ลาก่อน....น้องรัก
ลาก่อน....น้องรัก

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"รุ้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากงานศพ

ดิฉัน เป็นคนที่ไม่ชอบไปงานศพเลย กลัวมากๆ นิสัยไม่ดีเลยนะคะเนี่ย เพราะเคยได้ยินเขาว่ากันว่า ระหว่างงานแต่งงานกับงานศพนั้น ถ้าให้เลือก เราควรไปงานศพมากกว่า...เพราะนั่นคือการเคารพและล่ำลาครั้งสุดท้ายแล้ว

แต่คุณคะ จะทำยังไงได้ ดิฉันมันคนกลัวผีขึ้นสมองเลยเชียวละ แล้วบรรยากาศงานศพน่ะ มันสุดสยองเหลือเกินสำหรับดิฉัน! คนที่มางานทุกคนล้วนแต่งดำสนิท สีหน้าเรียบเฉย พูดคุยกันเบาๆ กลิ่นพวงหรีดก็หอมเย็นๆ น่าขนลุก แล้วยังกลิ่นธูปควันเทียน โลงศพตั้งตระหง่าน เสียงพระสวดวังเวงใจ...

ยิ่งถ้าเป็นวันรดน้ำศพด้วยแล้ว ดิฉันก็แทบขาดใจจริงๆ ค่ะ เพราะต้องทรุดตัวลงข้างร่างแข็งทื่อที่ยื่นมือซีดๆ ออกมา ดิฉันไม่กล้ามองหน้านั้นแม้แต่แวบเดียว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม...กลัวติดตาน่ะสิคะ!

ความทรมานจะพุ่งสุดขีดเมื่อออกจากงานศพ...

นั่งรถท่ามกลางความมืดสลัว ถึงจะมีไฟถนนก็เถอะ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ดิฉันจะรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ แล้วไม่สบายใจ อัดอัดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อกลับถึงบ้านก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว ต้องฝืนใจเข้าห้องน้ำ รีบอาบน้ำแล้วมานั่งรวมกับคนอื่นๆ โดยที่ความรู้สึกสยดสยองจากงานศพยังตามมาหลอกหลอน...นานเชียวกว่าจะหาย บางทีต้องใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะลืมเลือนไปได้ เฮ้อ! อ่อนใจ...

ด้วยเหตุฉะนี้ ดิฉันจึงหลีกเลี่ยงการไปงานศพมาตลอด จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง...มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ค่ะคุณ

เช้าตรู่วันนั้น คุณแม่บอกข่าวร้ายทั้งน้ำตาว่า "น้องแพรว" ของดิฉันตายเสียแล้ว!

ภาพหญิงสาวที่น่ารักผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที...

แพรวเป็นลูกสาวของคุณป้าดิฉันเอง เธออ่อนกว่าเพียงปีเศษ เราจึงสนิทสนมกันมาก เมื่อตอนเล็กๆ เราเล่นกันมาตลอด ป้าผ่องจะพาน้องแพรวมาทิ้งไว้ที่บ้านดิฉันเสมอ เราเล่นเป็นดารานักร้อง ผลัดกันขึ้นเวทีถือไมค์ร้องไปเต้นไปอย่างสนุกสนาน เราวาดรูปด้วยกัน ไปเรียนรำไทยด้วยกัน...แพรวติดดิฉันมากจนไม่ยอมกลับบ้านเมื่อแม่มารับตอน เย็น จนป้าผ่องต้องไปขนเสื้อผ้ามาให้

เมื่อเราโตขึ้นก็เริ่มห่างเหินกันออกไปทุกที ซึ่งก็เป็นปกติธรรมดาของชีวิต ที่ต่างคนต่างมีภาระของตัว ยิ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างแต่งงาน เราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย จากเดือนเป็นปีและหลายๆ ปี กลายเป็นนานทีปีครั้งถึงจะได้พบกัน

จนในที่สุดรู้ว่าเธอเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่! ช่วงสุดท้ายของชีวิต แพรวก็ไม่ได้บอกใครว่าเธอเจ็บหนัก...จากไปโดยดิฉันไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ไอซียู ที่โรงพยาบาล

ทั้งๆ ที่ไม่ชอบไปงานศพ แต่ดิฉันก็ไปงานของแพรวอย่างเต็มอกเต็มใจ

ในงานนั้น ดิฉันเป็นคนที่นั่งใกล้โลงทองมากที่สุด และนึกแปลกใจว่าทำไมถึงไม่ค่อยกลัวอย่างที่เคยเป็นมาก่อนนี้?

