Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
17 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 

สวดมนต์...พิชิตโรค









ทุกๆเช้าผู้เขียนจะถูกปลุกด้วยบทสวดมนต์ชินบัญชร จากเสียงตามสาย
แรกว่าจะลุกจากที่นอน แต่เสียงสวดมนต์ก็ทำให้เพลิดเพลิน
ปล่อยใจให้จดจ่อกับบทสวดนั้น
นอนหายใจเข้าลึกๆหายใจออกยาวๆอยู่จนจบ


การฝึกสมาธิและการสวดมนต์จะทำให้สมองส่วน left pre-frontal cortex ทำงานได้ดีขึ้น
เราสามารถ ควบคุมเหตุการณ์ต่างๆ ได้โดยตรง
และเกิดความรู้สึกในด้านบวก
การสวดมนต์ส่งผลให้เกิดสมาธิ การมีสมาธิจะสัมพันธ์กับการวางแผน
การรับรู้ การคิด และผลในเชิงบวกทางด้านอารมณ์


งานวิจัยพบว่าการสวดมนต์และการทำสมาธิจะช่วยลดความรู้สึกหดหู่
ซึมเศร้าเหงาหงอย ความวิตกกังวล ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
กระวนกระวายใจต่างๆ ก็จะลดลง
เปลี่ยนเป็นความรู้สึกด้านบวกคือสงบ สบายๆ
หากพูดกันในแง่ของวิทยาศาสตร์
การทำสมาธิจะเพิ่มการทำงานของสมองในส่วน left prefrontal cortex
ซึ่งเป็นสมองในด้านบวกนั่นเอง


ครั้งหนึ่งเคยเจอบทความที่เพื่อนส่งมาให้ ลองมาอ่านกันใหม่ดูอีกครั้ง
ถึงประโยชน์ของการสวดมนต์และการทำสมาธิ
ในแง่ของสุขภาพดูบ้าง
ทางการแพทย์เขาได้วิจัยถึงผลในการเยียวยารักษาโรค
จากการสวดมนต์ไว้ได้น่าสนใจ








ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์)





เรื่อง Vibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด


โดย: ชมนาด




เชื่อหรือไม่ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม)
เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก
แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียง
ที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง
และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้


การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy
หรือ Vibrational Medicine
คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย
ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ
ก็เป็น Vibrational Therapy เช่นกัน
แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต
ต่างจากสวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต

ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน
ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???



คลื่นแห่งการเยียวยา



การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ
เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา
ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ
คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน
ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าว
เริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวด
ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ
ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ
สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที
ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย




เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี
หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลอธิบายเพิ่มเติมดังนี้





“ สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ
สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป
จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด
บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน ( serotonin)
เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด
ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด
และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน
ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ
เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย
ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ
เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน
มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน



นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้น
การหลั่งสารสื่อ ประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน
ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด
ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน
ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ
และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่ง
ที่เป็นตัวกระตุ้นของการ ทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง
ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง
ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น ”



ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาท
ได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า





“ หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวน
กระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน
ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน
ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง
เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์
และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์
เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก
เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย
เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ
เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป
ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ ”



และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้น
ที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆ
ได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์



สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ


อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า




“ เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากัน
ตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตาม วิธีเปล่งเสียง
แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน
แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก
บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น
ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น ”



และเมื่อเกิดพลังของการสั่น
การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร
อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า



“ เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ
ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด
เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี
จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย


ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัว
มีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย
ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น
เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น ”




นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียง
เพื่อรักษาโรคจาก เสียงต่างๆ เช่น


โอม ...... กระตุ้นหน้าผาก
ฮัม ....... กระตุ้นคอ


ยัม ....... กระตุ้นหัวใจ
ราม .......กระตุ้นลิ่นปี่

วัม ....... กระตุ้นสะดือ
ลัม ....... กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น


แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น
การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด





รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา
คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สรุปว่ามี 2 ข้อคือ



การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง
ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด
เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ


ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ
จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา
เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม
จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด


เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์
และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ
เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร
สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้



หัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง

อัลไซเมอร์ ซึมเศร้า ไมเกรน ออทิสติก

ย้ำคิดย้ำทำ โรคอ้วน นอนไม่หลับ พาร์กินสัน



สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค
สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย
สรุปออกมาได้ 3 แบบ


