|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี ๑
วิมุตติรัตนมาลี โดย พระพรหมโมลี
( วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9)
"วิมุตติรัตนมาลี" เป็นผลงานการประพันธ์ของท่านพระอาจารย์พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. 9) วัดยานนาวา กรุงเทพฯ
ตอน สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี นี้จะกล่าวพระชาติต่างๆ ของพระนางพิมพาและปฐมเหตุที่ทำให้พระนางพิมพาได้เกิดมาเป็นนางแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้า ช่วยสนับสนุนพระองค์ในการบำเพ็ญเพียร โดยต้องเกิดเป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของพระโพธิสัตว์ในพระชาติอื่นๆ ซึ่งพระนางพิมพาเป็นผู้เล่าถวายแก่พระพุทธเจ้าในวันที่พระองค์ขอทูลลาเข้าสู่พระนิพพานนั้นเองค่ะ
จขบ.ได้นำมาจากบ้านพี่พลอย เพื่อให้เพื่อนๆ ที่เคยอ่าน "นางแก้วคู่บารมี" ได้อรรถรสต่อเนื่องกัน และขออนุโมทนากับพี่พลอย และผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ
วิมุตติรัตนมาลี ตอน สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี
อดีตกาลล่วงมาแล้ว นับถอยหลังจากภัทรากัปนี้ไป เป็นเวลานานถึง 4 อสงไขยกับอีก 100,000 มหากัป กาลครั้งนั้นเป็น ศุภมงคลกาลที่เรียกว่าสารมัณฑกัป เพราะเป็นกัปที่มี สมเด็จพระส้มมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัส ในโลก 4 พระองค์ คือ
1. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎตัณหังกรพุทธเจ้า
2. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเมธังกรพุทธเจ้า
3. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจ้า
4. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า
จะกล่าวกลับจับความ จำเดิมแต่ศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ 3 คือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจัา ค่อยเสื่อมสลายสูญสิ้นไปหมดแล้ว โลกเรานี้ก็ว่างจากพระพุทธศาสนา ชั่วกาลพุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงปรากฏมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติก็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จมาอุบัติใหม่นี้ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงอุบัติตรัสในโลกแล้วก็ทรงบำเพ็ญพุทธกิจประกาศพระพุทธศาสนา ยังศาสนธรรมให้ขยายแผ่กว้างออกไป
เหล่าสัตว์ทั้งในไตรโลก ครั้นได้สดับรับรสพระสัทธรรมเทศนา ต่างก็พากันประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระทศพล จนได้บรรลุพระอริยมรรคอริยผล ตามสมควรแก่วาสนาบารมีแห่งตนเป็นอันมากแล้ว