เมื่อพระสวดจบ คุณแม่รีบกลับบ้านเพราะเป็นห่วงคุณพ่อที่ไม่สบาย เราออกจากงานอย่างรวดเร็ว ดิฉันจำได้เพียงหันไปลาป้าผ่อง แล้วเหลือบมองโลงศพทองอร่าม...

ลมหนาวพัดวูบ...ขณะที่เดินผ่านศาลาต่างๆ ดิฉันรู้สึกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาติดตัวดิฉัน...เธออยู่ชิดมากทาง ไหล่ด้านขวาเยื้องไปทางข้างหลัง พอหันขวับไปก็ไม่เห็นใครสักคน...แต่ดิฉันแน่ใจว่ามีใครบางคนเดินตามมาติดๆ

ทันใดนั้น ดิฉันก็รับรู้อย่างแรงกล้าว่า...ผู้ที่เดินตามมาคือน้องแพรว!

ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง แต่ความรู้สึกชัดเจนที่สุด เธออยู่ตรงนี้...เดินมาส่งดิฉัน ร่างที่มองไม่เห็นแทบจะแนบกับไหล่ของดิฉันเลยทีเดียว

"แพรว...ขอบคุณที่มาส่ง กลับไปอยู่กับลูกเถอะ" ดิฉันพึมพำ ลูกชายของเธออายุเพิ่งหกขวบ น่ารักมากๆ ฉลาดเป็นกรด น่าใจหายที่ความตายมาพรากแม่ลูกนี้ไปจากกัน

แพรวยังเดินชิดไหล่ดิฉันมาถึงประตูวัด ซึ่งเปิดออกสู่ลานจอดรถ และรถของดิฉันก็จอดอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง...ความรู้สึกบอกว่าแพรวยืนอยู่แค่ประตู ส่วนดิฉันเดินตรงไปที่รถ...เธอยังอยู่ตรงนั้น! ดิฉันมั่นใจมากเมื่อมองไปยังจุดที่ว่างเปล่า...เธอยังยืนส่งดิฉัน เปี่ยมด้วยความรักเหมือนตอนที่เราเป็นเด็ก...

ดิฉันเลี้ยวรถจากมาโดยที่หันไปยิ้มให้...ไม่กลัวสักนิด แต่อบอุ่นเหลือเกิน

หลายวันต่อมา ดิฉันเล่าให้ป้าผ่องฟังว่าคืนนั้นแพรวตามมาส่งถึงรถ ป้าผ่องขนลุกและบอกว่า แพรวมาหาป้าผ่องในลักษณะนั้นเช่นกัน คือมายืนแนบชิดอยู่ทางด้านหลังเหมือนเอนพิงตรงบ่า...เธอมาแค่หนเดียวเท่า นั้นเอง

ทุกคืนดิฉันยังสวดมนต์ถึงแพรวด้วยความรัก และนึกขอบใจที่เธอไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวเลย...ไม่แน่นะ เหตุการณ์นี้อาจจะทำให้ดิฉันหายจากโรคกลัวงานศพก็ได้ค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV4TVRFMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB4TVE9PQ==



Create Date : 11 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 19:30:51 น.
Counter : 668 Pageviews.

1 comment
วิญญาณคนเป็น
วิญญาณคนเป็น

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"รักษ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนางเลิ้ง

เชื่อกันว่ามนุษย์ทุกคนมีพลังจิตประจำตัวทุกคน พลังจิตที่ว่านั้นอาจจะล่องลอยออกจากร่างชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ว่ายามตื่นหรือหลับ เช่นมีอาการใจลอย เหม่อ ที่เรียกว่าจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเป็นสิ่งที่คนเราเรียกว่าเป็นความฝันในยามที่หลับสนิท

บางคนเรียกว่า "เจตภูต"

เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว พลังนี้มักจะเรียกกันว่า "วิญญาณ"

