|
กราบพระธาตุพูสี..ลาหลวงพระบาง...สู่วังเวียง
ออกจากวัดเชียงทอง ก็มุ่งหน้ามายัง "พระธาตุจอมพูสี หรือ พระธาตุพูสี" พระธาตุที่เราเห็นแต่ไกลมาตั้งแต่ย่างเข้าสู่ตัวเมืองหลวงพระบาง มีตำนานเล่าว่า อามะสะฤษีและโยทิกะฤษีสองพี่น้อง ได้เดินทางเสาะหาสถานที่สำหรับตั้งบ้านเมือง เมื่อมาเห็นชัยภูมิที่นี่ดี เป็นที่ราบกว้างและมีเนินเขาอยู่กลาง จึงเลือกเนินเขานี้เป็น "ใจเมือง" และกำหนดขอบเขตเมืองคือ
"...ทิดเหนือเอากกทอง-สบคานเป็นเขด ทิดตาเว็ดออก เอาพูซ้างพูซวงเป็นเขด ทิดใต้เอาน้ำดงเป็นเขด และทิดตาเว็นตกเอาพูท้าวพูนางเป็นเขต..."
มีคำพูดติดปากชาวหลวงพระบางว่า "ไปหลวงพระบาง ถ้าบ่ได้ขึ้นพูสี ก็เท่ากับบ่ได้ไปหลวงพระบาง"
เอาซิ...อีแบบนี้พวกเราจะท้อได้ไง บันไดแค่ 328 ขั้นเท่านั้นเอง เดินลากขาขึ้นปรางค์นครวัดมาแล้ว...แค่นี้ จิ๊บจิ๊บ ค่ะ ว่าแล้ว พวกเราก็ตระเตรียมน้ำคนละขวด แล้วก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ขาขึ้น...ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงไว้...เลยไม่ค่อยได้ยกกล้องเก็บภาพ เพื่อนๆ กระจัดกระจายไต่ขึ้นมารายทาง คุณไกด์ เดินขึ้นมาด้วยกัน เพราะต้องมาจัดการเรื่องค่าเข้าชม บนลานพักขา เมื่อพ้นบันไดขั้นที่ 138 มาแล้ว อีก 190 ขั้น พวกเราก็ไต่ขึ้นมาต่อ ไกด์หายไปแล้ว....พี่ติ๊กยังไม่เคยมา..แต่ก็ไม่ยักตามขึ้นมาด้วยกัน
ทางขึ้นพระธาตุร่มรื่นด้วยต้นจำปาลาว ...ซึ่งจะออกดอกสะพรั่งในช่วงเดือนเมษายน ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ....ดูกิ่งก้านไปพลางๆ ละกัน
เมื่อขึ้นมาถึงยอดพูสี...ก็จะพบกับพระธาตุพูสี ซึ่งสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2347 ในรัชสมัยเจ้าอนุรุทธราช และบูรณะเมื่อปีพ.ศ.2457 โดยหุ้มองค์พระธาตุด้วยแผ่นทองเหลืองฉาบทองคำ เป็นองค์พระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมประดับยอดด้วยเศวตรฉัตรสำริด 7 ชั้น ถือเป็นพระธาตุสำคัญของเมืองหลวงพระบาง เป็นมิ่งขวัญของชาวหลวงพระบาง
เมื่อก่อนนั้น จะมีประเพณีการย่ำกลองบอกโมงยาม จากหอกลองบนยอดพูสี เพื่อบอกเวลาแก่ชาวเมืองทุกๆ 1 ชั่วยาม หรือหากมีเหตุการณ์ร้ายแรงฉุกเฉินเกิดขึ้นในเมือง เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ หรือมีข้าศึกบุกรุก ก็จะตีกลองเพื่อเตือนประชาชน ...ปัจจุบันประเพณีย่ำกลองนี้ เลิกไปแล้ว
จากยอดพูสีมีทางเดินโดยรอบองค์พระธาตุ ซึ่งเราจะมองเห็นตัวเมืองหลวงพระบางได้ทั่วทั้งหมด และทุกเย็นก็จะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกดินบนยอดพูสีแห่งนี้ ซึ่งพวกเรา "อด" ....โทษคนขับรถ รึว่าโทษถนนอันคดเคี้ยวดีเนี่ย...
