|
ลำปาง : ชมเงาพระธาตุ - เที่ยววัดพม่า
หลังจากชื่นชมความงดงามของลวดลายศิลปะช่างล้านนาที่ วัดเสลารัตนปัพพตารามหรือวัดไหล่หินแก้วช้างยืน (วัดไหล่หินหลวง)กันพอสมควรแล้ว สังเกตดูฟ้า.. เริ่มเห็นเมฆขาว ฝนขาดเม็ดซะที...คำอธิษฐานเริ่มจะเป็นผลแล้วล่ะ พวกเราก็เดินทางต่อมา ไม่นานนัก (อีกแล้ว) ใจเราว่าไม่นาน ก็เพราะระหว่างทางมีอะไรต่อมิอะไรให้มอง และในรถก็มีลิ้นจิ่ให้แกะกินอยู่ตลอดทาง
ไกด์และคนขับพากันสับสน เลี้ยวรถผิดทางไปหน่อย ก็เลยต้องถามทางชาวบ้าน แล้วเราก็มาถึง วัดพระธาตุจอมปิง จนได้
ตามตำนานกล่าวว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งราชอาณาจักรล้านนาไทย ว่าเป็นวัดคู่กันกับวัดพระธาตุลำปางหลวง และมีสิ่งที่น่าพิศวงเช่นเดียวกัน คือการเกิดเงาสะท้อนเป็นภาพสีธรรมชาติขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ ผ่านรูเล็กบนหน้าต่าง มาปรากฎบนพื้นภายในพระอุโบสถตลอดเวลาที่มีแสงสว่าง
แต่ก่อนอื่น เข้าไปไหว้พระในพระวิหารกันก่อน (เพิ่งสังเกตว่า วิหารสร้างใหญ่กว่าโบสถ์นะ)
นายทวารบาลวัดนี้ ขี้เกียจนะ..นั่งเฝ้าประตู หน้าตาก็ไม่รับแขกเอาซะเลย
พระประธานในพระวิหาร
ขอพรให้พระคุ้มครอง เสี่ยงเซียมซี ได้ผลไม่ค่อยดีก็เลยวางใบทำนายคืนที่เดิม ทำบุญบำรุงน้ำไฟให้วัดแล้ว ก็พากันมุ่งหน้าไปยังพระอุโบสถ ...
อุโบสถวัดพระธาตุจอมปิง เป็นอุโบสถขนาดเล็ก ไม่ปรากฏปีพุทธศักราชที่สร้างแน่ชัด แต่จากคำบอกเล่าสืบต่อกันกล่าวว่า อุโบสถหลังนี้ได้รับการบูรณะเมื่อพ.ศ.2501
อุโบสถวัดพระธาตุจอมปิง มีขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 14 เมตร หลังคาซ้อน 2 ชั้น บริเวณหน้าบันเหนือซุ้มประตูทางเข้ามีการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน ฝีมือช่างท้องถิ่น ลักษณะที่โดดเด่นของพระอุโบสถวัดพระธาตุจอมปิง คือ การปรากฏเงาพระธาตุภายในอุโบสถ โดยผ่านช่องหน้าต่างขนาดเล็กสะท้อนลงมายังพื้นอุโบสถ บังเกิดภาพเสมือนจริงคล้ายภาพภาพถ่ายพระธาตุแต่กลับหัว ค้นพบครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช 2513 เวลาขณะนั้นใกล้จะเที่ยงแล้ว คุณตาที่ดูแลโบสถ์อยู่...บอกว่าช่วงเวลากำลังดี ...แดดก็กำลังดี เข้าไปในโบสถ์ปิดประตูให้สนิท ปรับสายตาในความมือนิดนึง แล้วก็ได้เห็นภาพอัศจรรย์บนพื้นโบสถ์
ภาพที่ปรากฎบนพื้น เป็นภาพพระธาตุกลับหัว และเป็นภาพสีด้วย..แปลกจัง พอเลื่อนโต๊ะขึงผ้าขาวเข้ามาแทนที่ ก็ได้เห็นภาพไม่กลับหัว และขนาดขยายใหญ่ขึ้น ตามระยะใกล้ไกล
มีนักท่องเที่ยวทยอยเวียนเข้าเวียนออกในพระอุโบสถเพื่อชมภาพพระธาตุนี้ คุณตาก็อธิบายวนไปเวียนมาด้วยภาษาคำเมือง ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง จับใจความได้ว่า พอพบภาพแรกที่หน้าต่างแรก ...หลายปีถัดมา ก็มีคนพบภาพนี้จากหน้าต่างที่ 2 และที่ 3 อีกด้วย
และช่วงเวลาที่ภาพจะชัดเจน และเห็นเป็นสีทองเปล่งประกายงามๆ คือเวลาบ่าย 4 โมง เข้าใจว่า น่าจะเป็นช่วงที่พระอาิทิตย์ลดระดับลงและทอแสงกระทบองค์พระธาตุในมุมสวยพอดี แต่พวกเราไม่มีเวลาอยู่รอชม ไว้คราวหน้านะคะ
เราพากันออกจากโบสถ์มาไหว้พระธาตุและเดินชมรอบๆ บริเวณ มีพิพิธภัณฑ์เก็บของเก่าที่พบขณะบูรณะซ่อมแซมด้วย เป็นเครื่องสัมฤทธิ์เยอะมาก แสดงว่า พื้นที่บริเวณนี้รุ่งเรืองมานานแล้ว ตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์โน้นเลยนะ
ท้องร้องเตือนแล้ว ...ก็เลยต้องลดกล้องลง แล้วรีบเดินตามหมู่คณะ ขึ้นรถ มุ่งหน้า...หาร้านอาหาร ได้ร้านลาบ ส้มตำ ก็ปั้นข้าวเหนียวกันเพลิน ท้องอิ่ม...ก็เที่ยวต่อ
ดูวัดแบบล้านนากันมาตลอดเช้าแล้ว พี่ไกด์กิตติมศักดิ์เลยพาชมวัดศิลปะพม่าบ้าง
