ขอเกาะติดอาหารสุขภาพอย่าง สลัดผักสดต่ออีกสักวีก จะว่าไปแล้ว “สลัดผักสด” ความอร่อยอยู่ที่เดรสซิ่ง หรือน้ำสลัดนั่นเอง และสำหรับสไปซี่ เดรสซิ่ง ที่นำเสนอในวันนี้เป็นสูตรที่ คุณสรวง-บุญสรวง เทวอักษร คิดค้นขึ้นเอง ในระหว่างที่รับการรักษาโรคมะเร็ง ด้วยการทำเคมีบำบัดหรือครีโม

คุณสรวงเล่าว่า เธอต้องเผชิญกับโรคมะเร็งอยู่หลายครั้ง ครั้งแรกปี 2540 เป็นมะเร็งเต้านม ปี 2547 กลับมาเป็นมะเร็งปอด ก็ผ่าออกหมดทั้งเต้านมและปอดข้างขวา หลังจากผ่าตัดเนื้อร้ายออกและให้ครีโม ยังไม่ครบคอร์สเลยก็ตรวจพบมะเร็งที่ชั้นกล้ามเนื้อหลังปอด ก็ผ่าอีก ตลอดทั้งปีนั้น คุณสรวงบอกว่า ชีวิตต้องสะบักสะบอมกับเหตุการณ์ร้ายทั้งปีเลย พอปลายปีก็คิดอยากจะไปหาความสุขให้ตัวเองบ้าง จึงชวนครอบครัวไปพักผ่อนที่ภูเก็ต ก็ไปเจอคลื่นยักษ์สึนามิอีก แต่ถึงอย่างไรเธอก็สามารถผ่านเหตุการณ์แบบเฉียดตายมาได้ตลอด ทั้งๆที่แต่ละเรื่องที่เวียนเข้ามาในชีวิต เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ๆ เช่นนี้อยู่หลายรอบ ทำให้ทุกวันนี้คุณสรวงกลายเป็นวิทยากรไปบรรยาย เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยมะเร็งตามที่ต่างๆ โดยนำประสบการณ์ที่เธอต้องเผชิญกับโรคมะเร็งอยู่หลายครั้ง และสามารถดูแลรักษาตัวอย่างไร ถึงกลับมามีสุขภาพแข็งแรงอีก

ระหว่างที่รักษาโรคมะเร็ง คุณสรวงเล่าว่า เรื่องอาหารการกินนั้น ทางการแพทย์แผนปัจจุบันจะไม่ห้ามอะไรเลย แต่แพทย์ธรรมชาติบำบัดจะห้ามทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ทำให้เธอต้องหันมาหาโปรตีนจากไข่ วิตามินจากมะเขือเทศและผักสด เพราะหลักการของธรรมชาติบำบัด ต้องทานอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน เพื่อให้วิตามินและเอนไซม์พลังชีวิตยังคงอยู่ คุณสรวงจึงพยายามคิดหาวิธีว่า มีอะไรที่สามารถกินสดๆได้ คุณหมอแนะนำให้ทานมะละกอ เธอต้องเอามะละกอดิบมาขูด แล้วทำน้ำปรุงรสราด เพื่อให้ได้เอนไซม์จากมะละกอ ทานจนเบื่อ ก็ต้องพยายามคิดหาสูตรอาหารไปเรื่อยๆ จนได้ “สไปซี่สลัด” ขึ้นมา

คุณสรวงเล่าว่า จากเดิมที่เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน บ้าทำแต่งาน งานบ้านงานเรือนไม่เคยทำเลย และทำไม่เป็นด้วย แต่เมื่อโรคร้ายเข้ามาในชีวิต ทำให้มีโอกาสได้เปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตและไลฟ์สไตล์ของตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย คุณสรวงเริ่มหันมาให้เวลาดูแลตัวเอง เริ่มไปเรียนปักผ้าครอสติตช์เรียนทำอาหาร เพื่อทำให้ตัวเองและลูกที่ยังเล็กได้ทานด้วย ตอนนั้นอยากกินรสจัดๆ แต่ต้องเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ก็เลือกกินส้มตำ กินจนเบื่อ ก็ต้องหันไปหาอาหารอย่างอื่น ก็คิดทำน้ำสลัดให้มีทั้ง 4 รสแบบส้มตำ แต่จะใช้อะไรดีเมื่อปั่นแล้วจะเกิดน้ำ ก็มีมะเขือเทศและหอมหัวใหญ่ ก็เลยใช้ 2 อย่างนี่แหละมาปั่น แล้วก็ค่อยๆปรุงรสชาติและสีสัน และน้ำสลัดต้องมีน้ำมัน ก็เติมน้ำมันมะกอกด้วย จากเริ่มแรกที่มีรสจืดๆก็เริ่มแต่งเติมรสชาติให้เข้มข้นขึ้นๆ ตอนหลังก็เริ่มเอาปลาทูน่ามาเพิ่มรสชาติด้วย แรกๆไม่ได้ใส่น้ำมะขามเปียก ใส่แต่น้ำมะนาว รสชาติก็จะเปรี้ยวโดด ก็มานึกดูว่าอะไรจะให้รสเปรี้ยวได้บ้าง ก็นึกถึงมะขามเปียก เลยลองผสมดู ก็ดีขึ้น แล้วก็ลองเติมน้ำส้มสายชูดูบ้าง ก็จะได้รสเปรี้ยว 3 แบบเลย

ส่วนผสม : มะเขือเทศพันธุ์เนื้อลูกใหญ่ 2 ส่วน / หอมหัวใหญ่ 1 ส่วน / กระเทียม 1/2 ส่วน / พริกขี้หนูเม็ดใหญ่สีแดงล้วน 1/4 ส่วน / น้ำมะขามเปียก / น้ำมะนาว / น้ำส้ม สายชู/ น้ำตาลปี๊บ / เกลือ / น้ำมันมะกอกชนิด Extra Vergin / ปลาทูน่ากระป๋องชนิดแช่ในน้ำมันพืช / พริกหวานรูประฆัง (สีแดง–เหลือง) / มะเขือเทศราชินี / ผักสลัดตามชอบ / หอมใหญ่

วิธีทำ 1) นำส่วนผสมตั้งแต่ 1-4 มาปั่น แค่หยาบๆ 2) นำส่วนผสมที่ปั่นแล้วแต่ละอย่าง กับที่เหลือตั้งแต่ 5-10 มาผสมรวมกัน เฉพาะน้ำตาลปี๊บต้องผสมน้ำร้อนเล็กน้อยให้ละลายก่อน แล้วปั่นทั้งหมดรวมกันอีกครั้ง ด้วยเครื่องปั่นมือ และชิมให้ได้รสเปรี้ยว เค็ม หวาน และเผ็ดนิดๆ ก็จะได้น้ำสลัดสไปซี่ ทานกับผักสลัดและเครื่องเคียง ซึ่งจะได้ความสดชื่นไม่เลี่ยนด้วย.