เจตภูตหรือวิญญาณก็เหมือนกับตัวตนของคนทั่วไป คือ มีทั้งความเข้มแข็งและอ่อนแอ ถ้าเจ้าตัวเข้มแข็งก็จะทำให้เจตภูตหรือวิญญาณพลอยมีพลังรุนแรง จนอาจปรากฏให้ผู้อื่นรู้เห็นได้ ...หลายๆ ครั้งก็ก่อให้เกิดความมหัศจรรย์ จนถึงกับน่าสยดสยองได้โดยไม่คาดฝัน

ผมเคยประสบกับสิ่งดังกล่าว แม้ว่าไม่อาจจะอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่ก็ทำให้ขนหัวลุกเลยนะครับ

เมื่อประมาณสิบปีเศษมาแล้ว ผมกับครอบครัวอยู่แถววัดแค นางเลิ้ง ที่ทำงานของผมกับภรรยาก็อยู่ที่เดียวกัน คือองค์การของรัฐแห่งหนึ่งที่ถนนราชดำเนินกลาง ถือว่าอยู่ใกล้บ้านมากกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ตอนเช้าขับรถไปส่งลูกชายที่โรงเรียนมัธยมใกล้ๆ บ้าน แล้วเลยไปที่ทำงานด้วยกัน

วันเสาร์อาทิตย์มักจะมีเพื่อนฝูงแวะมาเยี่ยม ส่วนมากมักจะมาชิมอาหารอร่อยๆ ละแวกนั้น เช่น ก๋วยเตี๋ยวเครื่องในหมู ข้าวหน้าสตู ไส้กรอกปลาแนมที่ตลาดนางเลิ้ง เป็นต้น

"ชล" เพื่อนที่ทำงานหนุ่มโสดรุ่นน้องไม่ใช่นักกิน แต่เป็นนักเล่น "ไม้กระถาง" เหมือนกับผม ตอนแรกก็เล่นของง่ายๆ อย่าง ดาวเรือง เบญจมาศ เยอบีร่า ......ต่อมาเมื่อเห็นที่บ้านผมมีทั้งเฟื่องฟ้า พิทูเนีย พังพวย ไปจนถึง บีโกเนีย และแอฟริกันไวโอเล็ต ...ชลก็ชอบมาดูบ่อยๆ และไต่ถามหาความรู้ไปด้วย ซึ่งผมก็บอกกล่าวให้ฟังโดยไม่มีอะไรปิดบัง

ระยะหลังๆ ชลมาขอแอฟริกันไวโอเล็ตที่ผมขยายพันธุ์ไว้สิบกว่ากระถาง ผมก็ให้ไปพร้อมกับแนะนำการเลี้ยง เช่น ต้องการความชื้นสม่ำเสมอ แต่อย่าให้ถึงกับแฉะและฉ่ำน้ำ รวมทั้งการให้ปุ๋ย เช่นปุ๋ยปลาที่ไม่มีกลิ่นจะใช้ได้ดีกว่าปุ๋ยเคมี เป็นต้น

ไม้ชนิดนี้จะเติบโตได้ดีในที่มีแสงรำไร แต่ต้องการแดดจัดขึ้นในการให้ดอก ถ้าใบชักเหลืองแสดงว่าแสงมากไป ต้นจะเป็นพุ่มแน่น ดอกสีซีดลง ต้องระวัง...หนักเข้า ชลก็อยากศึกษาวิธีปลูกเลี้ยงแอฟริกันไวโอเล็ตชนิดเลื้อยเป็นพุ่ม บางวันเลิกงานถึงกับขอตามมาที่บ้าน ...ถ้าเสาร์อาทิตย์จะขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านที่ราชเทวีมาตั้งแต่ตอนบ่าย ขลุกอยู่ถึงเย็นเป็นประจำ

เสาร์ที่เกิดเหตุขนหัวลุกก็เช่นกัน!

หลังอาหารกลางวัน ภรรยานั่งดูทีวีในห้องรับแขกกับลูกชาย ส่วนผมมาเดินดูแลต้นไม้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แล้วก็ขึ้นไปเปิดหนังสือว่าด้วยการใช้ไม้กระถางในการตกแต่ง...ก็พอดีได้ยิน เสียงมอเตอร์ไซค์คุ้นหูจอดลงที่ประตูรั้ว

"พ่อๆ อาชลมา..." เสียงลูกชายผมร้องขึ้นมา ก่อนจะลดเสียงลง "ประตูไม่ได้ล็อกฮะ อาชล..."