วัดศรีรองเมือง เดิมชื่อว่า วัดท่าคะน้อยพม่า สร้างขึ้นในพ.ศ.2443 เป็นหนึ่งในสามวัดแบบพม่าภายในเมืองลำปาง โดยมีพระวิหารไม้สักทองที่สวยงามที่สุดในจังหวัดลำปาง เหมือนวิมานของพระอินทร์ ใช้เวลาสร้าง 7 ปีจึงแล้วเสร็จ (พ.ศ.2448-2455) ลักษณะวิหารแบบพม่าที่เด่นชัดคือ การสร้างหลังคาซ้อนกันเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันขึ้นไปจนถึงส่วนยอด 5 ชั้นบ้าง 7 ชั้นบ้าง ลักษณะโครงสร้างหลังคาเช่นนี้เรียกว่า "พญาธาตุ" หรือ "เปียะตั๊ด" ในภาษาพม่า จะสร้างเฉพาะพระราชวังและศาสนสถานที่สำคัญ เป็นสัญลักษณ์ถึงชั้นของสวรรค์
ภายในพระวิหารประดิษฐานพระประธานไว้ที่ตำแหน่งใต้เรือนยอด ซึ่งเปรียบได้ดั่งศูนย์กลางของจักรวาล
พระประธาน พระพุทธรูปไม้แกะสลักแบบพม่า
ส่วนการตกแต่งเสาทุกต้นในวิหาร ซึ่งใช้กระจกสลับสี ลวดลายทองทั้งแต่โคนเสาถึงปลายเสาตามศิลปะแบบพม่า
ประตูบานเฟี้ยมสีสันสดใส
ภาพวาดและลายฉลุไม้
น่าทึ่งกับความงามแบบพม่าเต็มรูปแบบที่ปรากฎอยู่ทั่วไปในวิหารนี้ แต่ภายในความงดงาม ย่อมมีความเสื่อมโทรม ผู้ดูแลท่านหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นลูกหลานของคนในพื้นที่นี่ เล่าว่า วัดทรุดโทรมลงมากแล้ว ...แต่ไม่มีปัจจัยมาบูรณะ ขาดการสนับสนุนจากราชการ ตอนนี้มีการใช้เสาไม้ค้ำโครงหลังคาไว้ ด้านใต้ถุนก้ค้ำเช่นกัน
ถ้าไม่ค้ำไว้ มีหวังทลายลงมานานแล้วล่ะ
ส่วนลายฉลุไม้ที่ประดับหลังคา ก็สึกกร่อน จะหล่นมิหล่นแหล่หลายจุดมาก
พวกเรามองดูแล้วก็ทำได้แค่เพียงบริจาคเงินไว้ ... กลับมาเล่าต่อ บอกต่อ เผื่อใครผ่านไปเที่ยวแถวลำปาง ก็แวะไปชมวัด ไหว้พระ และบริจาคบำรุงวัดกันบ้าง .... หากลำปางกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวขึ้นมา ...ก็คงมีเงินอุดหนุนเพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์จากภาครัฐบ้าง
ที่เราแปลกใจ และไม่มีใครให้คำตอบคือ ทำไมพระอุโบสถจึงเป็นแบบตะวันตก
แต่พระเจดีย์เป็นแบบล้านนา ...ไม่แปลก
คงเป็นเรื่องของศิลปะและวัฒนธรรมที่ผสมผสานกลมกลืนของผู้คนในช่วงเวลานั้น ก็อาจเป็นได้
ออกจากวัดศรีรองเมือง ด้วยความหดหู่เพราะอยากช่วยมากกว่าที่บริจาคไป แต่เมื่อยังทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ....ก็อาศัยช่องทางเครือข่าย บอกกันต่อๆ ไป
Create Date : 08 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 17:48:39 น. |
|
13 comments
|
Counter : 2007 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: nikanda วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:15:32:08 น. |
|
โดย: ภาวันต์ วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:15:34:46 น. |
|
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:16:07:12 น. |
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:17:57:26 น. |
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:22:33:05 น. |
|
โดย: BeCoffee วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:22:57:07 น. |
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:23:48:47 น. |
|
โดย: Yolanrita วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:0:03:25 น. |
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:6:53:43 น. |
|
โดย: http://twitter.com/wiina IP: 58.8.246.96 วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:14:41:06 น. |
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:15:38:16 น. |
|
โดย: mutcha_nu วันที่: 14 มิถุนายน 2552 เวลา:23:10:19 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|
แต่ตามไม่ทันบล็อกท่องเที่ยวของคุณนัทธ์
มีเวลาว่างๆแล้วจะตามดูเป็นแนวทางค่ะ
ใกล้จะกลับไทยแล้ว..กำลังมองหาที่เที่ยวเลย