พวกเราพักเหนื่อยกันบนยอดพูสี...
ไหว้พระธาตุ ทำบุญ เสี่ยงเซียมซี ถ่ายรูปทิวทัศน์กันตามอัธยาศัย ..
ใกล้เวลานัดหมาย...ก็พากันค่อยๆ เดินลง...เบื้องหน้ามีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกคู่..เดินจูงมือกันกระหนุงกระหนิง
ลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย...ยังเหลือเวลา เรากวาดตามองไปรอบๆ ก็ไปสะดุดเอาวัดเก่าๆ เชิงพูสี.. เห็นสีหน้า (หน้าบัน) เป็นไม้แกะสลักสวยงามมาก....
ไม่เห็นป้ายบอกชื่อวัด...เดินไปดูใกล้ๆ มีป้ายติดหน้าสิมว่า เข้าได้ไม่ต้องจ่ายปี้... เราก็เลยเมียงมองเข้าไป....วัดนี้มีจิตรกรรมฝาผนังด้วยล่ะ...ดูมาหลายวัดเพิ่งเห็นที่วัดนี้แหละ
เวลาเหลือน้อย ก็เลยได้แต่..มองจากภายนอก ไหว้พระจากภายนอก..แล้วจากมา
กลับไปเก็บกระเป๋า...เช็คเอ้าท์...แล้วก็ไปกินข้าวกลางวัน มื้อนี้...อิ่มอร่อยกันด้วยขนมจีนแกงเขียวหวาน เรียกเติมขนมจีนไป 4 จานถ้วนๆ ....รายการกับข้าวอื่นๆ เกือบเหลือ แปลว่ากินหมด นั่นแหละ จากนั้นก็มุ่งหน้า ไต่ข้ามเขากันอีกรอบ .... พวกเราก็อาศัย คอนเสิร์ตเป็นตัวช่วยอีกตามเคย...รถคันนี้มีแผ่นคอนเสิร์ตให้เลือกดูเยอะ แต่เราเป็นกังวลเรื่องล้อรถมากกว่านะ...กลัวจะเดินทางไปไม่ถึงเชิงเขาอ่ะ เพราะตอนนี้ พี่ติ๊กไม่เหลือล้อสำรองแล้วนะ
ระหว่างทางก็ยังคงมีวิวทิวทัศน์เทือกเขาสูง สายน้ำกว้างสลับเนินทราย มีเทือกเขาหินปูนอันงดงามให้ทอดทัศนา สมญานาม "กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว" เป็นนิกเนมของ "วังเวียง"
แวะเข้าห้องน้ำบนยอดเขาบริเวณ "กิ๋วกระจำ"... หมอกเยอะ..อากาศเย็น... พวกฝรั่งก็ชอบนัก...ไต่กันขึ้นมาพักในเกสท์เฮ้าส์บนยอดเขา....
แล้วพวกเราก็ถูกล่อลวงด้วย พระอาทิตย์ตกบนยอดเขา...อีกแล้วครับท่าน อ้อยอิ่งกันไม่ได้...เสร็จธุระในห้องน้ำ ก็รีบขึ้นรถ เดินทางต่อ
และตามเคย...ถนนหนทางไม่ได้ดีขึ้นในวันสองวัน...ซะหน่อย ทางโค้งยังคงโค้งหักศอกแบบเดิม เพราะฉะนั้น พี่ติ๊กเหยียบเต็มที่ก็ได้แค่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นเอง พระอาทิตย์คล้อยต่ำให้เราเสียดายไปเรื่อยๆ .....