ผม ปิดหนังสือเดินลงบันไดมาชั้นล่าง ...เห็นภรรยากับลูกชายกำลังมองตากัน ก่อนจะหันมามองผมอย่างงงงัน ...บอกว่าเห็นชลกำลังเลี้ยวรถเข้ามาหยกๆ แต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ทั้งรถทั้งคน?!

คุณพระช่วย! เป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อผมเองก็ได้ยินเสียงรถของชลเช่นกัน!

ก้าวยาวๆ ออกจากบ้านไปที่เฉลียง ลงบันไดเตี้ยๆ เดินไปตามทางจนถึงประตูรั้วที่เปิดโล่ง...ออกไปมองซ้ายมองขวาท่ามกลางแสงแดด ของยามบ่ายในฤดูหนาว แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของชลเลย...ใจเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเดินกลับเข้าไป ในบ้าน มองดูหน้าลูกเมียก็เห็นซีดเซียวจนน่าสงสาร

"หรือว่าเราจะหูแว่วไปเอง?" ผมพึมพำ แต่ลูกชายยืนยันว่าเห็นน้าชลผลักประตูรั้วแล้วเลี้ยวรถเข้ามาอย่างแน่นอน

แทบไม่ขาดเสียง เราสามคนก็แทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงรถคันนั้น ...รถของชล!

ร่างผอมสูงก้าวลงมายิ้มฟันขาว ยกมือไหว้จนเห็นเลือดเปรอะหลังมือ...ได้ความว่าเขาเกิดเฉี่ยวกับรถเมล์ที่ สี่แยกนางเลิ้ง หมดสติไปครู่หนึ่งก่อนจะฟื้นขึ้นเป็นปกติ ...ชลเล่าว่าตอนที่วูบไปนั้น เขาเห็นตัวเองกำลังเลี้ยวรถเข้าบ้านผมจนรู้สึกตัวตามเดิม

พลังจิตของคนเรายังเร้นลับและรุนแรงแทบไม่น่าเชื่อ ...แต่ที่แน่ๆ คือทำให้ผมและลูกเมียขนหัวลุกไปตามๆ กันครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV3TVRFMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB4TUE9PQ==



Create Date : 10 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2551 19:42:16 น.
Counter : 640 Pageviews.

1 comment
ล่าวิญญาณ
ล่าวิญญาณ

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ป้าน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสวนมะลิ

ข่าว ลือเรื่องยมทูตจะมาเอาวิญญาณมนุษย์มีมานานแล้วนะคะ แถมหลายรูปแบบอีกต่างหาก เช่นจะมาเอาชีวิตคน "ปีมะ" บ้าง คนเกิดวันนั้นวันนี้บ้าง รวมทั้งพระราหูก็มีข่าวว่าจะเอาชีวิตคนเป็นเครื่องเซ่น ต้องสังเวยหรือบูชาด้วยอาหารที่มีสีดำล้วนๆ ตามสีกายของพระราหูจึงจะรอดชีวิตได้

คนไม่เคยเห็นไก่ดำ ทั้งเนื้อและกระดูกดำหมด ก็จะได้เห็นและได้กินกันคราวนี้แหละ

แม้แต่เรื่อง "ใหลตาย" ก็เชื่อถือกันว่าเป็นอาถรรพณ์จากยมทูตบ้าง จากผีแม่ม่ายที่จะมาล่าวิญญาณพวกผู้ชายหนุ่มๆ บ้าง ต้องหาทางแก้ไขหรือป้องกันหลากหลายรูปแบบ

คือมีทั้งทาเล็บด้วยสีแดงเพื่อหลอกผีแม่ม่ายว่าเป็นผู้หญิง เพราะถ้าผีคิดว่าไม่ใช่ผู้ชายก็จะไม่เอาวิญญาณไปให้เสียเวลา

บางหมู่บ้านทางภาคอีสานก็ใช้ชีวิตเอาไม้มาแกะเป็นรูปอวัยวะเพศชาย เรียกว่า "ปลัดขิก" ค่อนข้างใหญ่โต ทาสีแดงส่วนปลายให้โดดเด่นเป็นพิเศษ แล้วตั้งตระหง่านไว้หน้าบ้าน เชื่อว่าถ้ามีผีแม่ม่ายผ่านมาเห็นเข้า ก็จะรู้สึกพออกพอใจกับ "ปลัด" นั้นๆ จนไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ผู้ชายตัวเล็กๆ อีกต่อไป

เรื่องราวทำนองนี้อาจจะมีผู้ยิ้มเยาะก็ได้ นอกจากจะไม่เชื่อถือแล้วยังเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันอีกต่างหาก แต่ขอบอกว่าอย่าลืมคติเตือนใจที่สำคัญอย่างเด็ดขาด

"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!"

