INDIA 2009 ตอนที่ 4/1...เขาคิฌชกูฎ
วันที่สามของการเดินทาง 7 ก.พ. 2552/1
ก่อนที่จะเริ่มเปิดบันทึกการเดินทางในวันนี้ ปอ ป้า ขอเฉลยคำถามที่ถามไว้เมื่อครั้งที่แล้ว ว่ากระบวยสีขาว ที่แขวนเกี่ยวไว้กับกระป๋องน้ำสีแดงนั้น เค้าเอาไว้ให้เราตักน้ำล้างก้น..ค่ะ มีผู้ตอบถูกอยู่คนเดียว คือ หนูญามี่ แล้วปอ ป้าจะส่งของรางวัลไปให้..นะคะ แต่เอ...หรือจะให้บินกลับมารับของรางวัลที่เมืองไทยดีเอ่ย...อิ อิ
ตามโรงแรมในอินเดีย เท่าที่ปอ ป้าเห็นมา ต่อให้เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวก็ตาม จะต้องมีกระบวยเอาไว้บริการเสมอ เพราะเค้าไม่ติดสายฉีดน้ำล้างก้นไว้เหมือนที่บ้านเรา เคยถามไกด์ว่าทำไมเค้าไม่ติด คุณไกด์ตอบว่า เค้าใช้ไม่เป็น อันนี้ปอ ป้า ก็ไม่ทราบว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร เพราะขึ้นชื่อว่าอินเดียแล้ว อะไร ๆ ก็เป็นไปได้เสมอ ไว้ไปคราวหน้าจะถามคนอินเดียที่ Front Office ของโรงแรมแล้วจะกลับมาบอก..นะคะ...อ่ะ..ว่าแล้วเราไปทัวร์กันต่อดีกว่า..ค่ะ
เช้านี้หลังจากถวายภัตตาหารเช้าแก่พระวิทยากรแล้ว คณะของเราก็ออกเดินทางสู่กรุงราชคฤห์ ซึ่งมีระยะทางห่างจากพุทธคยา 75 ก.ม. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2.30 ช.ม.
ราชคฤห์มหานครแห่งแคว้นมคธ จัดว่าเป็นนครใหญ่แห่งหนึ่งในห 6 นครของอินเดียโบราณ มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น คิริวราช กุสาครปุระ พารหัทรถปุระ ราชคหะ เป็นต้น
ทัศนียภาพอันสวยงามแลดูสงบของกรุงราชคฤห์ มองลงมาจากคันธกุฎีของพระพุทธองค์
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากับศาสนาชิน เรียกว่า กุสาคร เพราะเหตุว่ามีหญ้าชนิดหนึ่ง ชื่อ กุสะ ขึ้นเต็มเมือง ในหนังสือรามเกียรติ์ เรียกเมืองนี้ว่า วสุมาตี เพราะกษัตริย์วสุ เป็นผู้สร้าง ตามตำนานเมืองราชคฤห์นี้ มหาโควินท์ วิศวกรเอกในครั้งกระโน้น เป็นผู้ออกแบบและอำนวยการสร้าง เดิมเมืองนี้ชื่อกุสาคร อยู่บนภูเขา ถูกไฟป่าไหม้บ่อย ๆ จึงสร้างเมืองใหม่ที่เชิงเขา มีผู้เรียกเมืองราชคฤห์ที่สร้างใหม่ว่า พิมพิสารปุระ ก็มี
ตามคัมภีร์พุทธวังสะ กล่าว่า ตลอดพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์ เคยเสด็จแวะเวียนมาประทับจำพรรษาอยู่นครราชคฤห์ในพรรษาที่ 3, 4, 7 และ 20 โปรดประทับที่วัดเวฬุวันมหาวิหารหลายพรรษา และได้เริ่มปลูกฝังพระพุทธศาสนาในนครราชคฤห์แห่งนี้เป็นเบื้องแรก
จุดหมายแรกที่คณะของเราเดินทางมาเยือนคือ เขาคิฌชกูฏ ซึ่งเป็น 1 ในเบญจคีรี ( เบญจคีรี คือ เขา 5 ลูก ที่ตั้งอยู่ล้อมรอบกรุงราชคฤห์ ได้แก่ เวภาระ เวปุลละ บัณฑวะ คิฌชกูฏ อิสิคิลิ )
