ทอดน่องท่อง "มะละกา" Part XI : ขึ้นเนินเซนต์ปอลล์
ความเดิมตอนที่แล้ว
ย้อนดูรูปแล้วจึงเห็นว่า เล่าเรื่องข้ามไป 1 จุดจะไม่เล่าถึงก็คงไม่ได้ เพราะสถานที่นี้เป็นจุดสำคัญของเมืองมะละกา ที่ได้รับการเผยแพร่ในฐานะสัญลักษณ์ของเมือง
::โบสต์คริสต์มะละกา - Christ Church Melaka :: สร้างขึ้นโดยฮอลันดาเมื่อปีค.ศ.1741 เพือเป็นอนุสรณ์ในวาระการปกครองมะละกาครบ 1 ศตวรรษ ใช้เวลาก่อสร้างนาน 12 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์ เดิมเป็นโบสถ์ในนิกายโปรเตสแตนต์ตามการนับถือของผู้สร้าง ต่อมาเมื่ออังกฤษเข้าปกครองมะละกา จึงเป็นเป็นนิยายแองกลิกันในวันที่ 25 สิงหาคม 1893 โดยอุทิศให้บิชอปแดเนียล วิลสันแห่งกัลกัตตา บนยอดหลังคามีระฆังจารึกตัวเลขปีที่สร้าง ค.ศ.1698 ซึ่งมีมาก่อนสร้างตัวโบสถ์ และที่โบสถ์ก็มีตัวเลข แสดงปีที่สร้างเสร็จ
พวกเราออกจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ฯ ก็แวะมาที่โบสถ์ทันที เพราะทราบว่าจะปีิดเวลา 5 โมงเย็น ภายในโบสถ์ "ห้ามถ่ายภาพ" ก็เลยได้แต่จารึกไว้ในความทรงจำ สิ่งที่น่าสนใจภายในโบสถ์ตามหนังสือคู่มือ ก็คือ ภาพ The Last Supper ที่ประดับอยู่บนผนังบริเวณที่ทำพิธี ม้านั่งยาวที่ใช้ทำพิธีสวดก็เป็นของดั่งเดิมตั้งแต่สมัยแรก และมีที่ฝั่งศพเก่าแก่ของชาวดัตช์อยู่ใต้ดินด้วย เราก็สังเกตหาสัญลักษณ์กันเอง บนพื้นโบสต์นั่นแหละ ยังไม่ทันจะถึงเวลา 5 โมง ..เจ้าหน้าที่ก็แจ้งให้ออก เพราะคุณเธอจะกลับแล้ว ... พวกเราก็ไม่ขัดศรัทธา ออกจากโบสถ์เดินไปไปรษณีย์กันอีกรอบ ... คุณเพื่อนส่งโปสการ์ด แล้วก็มาเลือกซื้อแสตมป์ที่ระลึกกันอีก เพราะเมื่อตอนเช้าเจ้าหน้าที่ขายไม่อยู่
หลังจากนั้นก็พากันไปชมพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมและที่อื่นๆ กันต่อ จนมารวมตัวกันอีกครั้งที่ ::ป้อมประตูซานติเอโก - Porta De Santiego::
ป้อมประตูซานติเอโกเป็นส่วนหนึ่งของป้อมลาฟาโมซาที่หลงเหลืออยู่ ตัวป้อมสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1511 โดยโปรตุเกส ยืนยงคู่มะละกามาได้เกือบ 3 ศตวรรษ กระทั่งถูกทุบทำลายเมื่ออังกฤษเข้ายึดครองมะละกาในปีค.ศ.1807 เหลือเพียงป้อมประตุและปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า
ป้อมประตูสูงราว 20 ฟุต หนา 8 ฟุต สร้างด้วยศิลาแลงฉาบปูน ด้านบนประตูมีลายปูนปั้นเป็นรูปเครื่องหมายการค้าของบริษัทสหอินเดียตะวันออกของฮอลันดา
การถ่ายรูปป้อมประตูและปืืนใหญ่นั้น ทำได้ยากมาก เพราะนักท่องเที่ยวมากมาย จ้องที่จะใช้ป้อมเป็นฉากถ่ายภาพกันทั้งนั้น ไอ้เราก็เป็นประเภท..ขอถ่ายแต่สถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้าง ...คนไม่เอา... ก็เลยต้องใจเย็นรอ แต่ก็เกรงว่าเพื่อนจะรอนาน เลยพากันเดินขึ้นไปบนเนินเซนต์ปอลล์กันก่อน
เนินเขาเซนต์ปอลล์หรือเนินมะละกานี้ เป็นจุดศูนย์กลางของความเจริญของเมือง ตั้ืงแต่สมัยเจ้าชายปรเมศวรมาก่อร่างสร้างเมือง ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยโปรตุเกสและฮอลันดาปกครอง รวมระยะเวลา 400 ปี
::โบสต์เซนต์ปอล - St.Paul Church::
ตั้งอยู่บนเนินเซนต์ปอลล์ ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ตั้งส่วนหนึ่งของพระราชวังสุลต่าน โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1521 หรือ 10 ปีหลังจากที่โปรตุเกสเข้ายึดครองมะละกา โดยคณะบาทหลวงเยซูอิต ปัจจุบันเหลือเพียงซากผนังสี่ด้านที่ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน และไม่มีหลังคา
