'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)
ปฏาจารา...น้ำตาที่มากกว่าห้วงมหาสมุทร



ปฏาจารา...น้ำตาที่มากกว่าห้วงมหาสมุทร





ครานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ มหาวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี
ทรงแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท

และแล้วโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด หญิงบ้านางหนึ่งได้ปรากฎกายขึ้น
ผมของนางยาวสยายรุ่ยร่ายกระเซอะกระเซิง
ร่างกายทั้งสิ้นเปลือยเปล่า ไร้อาภรณ์แม้สักชิ้นจะปิดบัง นางเดินฝ่าเข้ามาในระหว่างหมู่ชนที่กำลังสดับธรรม มุ่งตรงสู่พระผู้มีพระภาค ปากก็ร่ำรำพัน

"ลูกทั้งสองของเราตายเสียแล้ว สามีก็ตาย พ่อแม่และพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน"
นางพูดซ้ำ ๆ เพียงนี้

"หญิงบ้า ๆ " ใครสักคนตะโกนขึ้น พวกเขาต่างพยายามขวางกั้นนาง
ด้วยเกรงว่าจะทำความรำคาญให้แก่พระพุทธองค์

พระผู้มีพระภาคทรงเล็งเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมานับแสนกัลป์

"เว้นเราเสีย ผู้อื่นที่ชื่อว่าจะเป็นที่พึ่งของหญิงนี้ ไม่มี"

พระองค์ตรัสกับพุทธบริษัท ให้ปล่อยนางผู้มีทุกข์มหาศาลนั้น ได้เข้ามาพบกับหนทางดับทุกข์ ที่นางแสวงหา

"จงได้สติเถิด น้องหญิง"

ด้วยพระสุรเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา เยือกเย็นด้วยพระพุทธานุภาพ
"ปฏาจารา" ผู้น่าสงสารก็พลันกลับคืนได้สติในบัดดล
นางเกิดความละอายอย่างยิ่ง ที่เป็นผู้เปลือยกาย จึงได้ย่อตัวลงนั่ง

บุรุษผู้หนึ่งยืนผ้าห่มมาให้ นางรับมานุ่งแล้วจึงคลานเข้าไปหมอบกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท น้ำตาเอ่อไหลดั่งสายน้ำ กราบทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมดถวายแด่พระองค์ดังนี้...





นางนั้นเป็นธิดาของมหาเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาหวงแหนนัก
เพราะเป็นผู้ที่มีหน้าตางดงาม จึงจัดให้นางอยู่ชั้นบนของปราสาท
จะไปไหนก็ต้องขออนุญาต ด้วยความยากลำบาก และทุกครั้งต้องมีเหล่าคนรับใช้ตามไปเป็นกระบวน
สร้างความกดดัน อึดอัดแก่นางยิ่งนัก

พออายุได้ ๑๖ ปี นางเกิดความรักใคร่ตามธรรมชาติกับคนรับใช้ผู้ชายในบ้าน และถึงขั้นลักลอบได้เสียกัน โดยไม่มีผู้ใดรับรู้

เศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีชาติตระกูลเสมอกัน ได้มาสู่ขอนางให้กับบุตรชายของตน และบิดามารดาก็เต็มใจยกให้
ต่างพากันจัดเตรียมงานวิวาห์อย่างใหญ่โต นางรู้สึกกระวนกระวาย ตัดสินใจไม่ถูก
เมื่อใกล้วันงานเข้าไปทุกขณะ จึงเรียกคนรัก ซึ่งเป็นผู้รับใช้หนุ่มมากล่าวว่า...