การสวดมนต์ด้วยตัวเอง


เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy
ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์
นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง
วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ


● ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที
ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย
อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน


● หาสถานที่ที่สงบเงียบ


● สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป
จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน
แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ
จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา


● ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน



การฟังผู้อื่นสวดมนต์


เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ
เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา ( healing) ผู้ฟัง
แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา
เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ
นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้



การสวดมนต์ให้ผู้อื่น


ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย
เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป
บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก
เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่
อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้



คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม
ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ
มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า
ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้า
และสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ



บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ
ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย
ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก



การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย
ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล
เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน
ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ
และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์
แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป




เลือกสวดมนต์อย่างไรดี


แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี
อาจารย์สมพรแนะนำว่า



“ น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ
เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น
สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น ”



พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ
ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ
นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ
เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7
ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย


“ ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ
คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด ”


อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต
เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ


Inta : รายงาน

Credit : นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551








เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา
และเป็นวันสำคัญอีกวันของคนพิเศษของผู้เขียน
วันนี้เราจึงนัดแนะกันว่าจะสวดมนต์ทำสมาธิด้วยกัน
การสวดมนต์และการทำสมาธิ
ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น
ในแต่ละศาสนาเขาก็มีบทสวดที่แตกต่างกันไป
การทำสมาธิก็สามารถทำได้เช่นกัน



ครั้งที่ผู้เขียนเป็นแพนิคที่เกิดจากฮอร์โมนลดแบบกระทันหัน
เยียวยาตัวเองด้วยการสวดมนต์ เห็นผลจากการสวดมนต์ในครั้งนั้น
สวดมนต์ในยามว่างหรือทุกครั้งที่นึกได้
สวดในใจบ้าง เปล่งเสียงบ้าง แล้วแต่โอกาส
บางคืนเอนกายลงนอน นำมือมาประสานกันบนหว่างอก
สวดมนต์เบาๆจนผลอยหลับไป ทำให้หลับสบายไปทั้งคืน



วันนี้นำมาแบ่งปันกันอีกครั้ง คืนนี้เรามาสวดมนต์กันเถอะค่ะ
สวดเสร็จแล้ว ก็แผ่เมตตาให้กันและกันด้วย
พลังแห่งคลื่นความสุข จะได้ส่งถึงกัน
ขอให้เพื่อนๆมีความสุขกายสุขใจ
สดชื่น สดใส สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้าค่ะ







แอมอร











 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2554
32 comments
Last Update : 17 กรกฎาคม 2554 13:11:03 น.
Counter : 1732 Pageviews.

 

เป็นแพนิคเหมือน กันคะ จะพยายามสวดมนต์ตามที่แนะนำนะคะ

 

โดย: ไหมสีตอง 17 กรกฎาคม 2554 14:47:01 น.  

 

ขอบคุณมากนะคะ จะชื้อยาหอม มาไว้คะ ช่วงที่เครียดมากถึงขั้นกินยานอน หลับ เลย นะคะ

ตอนนี้ ยังมีอีกอย่างเวลาอยู่ที่แคบๆๆ เหมือน จะ สิ้น ให้ได้ เลยคะ

 

โดย: ไหมสีตอง 17 กรกฎาคม 2554 15:51:49 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณแอม
เป็นบทความที่ดีและมีประโยชน์มากๆค่ะ
อ่านทวน 2 เที่ยว เพราะอยากได้ความรู้แน่นๆ
ส่วนตัวแล้ว เห็นด้วย เพราะอย่างน้อยเวลาเราสวดมนต์ ตอนเราเปล่งเสียงออกมา เราจะสมาธิเกิดขึ้น ยังคับเสียง เบา ดัง ได้ตามต้องการ
แต่แอบสงสัย นิดนึง...แล้วนที่เปิดเสียงเทป ซีดี เพื่อฟังเฉยๆล่ะ จะยังงัยน๊อ?

 

โดย: โจนบ้ากับป้าแก่ๆ 17 กรกฎาคม 2554 16:49:44 น.  

