INDIA 2009 ตอนที่ 5...วัดเวสาลี
วันที่สี่ของการเดินทาง 8 ก.พ. 2552
หมายกำหนดการเดินทางในวันนี้ คือ เดินทางออกจากเมืองปัตนะ ที่เราเข้าพักเมือคืนนี้ สู่เมืองเวสาลี มีระยะทาง 65 ก.ม. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ช.ม. และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่เมืองเวสาลีแล้ว ต้องเดินทางต่อไปยังเมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 ช.ม.
เวสาลี เมืองหลวง แห่งวัชชี ลิจฉวี เรืองอำนาจ เกรียงไกร คราหนึ่ง ประสบเหตุ เภทภัย ภูวนัย กราบทูล พระศาสดา
พระสุคต ทรงตรัส รัตนสูตร กูฏาคาร เกิดด้วย พระเมตตา ภิกษุณี มีขึ้น ในโลกา ปาวา- ลเจดีย์ ที่ปลงสังขาร
ทางเดินเข้าสู่โบราณสถาน วัดเวสาลี
โบราณสถาน วัดเวสาลี
นครเวสาลี เวสาลี คือ เมืองหลวงแห่งอาณาจักรวัชชี 1 ใน 16 แคว้นของชมพูทวีป เรียกกันหลายชื่อ เช่น ไวสาลี ไพสาลี หรือ เวสาลี ก็ได้ ในสมัยพุทธกาลเคยเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเวสาลีครั้งแรกในพรรษาที่ 5 เมื่อเวสาลีประสบทุพภิกขภัย และ ฉาตกภัยร้ายแรง เนื่องจากครั้งนั้น กรุงเวสาลีเกิดฝนแล้ง ข้าวกล้าตายเพราะถูกแดดเผา คนยากจนอดตาย ศพเกลื่อนกลาดทั่วพระนคร อมนุษย์ได้กลิ่นซากศพก็พากันเข้ามาในพระนคร ผู้คนตายเพิ่มขึ้นเพราะความปฏิกูลนั้น โรคระบาดก็เกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งถือได้ว่าเวสาลีถูกภัยทั้ง 3 ประการคือ ทุพภิกขภัย อมนุสสภัย และพยาธิภัยเบียดเบียน
บริเวณวัดเวสาลี มองเห็นเสาพระเจ้าอโศก ตั้งเด่นเป็นสง่า
เหล่าเจ้าลิจฉวีประชุมกัน กล่าวว่า ได้ยินมาว่าพระพุทธแจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ปวงสัตว์ ทรงมีอานุภาพมาก หากพระองค์เสด็จมาโปรด ภัยทุกอย่างก็จะสงบระงับไป จึงส่งเจ้าลิจฉวีชื่อ มหาลิ ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าพิมพิสารโปรดปราน และอำมาตย์ผู้หนึ่ง เดินทางไปขอร้องพระเจ้าพิมพิสารที่กรุงราชคฤห์ ให้กราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จไปกรุงเวสาลี
อีกมุมหนึ่งของเสาพระเจ้าอโศก
พระบรมศาสดาทรงพิจารณาว่า หากได้ตรัสรัตนสูตรในกรุงเวสาลี นอกจากความเดือดร้อนจักสงบลง มหาชนชาววัชชีเมื่อได้ฟังพระสูตรนี้แล้ว จักได้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก จึงทรงรับคำกราบทูลเชิญของพวกเจ้าลิจฉวี ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงวิธีให้โรคร้ายระงับได้แล้ว ชาวเมืองเวสาลีประสงค์สร้างอารามถวาย พระพุทธองค์จึงโปรดให้สร้างพระอารามนอกเมืองเวสาลีในป่ามหาวัน ทางเหนือของอาณาจักรวัชชี เรียกว่า กูฏคาร มีภิกษุเข้าอยู่จำพรรษาในอารามนี้เป็นประจำ สำหรับพระพุทธองค์นั้นประทับอยู่ในพรรษาที่ 5 และทรงแวะมาเมื่อคราวเสด็จไปกุสินารา
ด้านหลังของเสาพระเจ้าอโศก
ปัจจุบันนี้ กูฏคาร คงเหลือไว้แต่ซากปรักหักพัง ที่บอกเล่าถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ณ ที่แห่งนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับที่ค้นพบในที่แห่งอื่น คือ เสาหินของพระเจ้าอโศก ที่ทรงสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ถึงพระพุทธองค์