"หากฉันแต่งงานไป เราจะไม่ได้พบกันอีกเลยชั่วชีวิตนี้ ถ้าเธอรักฉันจริง ก็จงพาฉันหนีไปเถิด"

ทั้งสองคนได้นัดแนะ ที่จะพบกันตรงประตูเมือง
ในคืนนั้นนางหยิบของมีค่าลงห่อผ้า นอนไม่หลับตลอดคืน รู้สึกว่าตนเองกำลังทำความผิดใหญ่หลวง
แต่ความรักก็มีพลังอำนาจมากกว่าความรับผิดชอบชั่วดีใด ๆ

เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ขณะที่ทุกคนยังนอนหลับใหล นางได้สยายผม ทากายด้วยเขม่า นุ่งผ้าเก่า ๆ ปลอมเป็นทาสี ถือหม้อน้ำมุ่งตรงไปพบคนรักยังประตูเมือง
ทั้งสองพากันเดินไปอย่างเร่งรีบ จนถึงริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดีเมื่อตอนพระอาทิตย์เริ่มทอแสง
ต่างประคองกันลุยข้ามแม่น้ำที่ยะเยียบเย็น ท่ามกลางสายหมอกปกคลุมอ้อยอิ่งเหมือนม่านกำบังที่ร่วมรู้เห็นเป็นใจ

พากันไปได้ไกลพอสมควรแล้ว ก็ปักหลักสร้างกระท่อมอาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ปลูกผัก ทำไร่ไถนา เลี้ยงชีพ
นางผู้ไม่เคยพบพานกับความยากลำบากเลยในชีวิต ต้องผ่าฟืน ตำข้าว และหุงต้มด้วยมือของตนเอง
แต่ความทุกข์นี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เพิ่งจะเริ่มในชีวิตของนางเท่านั้น





แล้วนางก็ตั้งครรภ์ ความรักที่มีต่อลูกน้อยซึ่งยังไม่ถือกำเนิดมากมายยิ่งนัก ไม่อยากให้ลูกเกิดมาท่ามกลางความยากจน จึงเฝ้าอ้อนวอนสามีว่า

"ที่แห่งนี้ ไม่มีญาติของฉันเลยสักคน พาฉันกลับไปยังบ้านของพ่อแม่ด้วยเถิด ป่านนี้ท่านคงยอมอภัยให้เราแล้ว ฉันอยากกลับไปคลอดลูกที่นั่น"

อดีตคนรับใช้ที่ต่ำต้อย เกรงกลัวโทษทัณฑ์สำหรับความผิดที่ได้กระทำมา จึงบ่ายเบี่ยงตลอด มิไยที่นางจะอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า เขาก็ไม่โอนอ่อน

กาลเวลาล่วงเลยจนกระทั่งท้องแก่มาก นางตัดสินใจหนีกลับโดยลำพัง

ข้างสามีได้ออกตามหามาทันที่กลางทาง เวลานั้นนางทนปวดท้องไม่ไหว ลงนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นดิน ที่สุดก็คลอดลูกคนแรกเป็นชาย ในกลางป่านั่นเอง
ทั้งสามชีวิตหอบหิ้วกันกลับกระท่อมที่อยู่เดิม

ผ่านไป ๒ ปี นางตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก เมื่อท้องแก่จัดก็หนีอีกเช่นเคย คราวนี้จูงลูกชายคนโตมาด้วย
เมื่อสามีตามมาทันได้ขอร้องให้นางกลับ นางก็ไม่ปรารถนา คงยืนยันที่จะเดินทางต่อไป
ราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง อยู่ ๆ เมฆฝนดำทะมึนได้ก่อตัวขึ้นอย่างมืดมิด ทั้งที่มิใช่ฤดูกาล
ลมแรงพัดกรรโชกไปทั่ว ต้นไม้โอนเอนดังจะหักโค่น ท้องของนางเริ่มเขม็งเกลียว มันบีบรัดปวดจนแทบพูดไม่ออก กัดฟันร้องบอกสามีว่า
"ทำที่กำบังฝนให้ด้วย ฉันจะคลอดที่นี่"