 

หายใจเข้าลึกๆหายใจออกยาวๆนะคะ
เปิดม่านหน้าต่างเอาไว้
เวลานอนจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด

ร่างกายเขาประท้วง อยากให้เราทำกิจกรรมกลางแจ้งเยอะๆ
อย่านั่งหน้าจอนานเกินไป
ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้างเป็นระยะๆ
พยายามหาเพื่อนคุย อย่าอยู่คนเดียว

จงผ่อนคลายๆๆเดี๋ยวก็หายๆๆๆๆ ท่องไว้ค่ะ


แอมอร


 

โดย: peeamp 17 กรกฎาคม 2554 17:22:00 น.  

 

ขอบคุณมากๆๆคะ คุณ แอมอร

 

โดย: ไหมสีตอง 17 กรกฎาคม 2554 17:24:39 น.  

 

ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็พยายามสวดมนต์ตอนเช้าสั้น ๆ อิติปิโส ก่อนออกจากบ้านน่ะค่ะ นาน ๆ ทีถ้าขยันหน่อยก็สวดพาหุง

ที่สวดเพราะกะให้เป็นการเตือนสติตัวเองก่อนออกจากบ้าน ระหว่างวันจะได้มีสติค่ะ

แต่ในความเป็นจริง สติแตกบ่อย ๆ ^^

 

โดย: รัชชี่่ (รัชชี่ ) 17 กรกฎาคม 2554 19:29:46 น.  

 

ขอบคุณกับโหวตนะคะพี่อร อิอิ

....................

สวัสดีวันหยุดที่ฝนตกค่ะ ทานข้าวเย็นให้อร่อยนะคะ






* เรื้อร้าย *

เดี่ยวมาอ้อยส้อยโธ่.............................ธานินทร์
วิเวกในนครอินทร์..............................เอี่ยมฟ้า
อารมณ์คั่งกระแสสินธุ์........................สอนป่วน
เวียนกรอบกาลกรอหล้า......................หลับล้อมล้ำหลง

ดงเปล่าเปลี่ยวเปิดเอื้อ.........................อ่านมนต์
ทรวงทุกข์ท่วมทัณฑ์ทน......................เทิดไว้
รัถยากำหนดหน...................................หาหน่วง
วอดหวั่นเปิดทางใกล้...........................กร่ำถ้อยหยามหยัน

สรรสำเหนียกเพรียกแพ้.......................เพิ่มแผล
สร้อยโศกมาเหลือบแล.........................ลูบเนื้อ
ตระหนกครุ่นครางกระแส....................เสริมเหยียด เย้ยแล
อาภัพอาเพศเอื้อ....................................อาบม้วยอวลอหัง

ฟังฟ้าทอส่องคล้อย...............................คลาขบวน
ร้ายเร่าอำนวยจวน................................จ่อมห้อม
ยินแววเห่หันหวน.................................เหิมล่วง หทัยเฮย
กรองมาศกรึงจิตพร้อม.........................พลาดอะคร้าวเหือดเห็น

เร้นเข็ญเรื้อร้ายรุก.....................................รวิวรรณ
พากย์พจน์แสดงรำพัน..............................พอกรั้ง
แนบคะนึงสู่ในขวัญ..................................ขังขื่น
ตรมตื่นตามติดตั้ง......................................แต่งแต้มกำสรวล

 

โดย: ญามี่ 17 กรกฎาคม 2554 19:49:38 น.  

 


แหล่มเลยค่ะคุณแอมอร
ว่าจะลองทำตามมั่งค่ะ

 

โดย: อุ้มสี 17 กรกฎาคม 2554 20:31:46 น.  

 

ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเหรอครับ
บทความดี มีประโยชน์มากๆเลยครับ
ต้องหัดสวดมนต์แบบจริงจังเสียที ท่าจะดี
วันนี้เอาผัดผักรวมมิตรสนิทกุ้งมาฝากนะครับ

 

โดย: multiple 17 กรกฎาคม 2554 21:36:40 น.  

 

คืนก่อน .. ให้เจ้าตัวน้อยท่องสัพเพ ให้ฟัง
ก่อนจะสวดมนต์ก่อนนอน ม่างไม่เต็มใจเท่าไหร่
กระฟัดกระเฟียด (เขียนถูกป่าวเนี่ย) ก้มลงกราบหมอนแบบกระแทกกระทั้น

เลยบอกว่า ไหว้ดี ๆ ลูก ไหว้สวย ๆ เดี๋ยวโตมาไม่สวยนะ
เออแฮ่ะ เป็นได้ .. รีบกราบอย่างงาม กลัวไม่สวยยย ... 555 ลูกชั้น ..