คิฌชบรรพต นี้คือ คิฌชกูฏ หลายพระสูตร ทรงแสดง ณ ที่นี้ บนยอดเขา มีมูล คันธกุฏี อันเป็นที่ สัปปายะ แห่งพระองค์ฯ
เขาคิฌชกูฎ ที่ชาวอินเดียว่าเหมือนนกแร้ง มองเห็นคันธกุฏีของพระพุทธองค์ อยู่บนยอดเขา
เขาคิฌชกูฏ นี้ มีลักษณะเหมือนนกแร้ง ซึ่งพระวิทยากรบอกว่ามองยังไงก็ไม่เหมือนนกแร้ง แต่เมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม อย่าไปว่าของเขาว่าไม่เหมือนนกแร้ง เดี๋ยวเขารู้จะว่าเอา แต่ท่านสันนิษฐานเอาว่าน่าจะเป็นเพราะที่แห่งนี้เป็นที่เกาะอาศัยของนกแร้งที่มาคอยกินซากศพโจรที่ถูกประหารแล้วทิ้งลงเหวมากกว่า ในบริเวณโดยรอบของเขาคิฌชกูฏนั้น นับว่าเป็นที่สัปปายะของเหล่าพระอริยสาวก ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่า เป็นที่จำพรรษาของพระอรหันต์หลายองค์ เช่น พระสารีบุตร พระอานนท์ พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธะ ฯลฯ
กระเช้าไฟฟ้า ก็มีบริการ สำหรับผู้ที่ต้องการขึ้นไปชมวิวเท่านั้น เพราะปลายทางเป็นจุดชมวิว ไม่ใช่คันธกุฏี
ในคณะของเรา คนไหนเดินไหวก็เดินขึ้นไป เดี๋ยวนี้ทางเดินสะดวกกว่าแต่ก่อนมาก มีไม้เท้าให้เช่าบริการในราคาอันละ 20 รูปี ส่วนท่านที่ไม่สามารถเดินขึ้นไปเองได้ ก็มีสะเหลี่ยงไว้บริการ สนนราคาอยู่ที่ 300 รูปี ปอ ป้าและผองเพื่อนในกลุ่มตกลงกันว่าจะตะกายไปตายเอาดาบหน้า ดีกว่านั่งสะเหลี่ยงให้แขกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ท่าทางจะวิงเวียนหน้ามืดเป็นลมตายไปเสียก่อนจะถึงยอดเขา...
นี่คือเสลี่ยง ที่มีบริการสำหรับท่านที่เดินไม่ไหว ปอ ป้า เรียกว่า " เสลี่ยง..เสี่ยง..เดี้ยง " ไม้ท่อนเล็กที่เสียบไว้ตรงคานหามนั้น คือไม้เท้าที่มีไว้บริการอันละ 20 รูปี
ตามคำบอกเล่าของพระวิทยากร ว่าที่เชิงเขานี้เป็นที่ที่พระนางโกศลเทวี มเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ทรงพระครรภ์และทรงแพ้ท้อง อยากเสวยโลหิตที่เข่าเบื้องขวาของพระเจ้าพิมพิสาร โหราจารย์ทำนายว่า กุมารที่เกิดมาจะทำปิตุฆาต พระมเหสีตกพระทัย เสด็จมา ณ ที่แห่งนี้และพยายามทำลายชีวิตกุมารที่อยู่ในพระครรภ์ พระเจ้าพิมพิสารทราบเรื่องตามมาห้ามปราม และ ได้ทำการสะเดาะเคราะห์ด้วยการสร้างวัด คือ วัดมัททกุจิ ซึ่งอยู่ที่เชิงเขานี้เอง
ระหว่างทางเดิน ก็จะต้องคอยหลีกทางให้กับคุณวัว ที่มานอนอาบแดดอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจใคร ส่วนริมทางเดินทั้งสองข้าง ก็จะมีขอทานนั่งกันเป็นระยะ ๆ
นอกจากนี้ ในพระบาลียังว่า พระพุทธองค์ พร้อมบรรดาสาวกทรงเคยพัก ณ บริเวณนี้เป็นครั้งคราว เมื่อพระเทวทัตผลักก้อนหินทำลายพระพุทธองค์บนเขาคิฌชกูฏ บรรดาสาวกช่วยกันพยุงพระองค์ลงมาจากเขา และได้มาพักที่วัดมัททกุจิ นี้ก่อน เพื่อรับการปฐมพยาบาล ต่อจากนั้นจึงได้เสด็จไปประทับ ณ ชีวกัมพวัน ของพ่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ เพื่อรับการรักษาต่อไป