เขารีบเดินฝ่าลมพายุจากไป เพื่อหาหญ้าคามาทำหลังคาขณะที่ฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก นางและลูกเฝ้ารอคอยแต่เขามิได้กลับคืนมาอีกเลย
ท่ามกลางพายุ นางคลอดบุตรคนที่สองโดยลำพัง หญิงผู้น่าสงสารกอดลูกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิดไว้แนบอก
แล้วก้มตัวลงคร่อมร่างบุตรคนแรกไว้ เพื่อป้องกันฝนให้ลูก เผชิญความทุกขเวทนาหนาวเหน็บเจ็บปวดปานจะขาดใจ จวบจนรุ่งเช้าฝนจึงยอมซาเม็ด

นางโผเผลุกขึ้นยืน ร่างกายซีดเหมือนไม่มีโลหิต อุ้มลูกที่เพิ่งเกิดไว้ แล้วหันไปพูดกับลูกคนโต
"ไปตามหาพ่อกันเถอะลูก"

ที่ข้างจอมปลวกข้างหน้า สามีของนางนอนตัวแข็งอยู่บนพื้นดิน ร่างกายเปียกโชกด้วยน้ำ
นางและลูกรีบวิ่งเข้าไปหา แต่เขาสิ้นใจแล้ว เพราะถูกงูพิษกัด
นางร้องไห้คร่ำครวญ ว่าเป็นเพราะตนเองสามีจึงต้องตาย ลูกทั้งสองต้องเป็นกำพร้า





ด้วยใบหน้านองน้ำตา มือหนึ่งอุ้ม มือหนึ่งจูง โผเผพาลูกน้อย มุ่งสู่บ้านเดิมในกรุงสาวัตถี

เมื่อมาถึงแม่น้ำอจิรวดี น้ำได้ขึ้นสูงถึงเพียงอก เพราะฝนที่ตกหนักตลอดคืนยันรุ่ง ไม่มีปัญญาจะพาลูกทั้งสองข้ามน้ำไปพร้อมกันได้ จึงบอกลูกคนโตที่ยังเล็กนักว่า

"รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ แม่พาน้องข้ามไปก่อน เดี๋ยวแม่มารับ"

เมื่อข้ามไปถึงฝั้งโน้นแล้ว ก็หาใบไม้ปูลาดกับพื้นวางลูกอ่อนไว้ แล้วลุยน้ำข้ามกลับไปเพื่อรับลูกคนโต
พอถึงกลางน้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเด็กอ่อน จึงโฉบลงมาจากอากาศ เอาลูกน้อยที่เพิ่งเกิดของนางไป นางตกใจมากยกมือขึ้นกวัดแกว่ง ส่งเสียงไล่มัน
แต่เสียงน้ำที่เชี่ยวกรากกลบเสียงของนางเสียสิ้น

ลูกคนโตยืนอยู่อีกฝั่งเห็นแม่ยกมือและตะโกน หนูน้อยสำคัญผิดว่าแม่กวักมือเรียก ด้วยความไร้เดียงสา จึงปีนลงจากฝั่งเพื่อมาหาแม่

กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากได้กระชากตัวเด็กน้อยจมหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ความปรานี

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดปัญญาที่นางจะช่วยเหลือหรือทำอะไรได้





ด้วยหัวใจที่แตกสลาย นางเดินพลางร่ำไห้พลาง ประคองสติไว้แทบไม่อยู่ จิตใจจดจ่อ มุ่งตรงจะกลับบ้านเกิด ซึ่งเป็นที่พึ่งพิงแห่งสุดท้าย

เมื่อเดินสวนกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมาจากกรุงสาวัตถี จึงถามถึงพ่อแม่ของตนเอง
ชายคนนั้นเงียบไปสักพักแล้วบอกว่า พายุอันรุนแรงเมื่อคืนได้ทำให้ปราสาทของเศรษฐีเกิดไฟไหม้และพังทลายลง ล้มทับเศรษฐี ภรรยา และบุตรชายถึงแก่ความตายทั้งหมด

ขณะนี้คนทั้งสามถูกเผาอยู่บนเชิงตะกอนอันเดียวกัน
"โน่นแน่ะ ควันยังกรุ่นลอยปรากฏอยู่เลย"