ดิฉันเคยมีประสบการณ์น่าสยดสยองมากับตัวเอง ทุกวันนี้นึกถึงแล้วยังขนหัวลุกอยู่เลยค่ะ

สมัยเด็กดิฉันอยู่สวนมะลิ ใกล้ๆ กับโรงพยาบาลกลาง แถวห้าแยกพลับพลาชัยนี่เอง...บ้านเช่าของพวกเราอยู่หลังตึกแถวริมถนน มีทั้งเรือนแถวและบ้านเล็กเรือนน้อยที่ปลูกติดๆ กัน ตอนกลางคืนค่อนข้างเงียบเหงา เพราะผู้คนและรถรายังไม่หนาแน่นเหมือนสมัยนี้

ช่วงนั้นมีข่าวลือเรื่องยมทูตจะมาเอาชีวิตมนุษย์ โดยไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เกิดปีมะหรือไม่ หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่ามีคนตายโดยไม่มีสาเหตุบ่อยๆ ทั้งโคราชและลพบุรี ทางตะวันออกก็มีที่อำเภอสัตหีบค่ะ

ถ้าเป็นสมัยหลังๆ คงจะเรียกว่า "ใหลตาย" แล้วนะคะ

วิธีป้องกันก็คือเอายันต์ของหลวงพ่อต่างๆ ติดไว้หน้าบ้าน ส่วนคนจีนก็มียันต์เช่นกัน บางคนเรียกฮู้เหมือนกับการรักษาเด็กที่เป็นคางทูม...ในกรุงเทพฯ ก็ลือกันว่ามีคนตายที่บางโพและภาษีเจริญ เล่นเอาชาวบ้านร้านช่องตื่นเต้นเพราะอารามกลัวตายไปตามๆ กัน

ที่สวนมะลิก็เริ่มมีความน่ากลัวแผ่ซ่านเข้ามา เมื่อมีคนตายแบบนอนหลับไม่ตื่นติดๆ กัน ทั้งหนุ่มสาวและแก่ชรา ไม่ถึงกับวันเว้นวันหรอกค่ะ แต่หลับตายอาทิตย์ละคนสองคน เดี๋ยวบ้านนั้น เดี๋ยวบ้านนี้...ขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมดซีคะ

จนกระทั่งถึงคืนเกิดเหตุสยอง!

คืน นั้นอากาศค่อนข้างหนาว ดิฉันนอนในมุ้งกับยาย พ่อแม่นอนกับน้องในห้องข้างๆ ขณะที่กำลังขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก...นอกจากเสียงยอด ตองของกล้วยกอใหญ่ริมหน้าต่างจะสะบัดตามแรงลมแล้ว สรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบเชียบ...ไม่มีแม้แต่เสียงรถยนต์ที่เคยดังแว่วมา เข้าหูด้วยซ้ำ

บ้านไหวเยือก กระดานลั่นเอี๊ยด เหมือนมีอะไรบางอย่างกระโดดลงมาที่ระเบียง

แสงไฟจากภายนอกส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ดิฉันหันไปมองยายที่นอนตะแคงหลับสนิท ลมหายใจดังเบาๆ เป็นระยะสม่ำเสมอ...เสียงประตูเปิดแอ๊ด...

คราวนี้เล่นเอานอนตัวแข็งทื่อ แขนขาชาดิกไปหมด...ก็เราปิดประตูใส่กลอนแล้วนี่นา ทำไมมันถึงเปิดเข้ามาได้? อยากจะปลุกยายก็ไม่มีแรงขยับ ปากลิ้นชาไปหมดจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นร่างดำๆ เตี้ยๆ เหมือนเด็กราวสิบขวบก้าวเข้ามาในห้องช้าๆ กลิ่นเหม็นอับโชยเข้ามาในมุ้งจนแทบจะหายใจไม่ออก