กาลครั้งนั้น ยังมีพราหมณ์มาณพหนุ่มผู้หนึ่ง ปรากฏนามว่า สุเมธพราหมณ์ เขาเกิดในตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติมหาศาลนับได้มากมายหลายโกฏิทีเดียว นอกจากนั้นยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงมนต์เฟื่องฟุ้งเรียนจบแจ้งในไตรเพทางคศาสตร์ ฉลาดในศิลป์สิ้นทุกประการ วันหนึ่งสุเมธพราหมณ์มาณพหนุ่มผู้นั้นนั่งอยู่ในห้องรโหฐานอันเป็นที่สงัดแล้วจินตนาการด้วยปัญญาว่า
ธิ ! ดังเราจะติเตียน
อันว่าการก่อภพกำเนิดเป็นรูปกายขึ้นใหม่นี้ ย่อมมีกองทุกข์ท่วมท้นหฤทัยเที่ยงแท้ อนึ่ง แม้เมื่อชนมชีพแตกพรากจากกาย ทำลายร่างสรีราพยพนั้นเล่า ก็เป็นกองทุกข์ถึงที่สุดใหญ่ยิ่งกว่าทุกข์ทั้งปวง การก่อภพชาติใหม่นี้เป็นทุกข์ใหญ่หลวง เพราะว่าชาติภพก่อให้เกิดชรา แล้วชราก็ก่อให้เกิดพยาธิ มรณะอันเป็นทุกข์ต่อไปไม่สิ้นสุดก็ในเมื่อชาติ ชรา พยาธิ มรณะซึ่งได้แก่ความเกิด ความแก่ความเจ็บไข้และความตายปรากฏมีขึ้นได้แล้วความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็คงจักมีเป็นแม่นมั่น อย่ากระนั้นเลย ควรที่เราจะประสงค์เจาะจงแสวงหาความพ้นชาติ ชรา พยาธิ และมรณะนั้น ให้จงได้ จะเป็นการประเสริฐแท้
อนึ่ง ตัวเราคงต้องตายในวันหนึ่งข้างหน้า ต้องทอดทิ้งสรีระ อันมีสภาวะเน่าเปื่อยปฏิกูลนี้ แล้วไปเกิดใหม่ให้ได้ทุกข์อีก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไฉนจึงจะยังหนักหน่วงห่วงใยอยู่ด้วยร่างกายปฏิกูลนี้อยู่เล่า ควรที่เราจะพึงหาทางออกไป เพื่อไม่มีการเกิดเสียเลยดีกว่า ก็แต่หนทางอันประเสริฐนี้ เห็นทีฝูงสัตว์จะพึงพบได้โดยยาก จำเราจะพึงทำความเพียรพยายามให้จงมาก อุตส่าห์เสาะแสวงหาให้ได้พบจงได้ ความทุกข์ภัยพยาธิมีแล้วฉันใด ความสุขไร้ทุกข์ภัยพยาธิก็คงจักมี
เช่นเดียวกัน เมื่อภพกำเนิดคือความก่อเกิดปรากฏมีแล้วฉันใด วิภวะ คือ ความไม่ก่อให้เกิดเป็นร่างกายก็คงจักมีเช่นเดียวกัน เปรียบเหมือนเมื่อความร้อนคือ เตโชธาตุไฟมีอยู่มากแล้ว ความเย็นคืออาโปธาตุน้ำก็มีไว้สำหรับดับความร้อนแก้กันฉันใดก็ดี เมื่อมีไฟคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งที่จะระงับทุกข์ร้ายเหล่านี้ก็คงมีเป็นแม่นมั่นเสมือนหนึ่งว่าการบาปมีแล้ว ย่อมมีการบุญแก้ ความเกิดมีแน่ ความไม่เกิดอีกเป็นเที่ยงแท้ก็คงจักมี
เปรียบเหมือนบุรุษทรงพลังรักความสวยสะอาด เมื่อเห็นว่าสรีระร่างแห่งตนแปดเปื้อนคูถเน่าเหม็นร้ายกาจหนักหนา แล้วมาพบสระน้ำซึ่งมีอุทกวารีเย็นใสควรหรือที่เขาจะไม่กระวีกระวาดลงไปในสระ เพื่อชำระล้างเนื้อตัวให้หมดมลทิน ก็เรานี้ในเมื่อมลทิน คือกิเลสที่ควรล้างกำลังแปดเปื้อนติดตัวมีอยู่แล้ว ดังฤาจะไม่แสวงหาสระน้ำที่มีอมตธรรมเป็นอุทกวารีแล้วรีบล้างเสียซึ่งมลทินคือสรรพกิเลสนั้น