สิ้นเสียงของชายคนนั้น ความทุกข์โทมนัสอย่างสุดแสนสาหัสเข้าครอบงำจิตใจของนาง สติที่เหลือเพียงเส้นใยบาง ๆ ขาดสะบั้นลงทันที

ความวิปลาสได้บังเกิด ผ้านุ่งห่มหลุดลุ่ยไม่รู้ตัว นางเดินเปลือยกายดังคนวิกลจริตไปทั่ว ปากก็ร้องรำพันแต่ว่า

"ลูกทั้งสองของเราตายเสียแล้ว สามีก็ตาย พ่อ แม่ และพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน"

คนทั้งหลายเห็นนางแล้วจะตะโกนว่า "หญิงบ้า ๆ "
เอาหยากเยื่อบ้าง ฝุ่นบ้าง โปรยลงบนศีรษะ บ้างก็ขว้างปาด้วยก้อนหิน ผู้คนต่างโจษขานเรียกนางว่า "ปฏาจารา" (ผู้ไปโดยไม่มีผ้า)





พระผู้มีพระภาคสดับเรื่องราวทั้งสิ้นที่นางเล่าถวาย สายพระเนตรซึ่งทอดมายังนาง เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาต่อสัตว์ผู้ยาก พระองค์ตรัสขึ้นว่า

"ดูก่อน ปฏาจารา เธออย่าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้วเลย หากควรทำปัจจุบันให้ถึงพร้อม
บัดนี้สามีของเธอ ลูกทั้งสอง มารดา บิดาและพี่ชาย เขาเหล่านั้นได้พากันจากเธอไปแล้ว
ในเวลาที่บุคคลอันเป็นที่รัก มีบุตรเป็นต้น ต้องตายลงในสงสารนี้ เธอก็ได้ร้องไห้ คร่ำครวญมานานแสนนานนับภาพนับชาติไม่ได้
และยังจะต้องร้องไห้ต่อไปอีกหรือ
น้ำตาของเธอมากกว่าน้ำในห้วงมหาสมุทรทั้งสี่ เหตุไรเธอยังประมาทอยู่
ไม่ว่าตัวเธอเอง ทุกคนในโลก หรือว่าตัวเรา จักต้องถึงซึ่งสภาพนั้นในที่สุด
บิดา มารดา หรือบุตร ก็ต้านทานป้องกันไม่ได้ คนเหล่านั้นถึงมีอยู่ก็เท่ากับไม่มี

ดูก่อน ปฏาจารา บัดนี้เธอจงหยุดความร่ำไรรำพันเสียเถิด จงดำรงตนอยู่ในอินทรียสังวรศีล
ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๙ เพื่อใช้นำทางไปสู่พระนิพพานเสียแต่บัดนี้จึงจะเป็นการดี"


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง "อนมตัคคปริยายสูตร" คือเรื่องสงสารที่วนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วพระองค์ได้ตรัสพระคาถา เพื่อทรงแสดงธรรมให้ถูกกับนิสัยของนางว่า

"เมื่อบุคคลถูกความตายครอบงำแล้ว
บุตรทั้งหลายย่อมไม่มี เพื่อต้านทานได้
บิดา ย่อมไม่มี เพื่อต้านทานได้
แม้พวกพ้องทั้งหลาย ก็ไม่มีเพื่อต้านทาน
การต้านทานย่อมหาไม่ได้ในหมู่ญาติ
บัณฑิต ครั้นรู้อำนาจของประโยชน์นี้แล้ว
พึงเป็นผู้สำรวมในศีล
พึงรีบชำระหนทางเป็นที่ไปสู่พระนิพพานโดยเร็วพลัน"


สิ้นพุทธวจนะ ปฏาจารามีความเข้าใจในทันทีว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
นางได้บังเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน





นางกราบทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุณี ในพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา
เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านภิกษุณีปฏาจาราก็เจริญวิปัสสนายิ่งขึ้น โดยไม่ประมาท

