|
วัดวิชุนราช-วัดอาฮาม-วัดเชียงทอง
อิ่มบุญอิ่มอาหารเช้า ก็เริ่มเที่ยวกันต่อได้แล้ว มาหลวงพระบางทั้งที จะไม่เที่ยววัดได้ไงกัน... สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในตัวเมืองหลวงพระบางก็คือ วัด ผ่านเส้นทางไหน ก็จะเห็นวัดแทรกตัวอยู่ทุกครั้งทื่เลี้ยวรถ เหมือนกับกรุงเทพมหานครบ้านเรานั่นแหละ... เพียงวัดที่นี่ ไม่มีตึกระฟ้าบดบังความงามของยอดช่อฟ้า ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกฎ เพื่อรักษาสถานภาพ "เมืองมรดกโลก" การปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งการสร้างขึ้นใหม่ ต้องได้รับอนุญาตจากทางการซะก่อน และมีการกำหนดรูปแบบ และความสูงด้วย คือ ถ้าสร้างแบบหลวงพระบาง หรือแบบลาว ...ก็ผ่านง่ายหน่อย แต่ถ้าจะสร้างตึกแบบฝรั่ง....ก็ต้องพิจารณากันนาน และเพราะความเข้มงวดแบบนี้....เราจึงได้เห็น "เมืองมรดกโลก" ที่ยังรักษาสภาพความเป็นอยู่จริงเหมือนครั้งที่เคยเป็นมาในอดีต ต่างการเมืองศรีสัชณาลัย เมืองสุโขทัย ของบ้านเรา ที่เหลือแต่ซากปรักหักพังไว้ให้เราจินตนาการถึงความรุ่งเรืองที่เคยเป็นมา วัดแรกที่เข้าชม คือ วัดวิชุนราช พระเจ้าวิชุนราช ทรงสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2046 เพื่อประดิษฐานพระบางที่อัญเชิญมาจากเมืองเวียงคำ ในสมัยฮ่อบุกปล้นเมืองหลวงพระบาง วัดวิชุนราชถูกเผาทำลาย จนถึงรัชสมัยพระเจ้าสักกะรินจึงได้บูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่อีกครั้งในปีพ.ศ. 2457 โดยมี อองรี มาร์แชล นายช่างฝรั่งเศสผู้เคยบูรณะนครวัดเป็นแม่งาน
ตัวสิมหรือพระอุโบสถเป็นงานแบบสกุลช่างไทยลื้อ หลังคาลาดคลุมทั้งสี่ด้าน ระเบียงด้านหน้ามีชายคาใหญ่ยื่นลงมาคลุม ทำให้สิมลักษณะนี้ไม่มีหน้าบัน
ช่อฟ้าเยอะๆ แบบนี้แสดงว่าเป็นวัดกษัตริย์สร้าง
ตอนที่พวกเราเดินทางไปถึง เป็นช่วงเวลาที่มีพิธีกรรมสงฆ์ในพระอุโบสถค่ะ ก็เลยเข้าไปกราบพระประธานไม่ได้ แต่ขอแอบดูหน่อยเถอะนะ ....ก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ปีนเก้าอี้ส่องกล่องอยู่ก่อนเรานี่นา
ภายในบริเวณวัดวิชุนราช มีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจอยู่ด้านหน้าวัด นั่นคือ พระธาตุหมากโม ....เป็นเจดีย์ปทุม หรือ พระธาตุดอกบัว แต่ที่เรียกว่า หมากโม ก็เพราะเห็นว่ามีรูปทรงคล้ายแตงโมผ่าครึ่งหรือทรงโอคว่ำ พระนางพันตีนเซียง พระมเหสีพระเจ้าวิรุนราชซึ่งเป็นชาวพวน เมืองเชียงขวาง โปรดให้สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2057