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนขุนพลจอมโยธีผู้ชำนาญศึกในรณภูมิ ที่ถูกข้าศึกศัตรูหมู่ปัจจามิตรมาล้อมไว้ เมื่อเห็นหนทางที่พอจะประลาตหลีกลี้หนีไปได้ยังมีอยู่ ควรหรือที่เขาจะหลงมุมานะสู้จนเสียชีวิตไม่คิดหนี ก็ตัวเรานี้ ในเมื่อมีข้าศึกศัตรูคือ หมู่กิเลสมารมารวมรุมหุ้มห้อมล้อมไว้อยู่ทุกทิวาราตรี และหนทางเป็นที่เกษมเปรมใจคือพระนิพพานอันเป็นที่หลีกหนีย่อมมีอยู่โดยแท้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่คิดแก้ไขหลีกหนีเอาตัวรอดไปหรือไฉน
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนชายผู้มีโรคร้ายเข้าเกาะกุมสรีรกายให้ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส เมื่อได้พบแพทย์วิเศษที่จะสามารถรักษา ควรแลหรือที่บุรุษนั้นจะไม่คิดอ่านเยียวยารักษาพยาธิแห่งตนให้หายเป็นปรกติดี ก็ตัวเรานี้ ในเมื่อถูกโรคาพยาธิ คือกิเลสาสวะมาย่ำยีบีฑา จะไม่เร่งเสาะแสวงหาแพทย์พิทยาจารย์ให้พยาบาลขจัดเสียซึ่งโรคาพยาธินั้นหรือไฉน
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนชายผู้มีน้ำใจรักความสะอาดและมีซากศพอันแรงร้ายกาจด้วยกลิ่นเหม็นเป็นปฏิกูล มาผูกพันกระสันติดอยู่กับคอตนควรหรือที่ชายคนนั้นจะทนสู้กลิ่นเหม็นแห่งซากศพอยู่ได้ โดยที่แท้ เขาย่อม จะร้อนรนขวนขวายปลดเปลื้องซากศพให้พ้นไปจากคอตนเสียโดยพลันฉันใดก็ตัวเรานี้ จะมีใจเอื้อเฟื้ออาลัยอาวรณ์ในร่างกายอันเน่าเปื่อยปฏิกูล มากมูลไปด้วยซากสางต่างๆนี้ทำไมกัน ทางที่ดีนั้นจะต้องรีบหาทางปลดเปลื้องทอดทิ้งเสีย ไม่ต้องห่วงใยเฝ้าอาลัยรัก ปลดเปลื้องทอดทิ้งไปโดยพลัน ให้เหมือนกับบุรุษ ทอดทิ้งซากศพที่ผูกอยู่ที่คอนั่นเถิด
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษถูกหมู่โจรร้ายใจฉกาจ มันอาจหาญพากันมาปล้น กลุ้มรุมชิงฉวยเอาห่อทรัพย์สมบัติได้แล้ว และบุรุษนั้นเห็นว่าตนไม่สามารถจะชิงเอาห่อทรัพย์สินกลับคืนมาได้ เขาย่อมจะสิ้นอาลัยในทรัพย์ ไม่เสียดายหมายแต่จะเอาชีวิตรอดรีบวิ่งหนีไปโดยพลันฉันใด ตัวเรานี้เล่า ก็มีสรีระร่างอันเปรียบดังหมู่มหาโจรใจฉกาจ สามารถที่จะปล้นผลาญจิตใจให้ขาดจากกุศลธรรมทั้งปวง จำเราจะตัดห่วงเสน่หาในกายทอดทิ้งเสียอย่าให้มีอาลัยได้ รีบหนีไปในที่ปลอดภัยเหมือนบุรุษที่ถูกโจรปล้นแล้วไม่อาลัยในทรัพย์สมบัติรีบหนีไปฉับพลันฉะนั้นเถิด
สุเมธมาณพผู้มีปรีชา จินตนาการเป็นอุปมาทบทวนย้อนหน้าย้อนหลัง วิจิตรพิสดารมากมายหลายครั้งดั่งนี้แล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจสั่งให้เปิดคลังทรัพย์สมบัติของตนมากมายหลายโกฏิสุดประมาณ ออกบริจาคเป็นทานแจกจ่ายแก่ยาจกวณิพกคนอนาถาและคนที่อยากได้ทั้งปวงจนหมดสิ้นไม่มีเหลือแล้ว ก็มีใจผ่องแผ้วออกเดินทางแต่ตัวเปล่าเข้าไปสู่อรัญประเทศเขตป่าใหญ่ เมื่อมาถึงที่ใกล้เชิงเขาธรรมิกบรรพต จึงจัดแจงสร้างบรรณศาลาอาศรมบทเป็นที่อาศัยให้สำเร็จสมอารมณ์หมายภายในไม่ช้า แล้วก็เปลื้องผ้าสาฎกเนื้อดีที่ตนครองนุ่งผ้าเปลือกป่านและคากรองบวชเป็นดาบส สร้างพรตพรหมจรรย์จำเริญสมถกรรมฐาน