วันหนึ่ง เมื่อกลับจากบิณฑบาต ขณะที่ท่านตักน้ำล้างเท้า
สายน้ำที่ราดรดไหลไปได้หน่อยก็ซึมหายลงในดิน
พอราดครั้งที่สอง สายน้ำไหลเลยมากกว่าครั้งแรก
พอราดครั้งที่สาม สายน้ำไหลเลยแนวที่สองไปแล้วซึมลงดิน

ท่านจึงถือเอาสายน้ำที่ราดรดทั้ง ๓ ครั้ง เป็นอารมณ์กำหนดรู้ว่า

สัตว์บางพวกตายเสียใน "ปฐมวัย" คือวัยต้นก็มี
เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งแรก
บางพวกตายใน "มัชฉิมวัย" คือวัยกลาง
เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งที่สอง
บางพวกตายใน "ปัจฉิมวัย" คือวัยสุดท้าย
เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งที่สาม


หากจิตละการยึดมั่น ถือมั่นเสียแล้ว ก็จักปล่อยวางจากอาสวะทั้งมวลได้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งอยูในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฎเหมือนดังพระองค์ประทับยืนอยู่ เฉพาะหน้าท่านภิกษุณี ตรัสว่า

"ดูก่อน ปฏาจารา ผุ้ที่เห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไปแห่งขันธ์ ๕
แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าผู้ที่มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ไม่เห็นความเกิดขึ้น และเสื่อมไปแห่งขันธ์ ๕ นั้น"


ในเวลาจบพระพุทธดำรัส ท่านภิกษุรีปฏาจาราได้บรรลุอรหัตผลทันที มีจิตหลุดพ้น เข้าสู่พระนิพพาน อันบริสุทธิ์ยิ่งแล้ว

เธออย่าเศร้าโศกเลย
อย่าคร่ำครวญเลย
เราบอกไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่า
ความพลัดพราก
ความทอดทิ้ง
ความแปรเปลี่ยนจากของรักของชอบใจทุกอย่าง
จะต้องมี
ฉะนั้นจะพึงหาอะไรได้จากที่ไหนในสังขารนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นมีขึ้น
ถูกปัจจัยปรุงแต่งล้วนสลายไปเป็นธรรมดา
เป็นไปไม่ได้ที่จะปรารถนาว่า
ขอสิ่งนั้น
อย่าเสื่อมคลายไปเลย






หมายเหตุ * คัดจาก "ก่อนอาทิตย์อัสดง" เรียบเรียงโดย "อาทิตย์ยามเช้า"







Create Date : 15 ธันวาคม 2551
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 13:02:03 น. 12 comments
Counter : 2308 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ...
บังเอิญในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญงานศพถึง ๕ งานติด ๆ กัน...
และแต่ละงานนั้นผู้เสียชีวิตล้วนแต่มีอายุขัยที่ไม่มากนัก

ทำให้นึกถึงพุทธประวัติอันว่าด้วย"มรณานุสสติ"ตอนนี้ขึ้นมา

ขออนุญาตคัดมาฝากเพื่อน ๆ น้อง ๆ ผู้ใฝ่ธรรมทุกท่านค่ะ



โดย: แม่ไก่ วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:16:52:25 น.  

 
เคยอ่านเรื่องนี้ตอนเด็กๆ อะพี่
จำได้ว่าร้องไห้สงสาร สะอึกสะอื้นอยู่นาน T^T


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:16:59:41 น.  

 

สาธุค่ะ สาธุ

หลวงปู่จันทร์ศรี กล่าวไว้ว่า ...

" โลกนี้และชีวิตนี้ไม่มีอะไร เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ ... มานานแล้ว

เราสุขเราทุกข์อย่างนี้มาหลายภพหลายชาติแล้ว

อย่าโศกเศร้าเสียใจไปนักเลย "

ดูแลสุขภาพดีๆ นะคะ โชคดีและมีแต่ความสุขใจค่ะ

สวัสดีวันสีเหลืองค่ะ ...


โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:17:37:38 น.  

 
ถูกต้อง

อัพยากะตา ธัมมา คือ อุเบกขา นั้นเอง

ที่นางปฏาจาราเข้าถึง


โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:22:00:07 น.  

 
อ่านแล้วซาบซึ้งมากค่ะ พุทธวัจนะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกคนต่างเวียนว่าย ร้องไห้มานับภพชาติไม่ถ้วน นำตาทั้งหมดมากกว่ามหาสมุทรก็มาจากเรื่องนี้นั่นเอง

ได้ข้อคิดว่าเรามิควรยึดมั่นสิ่งใดเลย จงทำนิพพานให้ถึงพร้อมเถิด สาธุๆๆ


โดย: นางฟ้าหน้าหมวย (บินปร๋อ ) วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:22:53:44 น.  

 
ใช่แล้ว ……มรณานุสสติเป็นสิ่งที่ควรระลึกถึงไว้เนืองๆ

เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่วันเดินทางจริงจะมาถึง




โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:23:15:48 น.  

 
เรื่องนี้เคยได้ฟังจากซีดีแล้วเหมือนกัน
เป็นเรื่องที่ให้ข้อคิดเตือนใจมาก
แม้ผู้ที่ขาดสติแล้ว พระพุทธองค์ยังทรงช่วยให้คืนสติได้ แล้วนางก็ยังปฏิบัติจนได้มรรคผลได้

พวกเราคนมีสติอยู่ ยังไม่ถึงกับเสียสติไป ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริง ย่อมถึงมรรคผลได้เช่นกัน

คนเรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นความตายไปได้


โดย: กิ่งไม้ไทย วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:0:22:54 น.  

 
สาธุค่ะ

เรื่องนี้เอ็มเคยอ่านค่ะ อ่านแล้วก็สงสารนางปฏาจารามากๆ

แต่การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา
และสิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดแก่ทุกชีวิต


ขอบคุณพี่แม่ไก่สำหรับเรื่องดีดีที่ช่วยเตือนสติค่ะ


โดย: discipula วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:1:58:14 น.  

 
เคยอ่านมาหลายรอบ ๆ
เป็นอุทาหรณ์สอนใจเราได้อย่างดีครับ
คนสมัยนี้ขาดการฝึกสติอยู่มาก

แต่จะว่าคนอื่นมันก็ไม่ถูกนัก
ผมพยายามนึกย้อนกลับมาหาตัวเองเสมอ ๆ
ว่าวันหนึ่งถ้าคนที่เรารักจากไปเราจะร้องไห้เสียใจไหม
คำตอบก็คือ เราจะต้องไม่ร้อง
เพราะเรามีธรรมของพระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่ตลอด
เพราะผมเชื่อว่าการที่เราไม่เสียน้ำตาไม่ใช่คนอกตัญญู
แต่เป็นคนที่ก้าวขึ้นสู่ความจริงของชีวิตอีกขั้นครับ


โดย: อัสติสะ วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:8:28:35 น.  

 
สวัสดีครับปี้แม่ไก่

คลิ๊กเดียว
หมื่นตาหายจ๋อยเลยครับปี้




ผมก่ต้องทำใหม่ 4 ตอนครับ
อุตส่าห์จะรออัพบล้อกวันนี้
เพราะทำเสร็จกู้บล็อกแล้วตวยครับ








โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:9:22:04 น.  

 
เคยอ่านเรื่องนี้ค่ะ
เศร้ามากๆ เลย





โดย: ศรีสุรางค์ วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:10:04:11 น.  

 
คนเรามีเกิด มีแก่ มีพลัดพรากเป็นธรรมดา

สักวันผมก็คงต้องถึงจุดนั้น

ไม่ช้าก็เร็ว......

.....

ขอบคุณที่แวะไปทักทายครับผม


โดย: Dr.Manta วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:22:36:37 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.