....... ..
.... ...

สบายดี หน้าตาแจ่มใส นอนเล่นพักผ่อนหย่อนใจก็โอ ๆ อยู่

ช่วงนี้งานแยะ ใกล้หน้าคาบ แถมนั่งเคาท์เตอร์ตำแหน่งชิป (ไม่หาย) เลยทำให้ออกเครียด
เค้าสอบได้อีกแล้วตัวเอง ไม่แน่อีกไม่นานอาจจะต้องย้ายที่ทำงาน
ไปรับตำแหน่งหัวหน้า ที่ปีแล้วสละสิทธิ์ไปอ่ะ

....... ..
.... ...

ไม่ได้คุยกันนาน มีหลายเรื่องเลย
อยากเล่าอยากคุย แต่รู้สึกไม่มีอารมณ์อัพ blog เลยอ่ะ

เป็นไรก็ไม่รู้ .. บอกไม่ถูก

..... ...
... ...

เอาน่า ยังไงก็รับรู้ถึงความห่วงใย
และรับรู้ถึงมิตรภาพดีดีจากที่แห่งนี้

แม้นไม่มีใคร ฉันเชื่อว่ายังมีเธอเสมอ .. เน๊อะ ๆๆ

สองพี

ปล. ช่วงหลังอาจห่างหาย แต่ใจใกล้กันเสมอ คริคริ

 

โดย: SongPee 17 กรกฎาคม 2554 22:43:21 น.  

 

อ้าว .. ดันลืม

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

ฝากภาพราตรีสวัสดิ์ นะจ๊ะ

 

โดย: SongPee 17 กรกฎาคม 2554 22:44:20 น.  

 

ธรรมมะเป็นของสูง ของดี ของแท้ และมีคุณวิเศษจริงๆ ค่ะีพี่แอมอร
แต่น้อยคนที่จะปฏิบัติได้
ฉัตรเพิ่งเ้ข้าใจว่า การที่คนสวดมนต์ลงแผ่นขายหรือแจกบริจาคเี่นี่ย เพราะอะไร
ถ้าน้ำเสียงที่สวดน่าฟัง เหนี่ยวนำใจได้
ก็ได้บุญมากและเป็นประโยชน์มากทีเดียวค่ะ
พี่แอมอรสบายดีนะคะ

 

โดย: ณ ปลายฉัตร 18 กรกฎาคม 2554 0:03:46 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับพี่แอม


ผมชอบให้บทภาวนาสั้นๆมาท่องครับ
ไม่รู้ว่ารักษาโรคทางกายได้หรือไม่
แต่เยียวยาความรู้สึกทางใจได้แน่นอนครับ








 

โดย: กะว่าก๋า 18 กรกฎาคม 2554 6:02:44 น.  

 

ทักทายยามสายค่ะพี่แอม..
วันนี้หยุด..และตั้งใจว่าจะไม่ไปไหน(เด็ดขาด)
คนบางคน..เค้าแก้ข่าวการบวช...
ในบ้านเค้าแล้วค่ะ...อิอิ

สุขกับทุกวันนะคะ

 

โดย: ในความอ่อนไหว 18 กรกฎาคม 2554 9:28:01 น.  

 

คุณแอมอรค่ะ


บทความนี้และบล็อกนี้ถูกใจค่ะ เพราะอ่านเจอจากหลายที่
แล้วเหมือนกันเรื่องของการทำสมาธิและการสวดมนต์
และเห็นจริงด้วยแบบล้านเปอร์เซ็นต์เลยเพราะลองมาแล้วค่ะ

เราสวดมนต์แบบยาวๆ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการสวดแบบท่องจำ
แต่เป็นการเปิดหนังสือเอา เพราะบางบทสวดก็ยังไม่สามารถ
ท่องได้แต่ว่าการอ่านแต่ละคำโดยการเปล่งเสียง
ทำให้เรามีสมาธิได้ดีเช่นกันค่ะ ยิ่งการสวดตอนกลางคืนด้วยแล้ว
ยิ่งได้ผลค่ะ เพราะว่าเงียบ .. ทำให้ได้ผลดีพอสมควรในเรื่อง
ของการทำสมาธิค่ะ

 

โดย: JewNid 18 กรกฎาคม 2554 17:38:18 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับพี่แอม





 

โดย: กะว่าก๋า 19 กรกฎาคม 2554 6:27:41 น.  