คุณพระช่วย! เมื่อมันใกล้เข้ามาจึงได้เห็นว่าไม่ใช่เด็กๆ แต่เป็นหญิงแก่หลังโกงเสื้อผ้าสีดำ ผมยาวสยายประบ่า...มันหันมามองช้าๆ จนดิฉันต้องกลั้นลมหายใจ...ขณะนั้นเองมันก็เปิดมุ้งขึ้นช้าๆ กลิ่นเหม็นยิ่งรุนแรงจนแทบสำลัก

นรกเป็นพยาน! ใบหน้านั้นเหี่ยวย่น นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟ แสยะยิ้มจนใบหน้าเหี่ยวย่นไม่ผิดกับผีตายซาก...ดิฉันคิดว่าตัวเองหลับตาร้อง กรี๊ด...แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ความรู้สึกวูบวับดับหายไปบัดดล

เมื่อ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ายายนอนหงายลืมตาโพลง เหมือนมองเห็นภาพที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างล้นเหลือ...ยมทูตกระชากวิญญาณยาย ของดิฉันไปจริงๆ ค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEzTVRFMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB3Tnc9PQ==



Create Date : 07 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2551 19:38:14 น.
Counter : 722 Pageviews.

0 comment
ผีทางหลวง
ผีทางหลวง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ครรชิต"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณที่ทางหลวง

ผมกับภรรยาไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ หรอกครับ แต่แล้วก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดและน่าขนลุกขนพอง เกิดขึ้นในชีวิตอย่างกะทันหัน ทำให้ต้องย้อนมานึกคิดทบทวนว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ นั้น...เราอาจจะเข้าใจผิดก็เป็นได้

สิ่งที่เร้นลับเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะภูตผีปีศาจนั้นมีอยู่จริงๆ

เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ผมพาภรรยาและลูกสาววัยสี่ขวบ ขับรถออกจากกรุงเทพฯ ไปอุดรธานี เพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นพ่อค้าอยู่ที่นั่น...วิทูรย์ชวนผมไปเที่ยวเปิดหูเปิด ตาทางภาคอีสานตอนบนหลายครั้งแล้ว แต่เราเพิ่งมีโอกาสในตอนวันหยุดยาวคราวนี้เอง

ผมชอบขับรถตอนกลางคืน เพราะรถน้อยและอากาศก็ปลอดโปร่ง...เราแวะหาของกินที่ขอนแก่นตอนดึก ไปถึงอุดรฯ ในตอนรุ่งเช้าพอดี

การ เที่ยวเตร่และพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ ไม่ใช่ประเด็นของเรื่องนี้ ผมจึงขอข้ามไปถึงตอนขากลับ ที่เรามาประสบเหตุการณ์น่าสยองขวัญสุดขีด ลืมไม่ลงไปจนชั่วชีวิต!

วิทูรย์เลี้ยงอาหารค่ำจนอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ผมก็ขับรถพาครอบครัวมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ

"น้องปอ" เล่นตุ๊กตาง่วนอยู่ที่เบาะหลังคนเดียว เราล็อกรถเรียบร้อย ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุน่าสลดใจ ส่วนภรรยานั่งคู่กับผม...ไม่ต้องเป็นห่วงว่าผมจะง่วงเหงาหาวนอนจนเกิดอาการ หลับในหรอกครับ เพราะรู้ดีว่าผมมีความสุขที่ได้ขับรถตอนกลางคืนอยู่แล้ว

เราพูดคุยกันตามปกติ...ได้ยินเสียงน้องปอพูดคุยกับตุ๊กตาของเธอ น้องลูกหมีน้องลูกแมวตามประสาเด็ก...กระทั่งผ่านขอนแก่นจะเข้าโคราชเสียงเธอ ดูผิดสังเกตยังไงชอบกล

"ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเล่น! ปอง่วงนอน..."

"ง่วงก็นอนซีจ๊ะ" ภรรยาผมหันไปบอกลูก แต่น้องปอกลับไม่สนใจ สะบัดมือไปมา พูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม

"บอกว่าง่วงนอนไง! ไม่ละ...ปอจะนอนแล้ว....ออกไป๊!"