และ ณ ป่ามหาวันนี้ พระพุทธองค์ประทานการบวชให้พระนางปชาบดีโคตรมี พร้อมเหล่าัศากิยานีอีก 500 ซึ่งเดินทางจากกรุงกบิลพัสดุ์ อันเป็นการเกิดภิกษุณีขึ้นครั้งแรกในโลก นอกจากนี้ บัญญัติการเข้าพรรษา ก็เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้เช่นกัน กล่าวคือ สมัยนั้น เหล่าภิกษุพากันจาริกไปทุกฤดูกาล เหยียบย่ำข้าวกล้าในนา เบียดเบียนสัตว์เล็กมากมายให้ลำบาก ชาวบ้านต่างพากันตำหนิว่า แม้แต่นกก็ยังรู้จักทำรังในช่วงฤดูฝน เหตุใดสาวกของพระสมณโคดมจึงไม่พำนักอยู่กับที่ เที่ยวเดินเหยียบย่ำพืชพันธุ์ให้เสียหายเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติกาลเข้าพรรษาไว้ 2 ระยะ คือ ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันเพ็ญเดือน 11 เรียกว่า ปุริมิกา พรรษาต้น และ ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงวันเพ็ญเดือน 12 เรียกว่า ปัจฉิมิกา พรรษาหลัง
พระพุทธองค์เสด็จเวสาลีครั้งสุดท้ายก่อนปรินิพพาน ทรงประทับ ณ สวนมะม่วงของนางอัมพปาลีคณิกา หญิงงามเมืองแห่งเวสาลี ซึ่งได้อุทิศถวายเป็นสังฆารามในพุทธศาสนา และในพรรษาสุดท้ายนี้เอง พระพุทธองค์ประทับจำพรรษาที่เวฬุการาม ทรงปลงอายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์ และเมือพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วได้ 100 ปี ได้มีการทำสังคายนาครั้งที่ 2 ณ วาลุการาม ซึ่งสถานที่ทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในเวสาลี
สิงห์ ของพระเจ้าอโศก ที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยขุดค้นพบ
คณะของเราเดินทางถึงวัดไทยกุสินาราฯ เวลาประมาณ 17.00น. เวลาท้องถิ่น ซึ่งถึงก่อนเวลาที่กำหนดไว้คือประมาณ 19.00น. เนื่องจากคุณสารถีขับรถอย่างเมามันในอารมณ์ ในขณะที่พวกเราก็ฟังพระวิทยากรบรรยายธรรมให้ฟังตลอดทาง....
คุณจ๋อ ออกมานั่งหนาวสั่นอยู่ริมถนน
ส่วนเจ้าตัวนี้ ทำตัวเป็น " นินจา "
แล้ว " นินจา " ก็สำแดงเดช แอบดูสาว ๆ ของเราฉิ๊งฉ่อง ดู๊..ดู....ดู มันทำกับน้องด้ายยยย...
เมื่อถึงวัดไทยกุสินาราฯ ก่อนเวลาที่กำหนดไว้ ทำให้มีเวลาเดินเยี่ยมชม ดูความเปลี่ยนแปลงของวัด จากเมื่อ 4 ปีที่แล้วที่ได้เคยมาเยี่ยม วัดไทยกุสินาราฯ วันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัด คือ กำลังก่อสร้างหอพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นภารกิจของคณะเราที่ต้องมาทำการเปิดหอไตรในครั้งนี้ด้วย สิ่งที่ต่อมาที่เห็นว่าเปลี่ยนแปลงคือ คลินิกกุสินาราฯ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นคลินิกเคลื่อนที่ไปแล้ว เนื่องจากโรงพยาบาลของวัดที่เราได้มาวางอิฐเป็นศิลาฤกษ์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว บัดนี้ได้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยและเปิดให้บริการแก่คนยากมาเป็นแรมปีแล้ว กับอีกหนึ่งการก่อสร้างภายในวัดคือ การสร้างกุฏิพระเถระผู้ใหญ่ที่เดินทางมาจากเมืองไทยใช้ในการปฏิบัติศาสนกิจ
พ่อหมอชีวกโกมารพัตจ์ ประดิษฐานอยู่หน้ากุสินาราฯ คลีนิค
ป้ายหน้าหอไตรฯ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ
กุสินารา มหานครแห่งแคว้นมัลละ เมืองปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นครกุสินารา ปัจจุบันได้แก่ ตำบลกาเซีย ( Kasia ) ในเขตจังหวัดกุศินาคาร์ ( Kushinagar ) รัฐอุตตรประเทศ เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นมัลละ มีชื่อเรียกกันหลายชื่อ เช่น กุสาวดี กุสินครี กุสิคราม กุสินคร หลวงจีนถังซัมจั๋งเรียกว่า เกา สิน นคโร ปัจจุบันเรียกตามภาษาสันสกฤตว่า กุศินาคาร์ ตามภาษาบาลีว่า กุสินารา ( Kusinara )
ทุ่งมาสตาร์ดริมทาง ภาพนี้ถ่ายจากบนรถที่กำลังวิ่ง เลยไม่ชัด
สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านริมทาง
อาบน้ำจ้ะ
นครกุสินารา เป็นสังเวชนียสถานแห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าโปรดเลือกเป็นที่ปรินิพพานด้วยพระองค์เอง ทั้งที่พระอานนท์กราบทูลให้ทรงเลือกเมืองใหญ่เพื่อเป็นที่ปรินิพพาน เช่น จำปา ราชคฤห์ เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมืองโกสัมพี และเมืองพาราณสี เมืองใดเมืองหนึ่ง แต่พระพุทธองค์ทรงยืนยันกับพระอานนท์ว่า กุสินารานี้แต่ปางก่อนเป็นราชธานี มีนามว่า กุสาวดี พระเจ้ามหาสุทัสสนะเป็นกษัตริย์ ได้รับมุรธาภิเษกทรงเป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ กุสาวดีเป็นเมืองมั่งคั่ง รุ่งเรือง มีชนมาก มีภิกษาหาได้ง่าย กุสาวดีราชธานี ไม่เคยเงียบจากเสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงกังสดาล เสียงประโคม และเสียงชนทั้งหลายว่า ท่านจงมาดื่ม จงมาบริโภคเถิด ทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าถึงอานิสงส์แห่งทานที่พระเจ้าสุทัสสนะทรงได้รับในครั้งนั้นว่า พระเจ้าสุทัสสนะทรงถวายทานในสมณะทั้งหลายด้วยสมณบริขาร อุปถัมภ์พราหมณ์ทั้งหลายด้วยพราหมณบริขาร ทรงดำริจัดหาความสุขแก่ชาวนครของพระองค์ โดยให้ทานแก่มหาชนทั้งหลายด้วยเครื่องอุปโภค บริโภค และวัตถุที่ต้องการทั้งปวงของชนเหล่านั้น ผู้ใดปรารถนาสิ่งใดก็รับเอาไป การงานอย่างอื่นของชาวนครทั้งหลายไม่มี ชาวชมพูทวีปบริโคถทานของพระราชาเท่านั้น พระเจ้าสุทัสสนะทรงปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทรงประพฤติพรหมจรรย์ ทรงเจริญพรหมวิหารธรรม 4 หลังจากสวรรคตได้เสด็จเข้าถึงพรหมโลก
ป้ายหาเสียงของอินเดีย
ปั้มน้ำมัน
แล้วพระพุทธองค์ตรัสสอนพระอานนท์ว่า อานนท์ เธอจงดูเถิด สังขารเหล่านั้นล่วงไป ดับไป แปรไปหมดแล้ว อานนท์ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้ ไม่น่ายินดีอย่างนี้ อานนท์ เพราะเหตุนี้ควรจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง เพราะเมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า ชาติสิ้นแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว เมื่อได้พรรณนาความรุ่งเรืองแห่งเมืองกุสาวดีให้พระอานนท์ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะในสมัยนั้น คือเราตถาคตในปัจจุบัน เราย่อมรู้ที่ทอดทิ้งร่างกาย อานนท์ เราไม่เห็นสถานที่ใดในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์ ที่ตถาคตจะทอดทิ้งร่างกายเป็นครั้งสุดท้าย นอกจากสถานที่นี้
ร้านค้าริมทาง
ร้านตัดผม ที่นับได้ว่า...ทันสมัยแล้ว...นะ จะบอกให้...
รถโดยสารยอดนิยม
รถตุ๊กตุ๊ก..ก็มีนะ..นาย
วันนี้ ปอ ป้า ขอจบทริปอินเดียในตอนนี้ ด้วยภาพดอกไม้สวยที่อยู่ภายในวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ พบกันใหม่ตอนหน้า...สวัสดี ค่ะ...
ดอกป๊อปปี้สวย ดอกไม้ประจำวันเกิดปอ ป้า
| | | |
ขอขอบคุณ..นู๋ดาวจ๋า และ คุณวันชนะ.. ที่ให้ความกรุณาสละเวลาอันมีค่า ช่วยตกแต่งบล๊อกให้ป้าเสมอมา รวมทั้งนำโค๊ดเพลงไพเราะ มาฝากอีกมากมาย ขอบคุณด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง...ค่ะ
และ..ขอบคุณกรอบสวยจากบ้านคุณแมว maew_kk ด้วย..ค่ะ
| | | | |
Create Date : 13 เมษายน 2552 |
|
63 comments |
Last Update : 14 สิงหาคม 2558 23:02:11 น. |
Counter : 6149 Pageviews. |
|
|
|
สวัสดีปีใหม่ไทยด้วยจ้า