|
*ภาพจาก Internet
อุปมาแห่งชีวิต โดย : 'เขมานันทะ' (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)
เชคสเปียร์ กล่าวว่า ชีวิตคือละคร แต่ละคนก็เล่นไปตามบทบาทของตัว ชีวิตเหมือนฉากละครที่ผ่านไปเป็นฉากๆ เมื่อจบฉากแล้ว ก็จบสิ้นซึ่งหน้าที่และบทบาท ต้องโบกมืออำลาโรง เข้าหลืบของชีวิตไป และลงมาดูเวทีอันว่างเปล่า หรือผู้อื่นบนเวทีชีวิตนั้นต่อไป
ชีวิต อุปมาคือ หนังตะลุง เมื่อหนังตะลุงเลิก ตัวหนังตะลุงทุกตัว ทั้งตัวที่เล่นเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ เจ้าบ้านผ่านเมือง ยักษ์มาร หรือเป็นเมียน้อยเมียหลวง จะต้องกระโดดผลุงลงในแผง สงบนิ่งลงไปทุกตัวฉันใด
ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอธิบดี เป็นรัฐมนตรี เป็นสามเณร เป็นคนงาน เป็นยามเป็นคนขับรถ ในที่สุดก็ต้องกระโดดผลุงลงแผง จบกันสำหรับชีวิตทางกายภาพ นี่คือ หนังตะลุงที่มีแต่เงาของชีวิต
ชีวิตนี้เหมือนความฝัน ครั้นตื่นนอนแล้วฝันสลาย ชีวิตนี้เป็นความคลุมเครือ โพล้เพล้เหมือนยามสนธยากาล
ชีวิต อุปมาดั่งการวิ่งไล่คว้าเงา หลายครั้งที่เราวิ่งไล่เงาของตัวเอง สร้างอนาคตไว้อย่างสวยงาม และเราก็วิ่งไล่สิ่งที่เราสร้างอย่างเอาเป็นเอาตาย เหน็ดเหนื่อยไปทั้งชีวิต พอใกล้ๆจะจบ เราคว้าตะครุบมัน แต่ก็ได้เพียงลมว่างเปล่า เป็นการวิ่งไล่คว้าเงา คือสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นเองแท้ๆ ทะเยอทะยานอย่างเหนื่อยหน่าย เหงื่อแตกตั้งแต่เช้าตกเย็น...
กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ
กลางคืนนอนวางแผน กลางวันก็ออกวิ่งไล่แผนของตัว พอใกล้ๆ จะบรรลุผล กระโจนเข้าตะครุบ ปรากฏว่าพบแต่ลม
ชีวิตนี้มีตัณหาเป็นเครื่องล่อ มีความเพลินเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง มีอวิชชาเป็นเครื่องห่อหุ้ม มีความประมาทเป็นฉาก หรือเป็นเกล็ดฝ้าของดวงตา
จนกว่าเขาจะสะดุดขาของตัวเองล้มลงสักหนหนึ่ง .................
(คัดจาก : "อุปมาแห่งชีวิต" ใน ชีวิตงาม เล่ม ๕ : จัดพิมพ์โดย กองทุนสืบอายุพระพุทธศาสนาวัดชลประทานรังสฤษดิ์ กองทุนห้องสมุดศาลาจำปีรัตน์ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ฯ )
|