 

ใช่ครับพี่แอม
เป็นสวนบัวสรรค์ครับพี่
เสียดายวันที่ไปดอกเริ่มโรยครับ
ไม่งั้นคงสวยกว่านี้อีกเยอะเลยครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 19 กรกฎาคม 2554 6:36:06 น.  

 

ผมว่าคนจัดสวนเค้าเก่งครับพี่แอม
แต่ส่วนนึงเราก็ต้องเดินหามุมด้วยครับ อิอิอิ


 

โดย: กะว่าก๋า 19 กรกฎาคม 2554 7:04:03 น.  

 

สวัสดียามเช้าที่เริ่มจะสาย

พี่สวดมนต์แบบคนไม่ค่อยขยัน แม่บอกว่า
ทำสมาธิ ทำที่ไหนก็ได้ นอนก็ได้ แล้วก็ไม่
จำเป็นต้องสวดบทยากๆจนถึงกับต้องเอา
โฉนดมากาง พี่คล่องแต่อิติปิโส ก็ทำสมาธิ
เวลาจะนอน คือนอนสวดมนต์วนไปกี่จบไม่
นับ สวดจนหลับไปเลย เวลาไปขึ้นเขียง
ผ่าตัดก็ทำอย่างนี้แหละครับ มันทำให้ร่าง
กายและใจผ่อนคลาย เขาว่าจะเป็นผลดีกับ
การผ่าตัดด้วย

พี่สรุปว่า สติทำให้ทุกอย่างสงบเย็น แล้ว
ทุกอย่างก็จะสมดุล

กลางวันนี้ก๋วยเตี๋ยวไอ้หมวยซ่าน่าจะดีนะ
น้องแอม อิอิ

 

โดย: คนบ้า(น)ป่า (nulaw.m ) 19 กรกฎาคม 2554 8:32:40 น.  

 

น้ิองรินสวดมนต์อย่างนี้ไม่ได้เลยพี่แอม

ได้แต่สวดว่า

เหมือนคืนวานนะท่าน อิอิ







กินลำใยกัน เน้อ กินมากไม่ไหว ร้อนในถามหา

 

โดย: Rinsa Yoyolive 19 กรกฎาคม 2554 14:59:50 น.  

 


นิคสวดมนต์แบบไม่ออกเสียงค่ะพี่แอม
ตอนก่อนนอนนะ
มีบทหลักอยู่สามบท
แล้วก็คุย

แบบนิคสวดมนต์แปลกกะคนอื่นหน่อยนึง
เป็นวิธีของตัวเองน่ะค่ะ

หยุดหลายวัน
คิดถึงนะ

 

โดย: ที่เห็นและเป็นมา 19 กรกฎาคม 2554 17:35:07 น.  

 




พี่.พี่..
อย่าวิ่งเร็วนักนะก๊ะ
เด่วหกล้ม.เจ็ดล้ม
แข้งขาปวด
นิคไม่กัวซาให้เน้อ..

 

โดย: ที่เห็นและเป็นมา 19 กรกฎาคม 2554 21:33:52 น.  

 

แฮ่กๆๆๆ

วิ่งไม่ไหวแล้วค่ะนิค
นั่งพักรอที่นี่ละกานนนน อิ อิ



แอมอร

 

โดย: peeamp 19 กรกฎาคม 2554 21:46:32 น.  

 


นิคก้อแฮ่กๆๆ เหมือนกานค่ะ
วิ่งไวชะมัด คนรัยมะรุ

มานั่งพักเหนื่อยนี่ด้วยค่ะ
พี่มีรัยเลี้ยงมั่งล่ะคะ
.. มาแนวตะกละ (>_<)

 

โดย: ที่เห็นและเป็นมา 19 กรกฎาคม 2554 21:58:51 น.  

 

มีมาม่าสองห่อ แบ่งกันๆๆๆ อิ อิ

เพิ่งไปส่งพี่ชายเข้านอน
แวะไปส่งนิคที่บ้าน

อ้าว..มานั่งอยู่นี่เอง


แอมอร

 

โดย: peeamp 19 กรกฎาคม 2554 22:02:09 น.  