เรามองสบตากัน...คิดว่าเป็นธรรมดาของเด็กเล็กๆ ที่ชอบสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมา แต่เอ...ทำไมอากาศในรถเย็นยะเยือกลงเรื่อยๆ ทั้งที่เราไม่ได้ปรับแอร์สักนิด

รถยังคงพุ่งลิ่วไปตามเดิม...อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะเข้าตัวเมืองโคราชแล้ว แต่เสียงน้องปอดังขึ้น...ผมมองทางกระจกหลังก็ใจหายวับ

...เธอกำลังผลักไสอากาศอันว่างเปล่า ร้องแต่ว่า...ออกไป๊ๆ คนจะนอน!

เสียงภรรยาครางเบาๆ อยู่ในคอ ผมเองก็หนาวเยือกที่ต้นคอ ซ่านลงไปตามไขสันหลัง มองเห็นปั๊มน้ำมันอยู่ข้างหน้า รีบชะลอรถแล้วเลี้ยวเข้าไปจอดด้วยหัวใจเต้นระทึก เปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว...ก่อนจะอุ้มลูกสาวออกมายืนมองรถของตัวเองอย่าง งุนงงระคนพรั่นพรึง ปากคอแห้งผากไปหมด

ภรรยาของผมรอบคอบกว่านั้น เธอจัดการเปิดประตูทั้งสี่บานออกจนหมดสิ้น ผมถามลูกสาวว่าเมื่อตะกี้ไล่ใคร? น้องปอก็บอกว่า...ใครไม่รู้มาเล่นด้วยบนรถ นั่นไงคะ! พอแม่เปิดประตูเขาก็ออกไปเดินอยู่ที่นั่น

เธอชี้มือไปที่ลานโล่งๆ ข้างปั๊ม เล่นเอาผมขนลุกซ่า มองสบตาภรรยาก็เห็นหน้าซีดเผือด ผมรีบอุ้มลูกเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง แล้วกระโดดขึ้นรถ ภรรยาถลาขึ้นมานั่ง ปิดประตูโครม...ผมสตาร์ตเครื่องขับรถลิ่วออกสู่ถนนใหญ่ ถอนหายใจยืดยาวด้วยความโล่งอกเต็มประดา

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง มองเห็นแสงไฟเมืองโคราชอยู่ลิบๆ ก็ต้องผวาเยือก เมื่อได้ยินเสียงขุ่นเคืองของน้องปอดังขึ้นอีกกะทันหัน

"บอกว่าอย่ากวน! คนกำลังง่วงนอน...ออกไป๊!"

เสียงของลูกสาวทำให้ผมแทบมือเท้าอ่อนไปหมด เหงื่อแตกซิกเต็มหน้าผาก มองทางกระจกหลังก็เห็นน้องปอกำลังผลักไสความว่างเปล่า...ผมนึกว่าเราหนี "สิ่งนั้น" มาได้แล้วแต่ที่ไหนล่ะ มันตามขึ้นมาบนรถเราอีกครั้งจนได้

คราวนี้ผมขบกรามแน่น ไม่แยแสเสียงหวีดร้องเบาๆ ของภรรยา เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งลิ่วเหมือนลมพัด โดยที่ไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน...จนกระทั่งถึงปั๊มน้ำมันที่โคราช

พวกเราเผ่นออกจากรถมายืนตัวสั่นเทา ผมล้วงเอาหลวงพ่อทวดที่ห้อยคอมาพนมไหว้ ขอให้ช่วยคุ้มครองลูกเมียและตัวเองให้รอดพ้นจากวิญญาณร้ายด้วยเถิด...สายลม พัดซ่าเข้ามาจนขนลุกเกรียว แว่วเสียงใครหัวเราะเบาๆ อย่างเบิกบานใจ ก่อนจะจางหายไปกับสายลม

ผมพาลูกเมียเข้าไปหาเครื่องดื่มอุ่นๆ ในร้านของปั๊ม คิดว่าใจคอสงบลงแล้วจึงได้ขับรถมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ โดยไม่มีเหตุการณ์น่าขนหัวลุกเกิดขึ้นอีกเลย...เดี๋ยวนี้ผมเชื่อแล้วครับว่า ผีมีจริง!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEyTVRFMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB3Tmc9PQ==



Create Date : 06 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2551 19:35:45 น.
Counter : 1148 Pageviews.

0 comment
อยู่กับวิญญาณ
อยู่กับวิญญาณ

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"หนิง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านตัวเอง

คุณเคยอยู่คนเดียว แต่รู้สึกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้อยู่ตามลำพังได้ไหมคะ?