ผ่านไร่ส้มบนเขาเขตวังเวียงแล้ว...พระอาทิตย์ก็ลับเหลี่ยมเข้าไปเรียบร้อย ไม่ทันแล้วนี่...งั้นแวะซื้อส้มกันดีกว่า ส้มจากวังเวียง รสชาติที่สุดในส.ป.ป.ลาว....คุณบุณรีบบรรยายสรรพคุณ ลองไปชิม...ก็เห็นด้วย..เพื่อนๆ ก็เลยซื้อกันคนละโล สองโลบ้าง ติดรถไว้รองท้องระหว่างเดินทาง
ค่อยๆ เดินทางมาตามถนนเรียบบ้าง เป็นคลื่นบ้าง จนลงเขามาได้โดยไม่มีคนเมารถเช่นเคย..เก่งกันจังเข้าที่พัก ล้างหน้าล้างตา....แล้วไปแอบดูการแสดงของเด็กชาวเขา ที่ร้านอาหารในโรงแรมจัดให้แขกอีกกลุ่ม แล้วพวกเราก็นั่งรถออกมากินข้าวที่ร้านอาหารในตัวเมืองวังเวียง... มีโฆษณาก่อนอาหารว่า "โรตีวังเวียง" ...อร่อย.. พวกเราก็เลยต้องกินแบบขยักท้องไว้หน่อยนึง...เผื่อๆ ไว้ มื้อนี้ ยังคงเป็นอาหารไทย....มีของหวานแถมมา คือ เค้กวันเกิดของกลุ่มคนไทยโต๊ะข้างๆ นั่นเอง
จากร้านอาหารเดินตรงไปตามถนน ก็ถึงที่พักแล้ว....ไม่มีทางหลง ก็เลยมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า...พวกเราจะท่องราตรีแล้วเดินกลับที่พักกันเอง
เมืองวังเวียง เป็นเมืองเล็กๆ ในเส้นทางเวียงจันทน์-หลวงพระบาง นักท่องเที่ยวฝรั่งนิยมพักที่นี่กันมาก จนถนนกลางเมืองเส้นนี้มีสภาพคล้ายๆ ย่านถนนข้าวสาร มีร้านอาหารแบบนอนกินด้วย...คือมีเบาะและผนังเอนๆ ให้พิงหลังลงนอนดูทีวีได้เลยอ่ะนะ ไม่มีใครชี้พิกัด "ผับ" ....ก็เลยมาสนใจรถเข็นข้างทางแทน
รถเข็นกระจายตัวห่างๆ ตลอดแนวถนน...อาหารที่ขาย คือ โรตี แซนวิชหรือบาเก็ต ....สารพัดไส้ อารมณ์ประมาณเดียวกับ รถเข็นข้าวไข่เจียวที่ถนนข้าวสารเลยล่ะ ไม่รู้ว่าเจ้าไหนอร่อย ...ก็เลยตกลงกันว่า ซื้อร้านละแผ่นละกัน
โรตีราคาแผ่นละ 10000 กีบ...จะเป็น กล้วย-ไข่-นม รึว่า ช็อคโกแลต-ถั่ว-นม รึว่า น้ำผึ้ง-ช็อคโกแลต-นม หรืออื่นๆ อีกมากมาย เลือกได้...ที่แปลกว่าโรตีเมืองไทยคือ โรยกะทิผงด้วยล่ะ
แผ่นแรก จากรถเข็นแรกเมื่อข้ามถนนจากร้านอาหารออกมา ขอธรรมดากันก่อน กล้วย-ไข่-นม ราคานี้ตกราว 40 บาท...ตอนฟังก็ว่าแพง...แต่พอเห็นแม่ยิงหั่นกล้วยหอมขนาดย่อมๆ 2 ลูก เราก็ว่า ...แบบนี้ไม่แพงหรอก กรรมวิธีการทำไม่แตกต่างกับบ้านเราหรอกน่า....ไม่ต้องสงสัย หั่นแล้วแบ่งกันจิ้มคนละชิ้นสองชิ้นก็หมด
เดินต่อมาอีกหน่อย....รถเข็นนี้มีบาเก็ตด้วย... งั้นแผ่นที่สอง ก็ขอโรตีช็อคโกแลต-ถั่ว-นมละกัน....เพื่อนอีกคนลองสั่งบาเก็ตด้วย โรตี 10000 กีบเท่ากัน บาเก็ต 15000 กีบ...ถ้าไส้มากก็ราคาสูงตามไปด้วย แบ่งปันกันชิมแล้วเดินต่อมาอีก....