 





อึดหมดแย้ว


แอมอร

 

โดย: peeamp 19 กรกฎาคม 2554 22:13:43 น.  

 

.
.
พี่แอมเค้าหนีบนิคเข้ากะเอวมาด้วยค่ะ

ดีจังค่ะ ดูพี่สดใสจังเลย
พอตาหายดี มาสนุกสนานเหมือนเก่าแล้ว
เจอเพื่อนเก่าอีก วันนี้.วันดีจริงๆค่ะ
.
.

ดูจิ
คนวิ่งไม่ไหว

ส่งพี่แอมเข้านอนมั่ง

จุ๊บ

 

โดย: ที่เห็นและเป็นมา 19 กรกฎาคม 2554 22:15:22 น.  

 


อ๊ะ !!
เจอมะม่า
กิงก่อง
เดี๋ยวค่อยไปค่ะ

 

โดย: ที่เห็นและเป็นมา 19 กรกฎาคม 2554 22:17:39 น.  

 

วันนี้ผมปลูกแล้วนะครับ คอยดูนะ..ใครได้กินก่อน 555

 

โดย: ปลายแป้นพิมพ์ 19 กรกฎาคม 2554 23:26:15 น.  

 

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมที่บล๊อกครับ พี่แอม
คงสบายดีนะครับ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพนะครับ

แวะมาบอกว่าอัพบล๊อกใหม่ครับ พี่

อยาก รู้ "ไหมมัดหมีสี่ตะกอ ทั้งจก ทั้งยก" เป็นยังไง ตามไปดูครับ บ้านคำปุน ณ อุบลราชธานี สถานที่ ที่แม้คนอุบล ก็ไม่สามารถเข้าชมได้ง่ายๆ


 

โดย: Sleeping_prince 20 กรกฎาคม 2554 2:55:26 น.  

 

ผมเห็นด้วยครับ การสวดมนต์ไม่ว่าศาสนาใด
ทำให้จิต "นิ่ง" จรดจ่ออยู่ที่เดียว.
เป็นการสกดจิต ตัวเองด้วยซ้ำไป. การได้ยิน
เสียงสูงต่ำติดต่อกัน มีคลื่นเสียง ทำให้เกิด
ความสุข.

ผมเองเพิ่งเริ่มสนใจ การสวดมนต์เข้าสมาธิ
เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง พอปฏิบัติแล้ว เสียดาย
ที่ปฏิบัติช้าไป น่าจะสนใจตั้งนานแล้ว.

ผมไปปฏิบัติธรรม ด้านเข้าสมาธิ หลายสำนัก
มีอยู่ที่ ผมสวดมนต์ไม่ทันคนอื่น เพราะบาง
บท เขาสวดเร็วมาก. พอปฏิบ้ติและฟังครู
พูดให้ฟัง จึงรู้ว่า ที่เขาให้สวดเร็วนั้น ต้องการ
ให้สมาธิมุ่งจุดเดียวคือ บทสวด ทำให้จิต "นิ่ง"

หลังจากสวดมนต์แล้ว นั่งเข้าสมาธิได้ เร็วจริง
พอถึงระดับหนึ่ง ความรู้สึกจะหลุด ว่าง มีความ
สุขมาก แต่ครูอาจารย์ว่า อย่า"ติด" ในสิ่งนี้
แค่ นั่งแล้ว นิ่ง รู้ตัวอยู่ทุกขณะ ดีมากแล้ว.

แล้วผมจะแวะมาอ่านอีกครับ

 

โดย: ไวน์กับสายน้ำ 20 กรกฎาคม 2554 5:33:30 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับพี่แอม






 

โดย: กะว่าก๋า 20 กรกฎาคม 2554 6:13:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


peeamp
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 61 คน [?]




บางที ปลายทางก็ไม่ได้สำคัญมากไปกว่า


.....

สิ่งที่อยู่ระหว่างทาง


..............^^....
และความสุขในปัจจุบัน

ก็เป็นสิ่งที่เราจับต้องได้

....^^.....^^......


โดยไม่ต้องรอคอย

ความสุขของอนาคต



ปูปรุง








New Comments
Friends' blogs
[Add peeamp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.