ปริศนาบนศิลาที่หลับใหล : ปราสาทบาปวน
ไม่ใช่ปราสาทที่สร้างในรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่เป็นปราสาทที่พระองค์ใช้งานอย่างแน่นอน ด้วยเป็นปราสาทในเขตพระราชวัง ดังที่ปรากฏในบันทึกของโจวต้ากวนว่า
ท่ามกลางนครนี้มีปราสาททองคำหลังหนึ่ง ทางทิศเหนือสุดของปราสาททองคำห่างไปประมาณ 1 ลี้เศษ มีปราสาททองสำริดหลังหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปราสาททองมองดูแล้วมีดครึ้ม ต่อไปทางทิศเหนือประมาณ 1 ลี้เศษ เป็นพระราชนิเวศน์ ในพระตำหนักมีปราสาททองคำอีกหลังหนึ่ง (1 ลี้ประมาณ 500 เมตร)
ปราสาททองคำหลังแรกคือปราสาทบายน เพราะเป็นปราสาทประจำรัชกาล ดังนั้นปราสาทสำริดย่อมเป็นปราสาทบาปวน ที่สร้างในสมัยสุริยวรมันที่ 1 ส่วนปราสาททองคำอีกหลังอยู่ในพระราชวัง ควรเป็นปราสาทพิมานอากาศ ปราสาทบาปวนผมเคยเขียนถึงแล้ว แต่ตัวเองยังไม่เคยไป นี่เป็นครั้งแรก
สิ่งที่อยากให้เห็นคือ ทับหลังชิ้นต่างๆ ที่เรากำหนดอายุตามชื่อปราสาท ศิลปะบาปวน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการก่อสร้างปราสาทในไทยสามหลัง ซึ่งเป็นปราสาทที่มีความสวยงาม คือเมืองต่ำ บ้านพลวง และสระกำแพงใหญ่
ดังนั้น ผมจึงอยากให้เห็นปราสาทที่เป็นต้นแบบของศิลปะในยุคนี้กัน ระหว่างการชม ผมก็อยากจะเล่าเรื่องศาสนาที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น ที่เขียนไว้โดย โจวต้ากวน
ปันจี้ นุ่งห่มแบบสามัญชน แต่สังเกตได้ว่า มีด้ายสีขาว 1 เส้นห้อยคอ พวกปันจี้ที่รับราชการนั้นเป็นบุคคลสูงส่ง ตีความว่าน่าจะเป็นพราหมณ์ ด้วยมีสายยัญโญปวีตห้อยคอ และมีพราหมณ์ที่รับราชการในราชสำนัก
จู้กู โกนศรีษะนุ่งห่มเหลือง เปิดไหล่ขวาข้างเดียว เดินด้วยเท้าเปล่า ภายในอารามีพรุทธรูปของพระศากยมุนี นุ่งห่มสีแดงปั้นด้วยดินเหนียว พระพุทธรูปในปราสาทต่างออกไป หล่อด้วยสำริดทั้งสิ้น จู้กูเป็นพระภิกษุแน่ๆ ทั้งหมดฉันเพียงมื้อเดียวด้วย เนื้อปลาและเนื้อสัตว์ แต่ไม่เสพสุรา ในวัดไม่มีโรงครัว ภัตาหารได้จากชาวบ้านที่นำมาถวายจากบ้าน
ป๊ะซือเหว่ย นุ่งห่มเหมือนคนธรรมดา เว้นแต่คาดผ้าสีแดงหรือสีขาว 1 ผืน มีเทวสถานที่คับแคบกว่าวัดของชาวพุทธ ไม่บูชาสิ่งอื่นนอกจากศิลาก้อนเดียว ตีความว่าน่าจะเป็นพวกฤาษีที่บูชาศิวลึงค์ ซึ่งปฏิบัติตนเพื่อค้นหาโมกขธรรม
คนตายไม่มีโลงศพ ใช้เสื่อหุ้มและคลุมด้วยผ้า การเคลื่อนศพมีธงและดนตรีนำหน้า มีถาดโปรยข้าวตอกไปตลอดทาง หามไปที่เปลี่ยวนอกเมืองและทิ้งให้นกแร้ง สุนัขมากัดกิน ชั่วครู่เดียวก็หมดสิ้น เขาจะพูดว่า บิดามารดามีบุญจึงได้รับการตอบแทนเช่นนั้น
ในการตีความประวัติศาสตร์ศิลป์ของไทย ค่อนข้างแยกย่อยตามรัชกาล ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ 16 เรียกว่าศิลปะแบบคลังหรือพระราชวังหลวง ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 16 เรียกว่าศิลปะแบบบาปวน โดยต่างกันที่ศิลปะแบบคลัง ตรงกลางท่อนพวงมาลัยจะมีพวงอุบะแทรกอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดมาจากศิลปะแบบบันทายศรี ในขณะที่แบบบาปวนจะไม่มี
กลับมาที่ทับหลังชิ้นแรกถ่ายจากตัวปราสาทบาปวน ถ้ากำหนดอายุศิลปะ ผมจะบอกว่าคือแบบคลัง ในขณะที่ทับหลังชิ้นที่สองถ่ายจากประตูพระราชวัง ผมจะบอกว่าคือแบบบาปวน อ้าว มันตรงข้ามกันนี่นา ทบทวนอีกครั้ง
ทับหลังชิ้นที่หนึ่ง เป็นศิลปะแบบคลังดังนั้นควรไปอยู่ที่ประตู ในขณะที่ทับหลังชิ้นที่สองเป็นแบบบาปวน ดังนั้นควรไปอยู่ที่ตัวปราสาท เกิดอะไรขึ้นกับการตีความทับหลังด้วยยุคสมัยของประวัติศาสตร์ศิลป์
ถ้าเคยไปปราสาทเมืองต่ำ เมื่อมองไปที่ทับหลังจะเห็นทั้งสองแบบคละกัน ทางวิชาการไทยให้ชื่อสรุปว่า ศิลปะแบบคลัง-บาปวน ปราสาทหลังหนึ่งจะใช้เวลาสร้าง 100 ปี ครบทั้งสองศิลปะไม่น่าจะเป็นไปได้ ดูว่าการกำหนดอายุแบบนี้น่าจะมีปัญหา และคำตอบน่าจะเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
มีความนิยมในการแกะสลักทั้งสองแบบในช่วงเวลานั้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น การพบทับหลังสองแบบสลับที่กันก็จะได้คำตอบ เราไม่ควรแยกประวัติศาสตร์ศิลป์ในช่วงนี้เป็นคลังและบาปวนอีกต่อไป ควรเหลือเพียงยุคศิลปะแบบบาปวนในช่วงศตวรรษที่ 16 เพียงชื่อเดียว
ตามหานคราที่สาบสูญ : ปราสาทบาปวน
Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2560 |
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2560 9:03:21 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1718 Pageviews. |
|
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณSertPhoto, คุณนกสีเทา, คุณNoppamas Bee, คุณเจ้าหญิงไอดิน, คุณเจ้าการะเกด, คุณอุ้มสี, คุณ**mp5**, คุณเรียวรุ้ง, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณชีริว |
โดย: อุ้มสี วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:14:45:55 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:20:27:59 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:0:05:14 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:21:48:53 น. |
|
|
|
| |