ภายหลังต่อมาไม่นานก็ละทิ้งเสียซึ่งบรรณศาลาที่อยู่นั้น เพราะเห็นว่าทำให้เกิดห่วงใยไม่วิเวกเพียงพอ แล้วเดินทางต่อไปจนถึงเขตอรัญอันไกลลึกเป็นป่าใหญ่ อาศัยร่มไม้รุกขมูลเป็นที่อยู่ เลือกดูผลไม้ที่หล่นลงมาเองเป็นประมาณบริโภคเป็นอาหารยาปนมัตเครื่องยังชีพให้ทรงไว้เท่านั้น มีจิตบากบั่นอุตส่าห์บำเพ็ญเป็นกสิณานุโยค พยายามอยู่ในอรัญสถาน ไม่นาน เท่าใด ก็สามารถได้บรรลุฝั่งแห่งฌานสมาบัติและอภิญญา
เบื้องว่า สุเมธดาบสผู้ยิ่งด้วยพรตพรหมจรรย์ ท่านได้สำเร็จอภิญญาฌานสมาบัติบริบูรณ์ดี มีวสีภาพเซี่ยวชาญชำนาญยิ่งนักแล้วก็ได้แต่เพลิดเพลินเจริญฌานเป็นสุขอยู่หนักหนา หารู้ไม่เลยว่า บัดนี้สมเด็จพระชินสีหทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จอุบัติตรัสเป็นพระบรมโลกนาถแล้ว ความจริงนั้นควรที่ท่านดาบสจะรู้ เพราะธรรมดาวิสัยผู้ได้อภิญญาฌานสมาบัติ ย่อมจักมีโอกาสรู้เห็นนิมิตในกาลทั้ง 4 ก่อน คือ
=> กาลเมื่อท่านผู้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาถือปฏิสนธิในโลกนี้
=> กาลเมื่อท่านผู้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติจากพระครรโภทร
=> กาลเมื่อได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐ
=> กาลเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรมจักรเทศนา
กาลสำคัญทั้ง 4 ซึ่งสุเมธดาบสมิได้รู้เห็นนี้ ก็เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้เพลิดเพลินเจริญฌานอันเป็นส่วนตนหนักยิ่งนักอยู่ในจิต ด้วยมิได้ใฝ่ใจคิดดูซึ่งเหตุอื่นเลย จึงมิได้เห็น มิได้รู้ว่าสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าทีปังกรทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ต่อเมื่อหมู่มหาชนเป็นอันมาก พากันอาราธนาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร ซึ่งทรงมีพระคุณบวรวิเศษให้ทรงพระมหากรุณาเสด็จมายังปัจจันตประเทศ จึงเกิดเหตุมหาโกลาหลเป็นการใหญ่ด้วยว่าฝูงชนทั้งหลายซึ่งมีความเลื่อมใสชื่นชมโสมนัสต่างก็พากันจัดแจงแต่งหนทางแผ้วถางเกลี่ยมูลพูนถม ระดมกันกระทำทางเป็นที่เสด็จพระพุทธดำเนินอยู่
ในขณะนั้น สุเมธดาบสผู้มีตบะอันสูง เพราะบรรลุถึง ฝั่งแห่งอภิญญาฌานสมาบัติเที่ยวจาริกมาทางอากาศกลางเวหา มองลงมายังพื้นพสุธา ได้เห็นประชาชนประชุมกันอยู่เป็นหมู่มาก แลดูหลากประหลาดรื่นเริงบันเทิงจิต น่าพิศวง ดาบสผู้มีฤทธิ์จึงเหาะลงมาจาก คัคนัมพรห้องเวหาหาว แล้วมีพจนะประภาษถามข่าวคราวชาวมนุษย์หมู่นั้นว่า
ดูกรท่านทั้งปวง มหาชนชวนรื่นเริงบันเทิงจิต ชวนกันประกอบกิจแผ้วถางปฐพีโสภโณภาส เพื่อบุคคลผู้ใดจะจรมา มหาชนทั้งปวงได้ฟังท่านดาบสถาม จึงแจ้งความว่า
ข้าแต่ท่านฤๅษี สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้อนุตรโลกนาถยอดบุคคลเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีใจเลื่อมใสในพระองค์เป็นยิ่งนัก จึงชักชวนกันแผ้วถางทางเพื่อให้เป็นที่เสด็จพระพุทธดำเนินณ สถลมารควิถีเพื่อที่จะได้เสด็จมาแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพวกเราชาวเมืองนี้
สุเมธาฤๅษีผู้มีฤทธิ์ เมื่อสดับพระพุทธนามแต่เพียงคำว่า สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบังเกิดขึ้นแล้วในโลกเท่านั้น ก็พลันเกิดปีติเป็นล้นพ้นสุดประมาณจึงมาจินตนาการว่า กาลนี้ควรที่ตัวเราจักหว่านพืชเพื่อผล ขณะนี้ก็เป็นมงคลสมัยอุบัติมี หาควรที่เราจะมาทำละเมินเสียไม่ ครั้นคำนึงจินตนาในใจด้วยอำนาจศรัทธากอบด้วยญาณโสมนัสฉะนี้แล้ว จึงกล่าวขออนุญาตชนเหล่านั้นว่า
แม้นท่านทั้งหลายถางทางถวายพระพุทธเจ้าละก็ ขอจงอนุญาตให้โอกาสแก่เราสักแห่งหนึ่งเถิด เรานี้เกิดศรัทธาปรารถนาจะทำทางถวายพระพุทธเจ้าบ้าง
ครั้งนั้น ชนทั้งหลายเห็นว่าท่านฤๅษีเป็นผู้มีฤทธิ์เดช เพราะสามารถเหาะเหินเดินมาโดยทางนภากาศได้ ก็เลยพากันชี้มือไปตรงบริเวณที่ซึ่งถากถางยากลำบากเพราะมีเปือกตมโคลนเลน เป็นบริเวณที่ต้องถมต้องหามูลดินมาเกลี่ยให้เสมอเป็นอันดี แล้วบอกอนุญาตแก่สุเมธฤๅษีว่า
แม้นท่านปรารถนาจะทำทางถวายแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าร่วมกับพวกเราในกาลครั้งนี้แล้วไซร้ ท่านก็จงทำบริเวณที่ตรงนั้นให้สำเร็จด้วยดีเถิด ท่านฤๅษี
สุเมธดาบสผู้มีใจเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถครั้นเขายกอนุญาตให้ทำทาง ณ สถานที่นั้นแล้ว ก็มิได้รอช้า อุตสาหะตั้งหน้าประกอบการโดยมีจิตวารรำพึงถึงพระพุทธนามว่าพุทโธ...พุทโธ...พุทโธ...อยู่เป็นนิตยกาลแผ้วถางสถานที่ให้เตียนโล่งเป็นอันดีแล้วก็เปลื้องหนังเสือที่รองนั่งออกผูกทำเป็นถุงกระทอห่อหิ้วมูลดินเอามาเทถมระดมสาดในที่ซึ่งเป็นที่ลาดลุ่มลึกเป็นเลนเหลวอยู่นั้นยังมิทันที่จะทำได้สำเร็จตลอด เหลืออยู่ยาวประมาณชั่วตัวบุรุษ ก็มีเสียงอุโฆษณาการกึกก้องป่าวร้องให้เป็นที่รู้กันว่า ได้เวลาที่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎพุทธทีปังกรศาสดา เสด็จพาพระขีณาสพสงฆ์มากมายมาใกล้จะถึง
เสียงศัพท์บรรเลงอื้ออึงด้วยสำเนียงทวยเทพสุภสุรคณานิกรเป็นถ่องแถวแนวสลอนด้วยมหาชนอเนกแน่น ทำปัจจุคมนาการทั้งนำเสด็จพระพุทธดำเนินมา บางหมู่ก็ประโคมดุริยดนตรีแตรสังข์กังสดาลฆ้องกลองก้องสนั่นศัพท์ แซ่ซ้องสาธุการเอิกเกริก โสมนัสหนักหนา ทั้งเทพยดาและมนุษย์ต่างก็มีกรประณมมิได้คลายเคลื่อนและละลานเลื่อนตามเสด็จพระพุทธดำเนินมา ฝูงเทพยดาก็ประโคมทิพยดนตรี หมู่มนุษย์ก็ประโคมดีดสีตีเป่าตามประสามนุษย์ดำเนินนำและตามเสด็จพระพุทธลีลาเทพยดาบางพวกก็โปรยปรายทิพยบุปผามีดวงดอกทิพยมณฑารพโกสุมเป็นประธานลอยเลื่อนเคลื่อนทั่วทั้งทิศานุทิศ ณ เบื้องบนนภากาศมนุษยชาติบางพวกก็ยกขึ้นซึ่งเครื่องสักการบูชาล้วนแต่เครี่องหอม แห่ห้อมล้อมจรลีตามเสด็จพระพุทธทีปังกรมาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ...