รูปทรงจริงๆ ขององค์ธาตุที่ตั้งใจจะสร้างนั้น ก็จะคล้ายกับลักษณะของพระธาตุพนม... มีแบบจำลองพระธาตุออกนี้ (หากสร้างเสร็จ) จัดแสดงให้ดูที่หอพิพิธภัณฑ์ ที่สร้างไม่เสร็จก็เพราะมีศึกประชิดเมืองนั่นแหละ
ช่วงปล่อยเดินเที่ยวถ่ายรูป เราก็เดินวนไปรอบสิม แล้วก็เดินผ่าน "ซุ้มประโขง" ตรงรอยต่อของเขตพัทธสีมาเข้าสู่เขตของ "วัดอาฮาม"
ซุ้มประตูโขงวัดวิชุนราชนี้ เป็นซุ้มประตูที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาซุ้มประตูที่เหลืออยู่ในหลวงพระบาง และเป็นลักษณะของวัดแบบล้านนาและล้านช้างในอดีต
"วัดอาฮาม" เป็นวัดเล็กๆ เป็นสถานที่เก็บ "ปู่เยอ-ย่าเยอ" สร้างโดยพระเจ้ามันราชเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2361 ตรงบริเวณที่เจ้าฟ้างุ้มตั้งหอเสื้อเมืองเมื่อครั้งสถาปนา นครศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวจุดที่ตั้งวัดจึงถือว่าเป็นสะดือเมืองของหลวงพระบาง
นี่ก็วัดกษัตริย์สร้างนะ แต่ไหงช่อฟ้าเล็กนักก็ไม่รู้...
หมดเวลาแล้ว ก็มารอที่จุดนัดหมายหน้าวัด เพื่อเดินทางต่อ
สถานที่ต่อไป คือ วัดเชียงทอง พลาดไม่ได้เชียวล่ะ วัดเชียงทองสร้างขึ้นระหว่างปีพ.ศ.2102 - 2103 ในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปเวียงจันทร์ เป็นวัดที่มีความโดดเด่นที่สุดบนแผ่นดินลาว และถือเป็นตัวแทนที่สมบูรณ์ของศิลปะสกุลช่างล้านช้าง และวัดนี้เป็นเพียงวัดเดียวในเมืองหลวงพระบาง ที่ไม่ถูกพวกฮ่อเผาในการศึกเมือปีพ.ศ.2428
นักท่องเที่ยวเยอะมาก จนเราไม่สามารถจะหามุมถ่าย "สิม" ที่เหมาะใจเราได้ ก็เลยได้แต่ถ่ายเจาะ เป็นมุมๆ ไป
สิมเป็นสถาปัตยกรรมล้านช้างที่สมบูรณ์แบบ หลังคาซ้อนสามชั้น เรียกว่าหลังคาปีกนก ป้านลมอ่อนช้อยโค้งยาวเกือบจรดฐาน เป็นศิลปะแบบหลวงพระบางแท้ๆ ทั้งภายนอกและภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลายรดน้ำ ใช้เทคนิคลงรักปิดทอง ที่ชาวลาวเรียกว่า "พอกทอง"
ด้านหลังสิมมีลายประดับกระจกสีเป็นรูปต้นไม้ใหญ่ หมายถึงต้นทองหรือต้นงิ้วเนื่องจากบริเวณนี้เป็นป่าต้นทองมาก่อน ชื่อเมืองเชียงทองและชื่อวัดเชียงทองก็มาจากป่าต้นทองนี้ เล่ากันว่า เมือร้อยกว่าปีก่อนมีต้นทองขนาดสามสีคนโอบขึ้นอยู่ในบริเวณวัด เมือพระเจ้าศรีสว่างวัฒนาได้ปฏิสังขรณ์วัด จึงให้ช่างประดับดอกดวงติดแก้วสีไว้หลังสิม เพื่อเป็นที่ระลึก
เยื้องกับด้านหน้าของสิมเป็น "โรงเมี้ยนโกศ" เป็นที่เก็บพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และราชรถ สร้างเมือปีพ.ศ.2504 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ ด้านหน้าเป็นงานแกะสลักไม้เรื่องรามเกียรติ์ ที่งามมากกกกกกกกก ฝีมือแกะสลักเป็นฝีมือเพี้ยตัน
