี้เองเป็นสถานทีที่สองสหาย นามว่า อุปติสสะ และ โกลิตะ ได้เข้ามาบวชในพระบวรพุทธศาสนาและได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาของพระพุทธองค์ นั่นคือ พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ นั่นเอง กล่าวคือ พระอุปติสสะ เป็นบุตรของนางสารีพราหมนี ชาวบ้านจึงเรียกว่า พระสารีบุตร ส่วนพระโกลิตะ นั้น เป็นบุตรของนางโมคคัลลีพราหมนี ชาวบ้านจึงเรียกว่า พระโมคคัลานะ และที่เมืองนาัลันทานี้เองที่เป็นทั้งบ้านเกิดและที่ปรินิพพานของพระสารีบุตร
วันนี้ปอ ป้า ขอจบตอนนี้ด้วยภาพต้นคริสมาสต์ยักษ์ที่อยู่ภายในมหาวิทยาลัยนาลันทา
พบกันใหม่ตอนหน้า..นะคะ
Create Date : 08 เมษายน 2552 |
|
87 comments |
Last Update : 15 สิงหาคม 2558 11:50:10 น. |
Counter : 5458 Pageviews. |
|
|
|
ป้าขา ขวัญตามมาหอมแก้มป้า 108 ทีค่ะที่ไปโหวตที่บล็อค
ขอทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาเลยนะคะ
ก็เป็นข้างละ 54 ครั้งค่ะ
รักและคิดถึงสุดหัวใจค่ะ