ที่มา : //bannpeeploy.exteen.com/20080129/entry
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2552 |
|
34 comments |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2552 20:44:14 น. |
Counter : 1397 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 19 พฤศจิกายน 2552 23:10:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 19 พฤศจิกายน 2552 23:16:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 20 พฤศจิกายน 2552 7:33:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 20 พฤศจิกายน 2552 8:10:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 20 พฤศจิกายน 2552 8:29:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: กัดหมอน (กัดหมอน ) 20 พฤศจิกายน 2552 9:03:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 20 พฤศจิกายน 2552 10:20:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: อิ่ม_Aim 20 พฤศจิกายน 2552 12:19:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 20 พฤศจิกายน 2552 12:49:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 20 พฤศจิกายน 2552 15:36:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: deeplove 20 พฤศจิกายน 2552 19:10:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 20 พฤศจิกายน 2552 20:30:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: tukta (tukta510 ) 20 พฤศจิกายน 2552 23:07:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: mastana 20 พฤศจิกายน 2552 23:10:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้วนforest IP: 118.172.92.155 21 พฤศจิกายน 2552 1:17:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV IP: 125.26.112.38 21 พฤศจิกายน 2552 15:44:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแอ๊ด 21 พฤศจิกายน 2552 18:51:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: พธู 22 พฤศจิกายน 2552 11:06:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV IP: 125.26.112.88 22 พฤศจิกายน 2552 12:08:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพท IP: 124.122.168.86 22 พฤศจิกายน 2552 17:39:32 น. |
|
|
|
|
|
|
เพียรฝึกตนใฝ่รู้ หลักธรรม
จิตเพ่งคิดจดจำ บ่มไว้
หมายเพียรมุ่งตัดกรรม วัฏฏะ
หวังสละจิตสุดท้าย ดิ่งเข้านิพพาน..
|
|
|
|
|
|
|
ขอเข้ามาอ่าน สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี ด้วยคนนะครับ
ขอโมทนาด้วยนะครับ
และจะขอคอยติดตาม ทุกๆ ตอนนะครับผม
ผมขออนุญาต นำเวลาตั้งแต่พระนางอธิษฐานขอเป็นนางแก้ว ดังนี้นะครับ
กัปแรกในต้นอสงไขยที่ 17 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
1. พระตัณหังกรพุทธเจ้า
2. พระเมธังกรพุทธเจ้า
3. พระสรนังกรพุทธเจ้า
4. พระทีปังกรพุทธเจ้า
กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 18 เป็นสารกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
5. พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 19 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
6. พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
7. พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
8. พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
9. พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 20 เป็นสารวรกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
10. สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า
11. สมเด็จพระปทุมะสัมพุทธเจ้า
12. สมเด็จพระนารทะสัมพุทธเจ้า
ช่วงเศษแสนมหากัป ของ อสงไขยปัจจุบัน
สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
13. พระปทุมมุตระพุทธเจ้า
สูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) 30,000 กัป
มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
14. พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า
15. พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
สูญกัป 60,000 กัป
วรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
16. พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
17. พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
18. พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
สูญกัป 24 กัป
สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
19. พระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า
สูญกัป 1 กัป
มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
20. พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
21. พระปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
22. พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
สูญกัป 60 กัป
มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
23. พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า
24. พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า
สูญกัป 30 กัป
กัปปัจจุบัน เป็น ภัทรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
25. พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า
26. พระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
27. พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
28. พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
และ ในอนาคตจักมีพระพุทธเจ้าอีกหนึ่งพระองค์ คือ
29. พระศรีอารียเมตตรัย นั่นเอง
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี ทรงใช้เวลาบำเพ็ญร่วมกับ พระสุเมธดาบสอย่างยาวนาน
ถึง 4 อสงไขย กับแสนมหากัป
สาธุ สาธุ สาธุ