คราวนี้แวะรถเข็นคนขายผู้ชายบ้าง......แผ่นที่สาม เราสั่ง น้ำผึ้ง-กล้วย-นม ....คนขายทำไปก็ชวนคุยไป ซักประวัติกันไป ทราบว่า เป็นคนจำปาสัก...มาทำงานเสิรฟที่วังเวียง... ทำไปทำมาก็เรียนทำโรตีกับพวกแขก แล้วก็ลาออกมาขายโรตี.... ชวนไปเที่ยวลาวใต้ บอกน้ำตกสวยมาก มีวัดที่เป็นมรดกโลกด้วย >> ไม่ต้องชวนมากก็ได้ ยังไงก็อยู่ในแผนที่จะไปเที่ยวอยู่แล้ว
คุยพลางก็ ถามว่า ใส่นั่น เติมนี่ รึป่าว....เราก็เลยบอกว่า ถ้าราคาไม่เปลี่ยน ก็ใส่ๆ ไปเถอะ . ก็เราเหลือแบงก์ 10000 กีบติดกระเป๋าใบสุดท้ายแล้ว คนขายใจดี ใส่ให้หลายอย่าง แต่งให้สวยเชียว ...เราก็เลยได้ โรตีกล้วย ใส่ไข่ ใส้น้าผึ้งกับช็อคโกแลต โรยโอวัลตินและกะทิผง สวยงามและอร่อยเป็นพิเศษ ขอบใจหลายเด้อ
แต่ละแผ่นที่ชิมและกิน...แป้งบางๆ รสชาติไม่ต่างกันเล้ยยยยยยยย อร่อยดี...อร่อยจน...ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย.... กินโรตีกันแล้ว กินบาเก็ตกันแล้ว บางคนก็โทรศัพท์กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินกลับที่พัก ....ผ่านร้านตัดผม...เก๋เชียว
อีกกิจการ เราชอบจัง...เป็นร้านอาหารแบบนอนกินได้...และฉายหนัง (DVD แผ่น) เป็นรอบ คืนนึงมี 2 เรื่อง 2 รอบ เหมือนเป็นโรงหนังประจำเมืองเลยล่ะ
เดินกอดอกชมเมือง เพราะอากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะ ....จนถึงที่พัก อาบน้ำ...เปิดทีวีทันดูหนังญี่ปุ่น (เรื่องอะไรไม่รู้) พากษ์ภาษาลาว เสียงพระเอกหล่อเชียว....แต่ดูหน้าและฟังเสียง ทะแม่งๆ ชอบกล ก็เลยปิดไฟ...นอนดีกว่า พรุ่งนี้เดินทางต่อ...ใกล้จะได้กลับบ้านกันแล้ว
Create Date : 24 ธันวาคม 2551 |
Last Update : 25 ธันวาคม 2551 0:13:54 น. |
|
9 comments
|
Counter : 2612 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: นิติ สว่างทรัพย์ (mlmboy ) วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:1:39:47 น. |
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:10:19:27 น. |
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:13:24:15 น. |
|
โดย: แม่ไก่ วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:13:40:16 น. |
|
โดย: หมูย้อมสี วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:16:17:28 น. |
|
โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:16:52:15 น. |
|
โดย: หนูหล่อ (nulaw.m ) วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:17:47:40 น. |
|
โดย: chanpanakrit IP: 115.67.121.191 วันที่: 28 ธันวาคม 2551 เวลา:14:20:49 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|