ลูกหลานหนุมาน มาเป็นครอบครัว
ที่กล้าหน่อย ก็จะลงมาขออาหารจากผู้แสวงบุญ
ถ้ำพระโมคคัลลานะ ผู้ที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นเลิศในทางฤทธิ์ เป็นถ้ำแรกที่คณะของเราแวะกราบไหว้ ตามพุทธประวัติเล่าว่า ณ ถ้ำแห่งนี้เอง เป็นที่แก้ข้อสงสัยเรื่องเปรตมีจริงหรือไม่ ดังเรื่องย่อมีว่า..ครั้งหนึ่ง พระโมคคัลลานะ กับ พระลักขณะ ลงจากเขาจะไปบิณฑบาต ระหว่างทาง พระโมคคัลลานะได้ยิ้มออกมา พระลักขณะถามว่ายิ้มอะไร พระมหาเถระตอบว่า รอไว้ไปถึงวัดเวฬุวันก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง ครั้นมาถึงวัดแล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า ผมลงจากเขาคิฌชกูฏ ได้เห็นสุจิโลมเปรตผู้ชายมีขนเป็นเข็มเต็มตัวไปหมด เข็มนั้นลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วตกลงมาทิ่มแทงตามตัวเปรตนั้นร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เหล่าภิกษุหลายองค์ที่นั่งฟังอยู่ด้วย ตำหนิว่าท่านอวดอุตตริมนุสสธรรม พากันไปกราบทูลฟ้อง พระพุทธองค์ตรัสว่า กาลก่อนเราก็ได้เคยเห็นเช่นนี้ เปรตนั้นเคยเป็นนายสารถีอยู่ในพระนครราชคฤห์แห่งนี้เอง เป็นคนชอบพูดส่อเสียด ก้าวร้าวผู้อื่นอยู่เสมอ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นแหละ เขาหมกไหม้อยู่ในนรกหลายพันปี แล้วจึงมาเกิดเป็นเปรต โมคคัลลานะพูดความจริง ไม่ต้องอาบัติ
ถ้ำพระโมคคัลลานะ
ถ้ามองจากหน้าถ้ำพระโมคคัลลานะ ขึ้นไป จะเห็นก้อนหินตั้งเรียงกัน 3 ก้อน มีช่องว่างระหว่างเขาที่พอเดินได้ เมื่อก่อนยังไม่มีก้อนหินกั้นไว้ จะเป็นทางขึ้นลงเพียงทางเดียวเท่านั้น ณ จุดนี้เอง เชื่อกันว่าเป็นที่พระเทวทัตใช้ความพยายามกลิ้งก้อนหินเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์
ถ้ำสุกรขาตา หรือ สุกรขาตเลนะ อันหมายถึง เพิงผามีรูปเหมือนคางหมู หรือ ถ้ำหมูขุด เป็นถ้ำของพระสารีบุตร มีเรื่องเล่าว่า พระสารีบุตร หลังจากอุปสมบทแล้ว ในวันที่ 15 ขณะที่กำลังถวายงานพัดอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระบรมศาสดา ณ ถ้ำสุกรขาตาแห่งนี้ ได้ฟังทีฆนขสูตร ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ ทีฆนขปริพาชก ผู้หลานชาย ว่าด้วยเรื่องทิฏฐิเป็นเหตุให้เกิดวิวาท ให้พิจารณากายโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นความเจ็บไข้ เป็นของทรุดโทรม เป็นของว่างเปล่า เป็นของมิใช่ตน ให้ละความพอใจในกาย ความเยื่อใยในกาย และทรงแสดงเวทนา 3 อันอาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป ดับไปเป็นธรรมดา ไม่ควรยึดมั่นด้วยทิฏฐิ พระสารีบุตรได้ฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการให้ละธรรมเหล่านั้น การสละคืนธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญาอันยิ่ง ได้รู้ชัดแจ้งตามธรรมนั้น จิตของท่านหลุดพ้นจากอาสวะ บรรลุอรหัตตผล แทงตลอดที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ และปัญญา 16 ณ ที่นั้น
ถ้ำสุกรขาตา
ตามอรรถกถากล่าวว่า พระสารีบุตรเปรียบเสมือนบุคคลที่เห็นผู้อื่นกำลังบริโภคอาหาร แต่ตนเองบรรเทาความหิวลงได้ทั้งที่มิได้บริโภคอาหารนั้นเลย วันที่พระสารีบุตรบรรลุอรหัตตผล ในเวลาบ่ายมีการประชุมสงฆ์ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต อันประกอบด้วยองค์ คือ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 อยู่ในมาฆฤกษ์ ภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ทุกรูปล้วนเป็นพระอรหันขีณาสพ ผู้ได้อภิญญา 6 ภกิษุทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา ในที่ประชุมสงฆ์ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงสถาปนาพระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ เป็นคู่อัครสาวก
คันธกุฏีคิฌชกูฏ เมื่อขึ้นสู่ยอดสูงสุดก่อนถึงมูลคันธกุฏี จะมีซากอิฐก่อฐานสี่เหลี่ยมติดกับหน้าผา เชื่อกันว่าเป็นที่พักของพระอานนท์ ยอดอุปัฏฐากผู้เป็นสหชาติกับพระพุทธองค์ ได้ตามเสด็จไปทุกหนแห่งดุจเงาตามตัว และได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเป็นเลิศทางพหูสูต ที่ทรงจำพระธรรมไว้ได้ทั้งหมด
บริเวณที่เชื่อกันว่า เป็นกุฏิของพระอานนท์
บริเวณที่ประทับของพระพุทธองค์แต่เดิมเป็นกุฏีแคบ ๆ เหมาะที่จะนั่งมากกว่านอน วัดดูด้วยการใช้ศอก ได้ความกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ยาว 4 ศอกเท่านั้น นับว่าความจำเป็นของมนุษย์ในเรื่องที่พักอาศัยมีเท่านี้เอง คือ เพียงนั่งได้และนอนได้เท่านั้น กุฏีนี้แหละที่พระมหาบุรุษของโลกได้เสด็จมาพักพิงอาศัย และทรงพอพระทัยกว่าที่อื่น ๆ
เดินประทักษิณ รอบคันธกุฏี
" ชฏิล " คือ ผู้มีผมมุ่นเป็นชฎา เป็นนักพรตพวกหนึ่งที่เราเรียกว่า ฤษี
ชาวบ้านนำสมุนไพรป่า ออกมาวางขายริมทางเดิน
สำหรับวันนี้ ปอ ป้า มีคำถามมาถามอีกแล้ว...ค่ะ อยากถามว่า สิ่งที่ชาวบ้านคนนี้นำมาขายรวมกับสมุนไพรป่า ซึ่งเขาถืออยู่ในมือขวาเป็นอย่างเดียวกับที่วางกองอยู่ข้างหน้าเขานั้น .....คืออะไร ??.....
..... อะไรเอ่ย ?? .....
พบกันใหม่ตอนหน้า..นะคะ
Create Date : 03 เมษายน 2552 |
|
71 comments |
Last Update : 15 สิงหาคม 2558 11:51:03 น. |
Counter : 3316 Pageviews. |
|
|
|
.....................
หลับฝันดีค่ะ