ภายในมีแผ่นป้ายศิลาปิดหลุมศพ จารึกด้วยภาษาละตินและโปรตุเกสผิงอยู่ที่ผนังโบสถ์ ในสมัยที่ฮอลันดาเข้ามายึดครองมะละกาแทนโปรตุเกส ได้ดัดแปลงตัวโบสถ์เป็นที่ตั้งปืนใหญ่ จนกระทั่งปีค.ศ.1849 สมัยอังกฤษปกครองมะละกา จึงได้มีการสร้างโบสถ์เซนต์ฟรานซิส เซเวียร์หลังใหม่ขึ้น
นอกจากนี้ภายในยังมีหลุมศพที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ ที่แผ่นป้ายจารึกว่า เคยเป็นฝั่งศพชั่วคราวของเซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ และที่ด้านหน้าโบสถ์มีอนุสาวรีย์หินอ่อนสีขาวของเซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ตั้งอยู่
มีประวัติเล่าว่านำเข้ามาจากประเทศอิตาลี มาตั้งเป็นอนุสรณ์บนเนินเขานี้ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 1953 แต่หลังจากนั้นไม่นานรูปสลักนี้ ถูกต้นไม้ใหญ่ล้มลงมาทับ เมื่อตรวจสอบความเสียหายพบว่า รูปสลักหินอ่อนยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ยกเว้นแต่มือข้างขาวได้หักไปเท่านั้น เหมือนจะเป็นพระประสงค์ของท่านที่จะให้รูปสลักนี้สมจริง่ตามสภาพศพที่ปราศจากมือขวาของท่าน (เพราะถูกตัดออกจากศพที่ไม่เน่าเปื่อยเมื่อครั้งมีการเสนอผลงานของท่านไปยังพระสันตะปาปา เพื่อพิจารณาความดีความชอบแต่งตั้งเป็น "เซนต์หรือนักบุญ")
เดินวนเวียนถ่ายภาพภายในและภายนอกโบสถ์แห่งนี้ เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวมากมาย ที่ขึ้นมาเนินในยามเย็น ตามรายข้างทางเดินขึ้นมาด้านบนนี้ ก็มีคนขายของที่ระลึกปูผ้าวางของขายรายทางกันด้วย มีนักดนตรีอิสระ บรรเลงดนตรี และขับร้องเพลงหลายภาษา เปิดหมวก ..คอยขับกล่อม เพื่อนๆ นั่งพักขา รับลมเย็นตอนหกโมง ที่พระอาทิตย์ยังไม่ลับฟ้ากันไป
ส่วนเราก็เดินขึ้นเดินลง ...หามุมเก็บภาพเรื่อยไปอีกตามเคย จากมุมนี้มองเห็นส่วนที่พักอาศัยที่เป็นตึกแถวสวยงาม
จากด้านนี้จะมองเห็น Mecamall และพื้นที่สนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ..ที่ชาวบ้านมานั่งเล่นรับลมด้วย
พระอาทิตย์ค่อยหย่อนตัวต่ำลงมา ..มองไปเห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่และจุดขึ้นชมวิว คล้ายจะอยู่เคียงคู่กันพอดีเลยนะ
และในที่สุดพระอาทิตย์ดวงกลมโต ก็แตะผิวน้ำทะเล และหายลับไป
ความมืดเข้าครอบคลุมฟ้าเมืองมะละกา ...และเสียงท้องร้องก็กระตุนเตือนให้พวกเราขยับตัวลงจากเนินเซนต์ปอลล์กันได้ซะที
เมื่อตอนเช้าผ่านร้านข้าวแกง ...ก็เลยตกลงว่าจะลองกินข้าวแกงข้างทางแบบชาวบ้านกันบ้าง ก็เลยพากันเดินเรื่อยมายังร้านเล็กๆ ริมทาง ชั้นล่างของห้างใหญ่ๆ มีผู้คนพื้นเมืองนั่งกันเต็มแล้ว ยืนสังเกตวิธีการซื้อ-ขายกันก่อน ก็เห็นว่า ..เจ้าของร้านจะตักข้าวให้ตามปริมาณที่ลูกค้าบอก แล้วให้ลูกค้า ตักกับข้าวที่เรียงรายอยู่ในถามเอาเอง ตามความพอใจ
เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ก็เลยสั่งตักข้าว 2 จาน แล้วขอเลือกกับข้าวใส่จานรวมกันมา 1 จาน ยกน้ำิพริกที่เหลือน้อยนิดมาด้วย
กับข้าวจานนี้ก็มีปลาผัดน้ำพริก (น่าจะเป็นน้ำพริกแบบที่ผัดหมี่ตอนเช้านั่นแหละ) ปลาอินทรีย์ทอด และถั่วหมักกับเต้าหู้ทำเป็นก้อนๆ แล้วทอด ...เค็มๆ มันๆ ดี มื้อนี้ ...เหมือนจะน้อย แต่ก็อิ่มกันถ้วนหน้า ค่าอาหารย่อมเยาสุดๆ 9 ริงกิตเองอ่ะ จากนั้นก็ไปตบท้ายกันด้วย Teh ร้อนๆ จากร้านอาหารในห้าง ... แวะสำรวจสินค้าในมินิมาร์ท แล้วก็แยกย้ายกัน ห้องใครห้องมัน ...
หมดแรง ...เพิ่งรู้สึกเมื่อยขาสุด ...อาบน้ำ สระผม แล้วนอนเอาแรง โปรแกรมวันรุ่งขึ้น ...ยังต้องเดินอีกมาก
โปรดติดตามตอนต่อไป
Create Date : 31 มกราคม 2553 |
|
7 comments |
Last Update : 31 มกราคม 2553 17:02:47 น. |
Counter : 2237 Pageviews. |
|
|
|
ปล.เราดูรูปชิงช้าอันใหญ่ไม่ได้ ไม่รู้คนอื่นดูได้รึเปล่าไว้เดี๋ยวคืนนี้มาดูอีกรอบละกัน