ด้านหลังสิมมีวิหารน้อยที่สำคัญสองหลัง หนึ่งในนั้น "หอพระม่าน" พระพุทธรูปสำคัญอีกองค์หนึ่งของชาวหลวงพระบาง หอนี้จะเปิดเพื่ออัญเชิญพระม่านออกมาให้ประชาชนสรงน้ำกันเฉพาะในช่วงสงกรานต์เท่านั้น และจะต้องกระทำการสรงน้ำพระม่านเป็นองค์สุดท้าย เพราะหากอัญเชิญออกมาไม่ถูกเวลา จะทำให้อากาศแปรปรวน และออกอัญเชิญออกมาในขณะที่วัดอื่นๆ ยังสรงน้ำพระพุทธรูปประจำวัดนั้น รัศมีของพระม่านจะทำให้รัศมีพระพุทธรูปองค์อื่นๆ หมองไป
ตัวหอนี้ ตกแต่งด้วยกระจกสีเป็นเรื่องราวนิทานพื้นบ้าน และวิถีชีวิตชาวหลวงพระบาง ลักษณะการประดับนี้ ชาวลาวเรียกว่า "ประดับดอกดวง" สร้างขึ้นเมื่อครั้งบูรณะวัดเชียงทองครั้งใหญ่เมื่อปีพ.ศ.2471
เราชอบศิลปะการประดับดอกดวงของช่างลาวนะ เป็นเรื่องเป็นราว ต่างจากการประดับกระจกในงานสถาปัตยกรรมของไทย
แต่ความแวววาว สะท้อนแสงแดดเนี่ย สู่งานช่างบ้านเราไม่ได้จริงๆ เราดูภาพถ่ายฝีมือตัวเอง เทียบกับภาพที่เห็นในนิตยสารที่ผ่านก่อนเดินทาง ช่างต่างกันอะไรอย่างนี้ ....
แต่นี่คือ สภาพจริงๆ ของวัดเชียงทอง สีสันไม่ฉูดฉาดบาดตาอย่างที่เคยเห็น นี่ถ้าแต่งภาพเป็นนะ ...รับรอง...จะงามเนี๊ยบยิ่งกว่านี้ ถึงจะไม่สดใสแบบวัดในกรุงเทพฯ แต่ลักษณะศิลปะอย่างนี้ ก็ไม่มีให้เห็นตามวัดในกรุงเทพฯ อีกเช่นกัน
ใช้เวลาที่วัดเชียงทองนานกว่าที่อื่นๆ เพราะสถาปัตยกรรมงามๆ มีให้ชมเยอะ เรื่องเล่าก็แยะ...คุณบุญเล่าแล้ว...ก็ไปฟังไกด์กลุ่มอื่นๆ เล่าบ้าง ไหว้พระประธาน ขอพรและอำลา จากวัดเชียงทองไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายตามโปรแกรมต่อไป
ปล. เรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ คัดย่อจาก "คู่มือท่องเที่ยวเมืองหลวงพระบาง โดย นายรอบรู้"
Create Date : 23 ธันวาคม 2551 |
Last Update : 24 ธันวาคม 2551 9:15:42 น. |
|
6 comments
|
Counter : 4323 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: BeachBum วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:8:49:31 น. |
|
โดย: sawkitty วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:15:47:50 น. |
|
โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน IP: 124.121.52.5 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:19:48:09 น. |
|
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:20:28:48 น. |
|
โดย: PinGz (Kai-Au ) วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:20:58:44 น. |
|
โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:23:26:05 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|
สุขสันต์ในเทศการสิ้นปี คริสต์มาส กะ ปีใหม่นะคะ