ดิฉัน รู้สึกได้ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนอนของตัวเอง ว่ามีใครหรืออะไรบางอย่างสิงสถิตอยู่ด้วย บางทีเขาก็จ้องมองดิฉันเขียนหนังสืออยู่ด้านหลัง..ชิดซะจนแทบสัมผัสลมหายใจ!

แปลกนะ เขามีลมหายใจจริงๆ ค่ะ บางครั้งขณะปิดไฟนอนเงียบๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียง...ทีแรกคิดว่าตัวเองหายใจแรงไปหน่อยก็ลองกลั้นไว้...น่า ขนลุกจริงๆ ที่เสียงฟืดฟาดเบาๆ เหมือนคนนอนหลับสนิทยังดำเนินต่อไปข้างๆ หมอนนี่เอง

จะให้หนีไปไหนล่ะคะ ในเมื่อนี่คือห้องนอนของเรา ในบ้านของเราเองแท้ๆ

เมื่อบ่นให้คุณแม่ฟังท่านก็หัวเราะ แล้วถามว่ากลัวมากจะมานอนกับแม่ไหม? ไม่ล่ะค่ะ ดิฉันไม่ได้กลัวถึงขนาดนั้น เพียงแต่พิศวงว่า "สิ่งนั้น" มีจริงหรือ? ถ้ามีจริงแล้วเขาเป็นใครล่ะ...เป็นเจ้าที่หรือผีบ้านผีเรือนกันแน่?

ขณะเดียวกันก็ภาวนาว่า อย่าออกมาให้เห็นเป็นตัวเป็นตนแล้วกัน ไม่ใช่ตอนกลางดึกลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ มานั่งจุ�มปุ๊กอยู่มุมห้อง!

เคยเล่าให้เพื่อนฟัง พวกหล่อนขนลุกขนพองกันใหญ่ บางคนเสนอให้ลองตั้งกล้องความเร็วสูงจับดู เวลาที่เราไม่อยู่ใน... เผื่อจะถ่ายติดผีไงล่ะ! ไม่เอาละ...บรื๋อออ...คิดอะไรก็ไม่รู้ เสียว ไส้จัง

ดิฉันอยู่ของดิฉันได้ แต่ถ้าเกิดถ่ายติดอะไรขึ้นมาก็คงเป็นอันจบเห่ ต้องย้ายบ้านแน่ๆ ปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปอย่างนี้ดีกว่า เข้าทำนองแบ่งๆ กันอยู่! ถึงจะคนละมิติกันก็เถอะ

เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา!!

มี บ่อยมากที่ตอนกลางดึกสงัด ดิฉันจะได้ยินเสียงเหมือนมีใครเดินสำรวจไปมาท่ามกลางความมืดมิด บางทีก็จับกระป๋องแป้งยกขึ้นแล้ววางลง ถึงจะหลับตาอยู่ ดิฉันก็จับทิศที่มาของเสียงได้ และรู้ดีว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน? อยากจะคิดว่าหนูเหมือนกัน แต่หนูที่ไหนจะเก่งเป็นการ์ตูน "ทอมกับเจอรี่" ขนาดยกกระป๋องแป้งแล้ววางลงแบบคนเราได้น่ะ?

บางทีเขาเปิดถุงต่างๆ ที่ดิฉันช็อปปิ้งมาตามประสาเด็กวัยรุ่น เขาเปิดถุงนั้น ดูถุงนี้อยู่นาน ดังก๊อบๆ แก๊บๆ ดิฉันก็ทำเฉย

ที่น่ากลัวที่สุดคือ บางคืนเขามาล้มตัวลงนอนข้างๆ ดิฉันนี่แหละ!

เตียงนอนของดิฉันเป็นเตียงเดี่ยวขนาดธรรมดา ทีแรกมันอยู่กลางห้อง เครื่องนอนก็มีแค่หมอนหนุน หมอนข้างและผ้าห่มเท่านั้น ดิฉันเป็นคนนอนง่ายค่ะ ไม่ดิ้น ไม่เคยตกเตียงซักครั้งเดียว

จำ ได้ว่าคืนหนึ่ง ขณะเคลิ้มหลับก็รู้สึกเหมือนมีใครเอามือมาจับหลังและดุนให้เขยิบเข้าไป เพื่อเขาจะได้มีที่นอนบ้าง แล้วเตียงก็ไหวเบาๆ เล่นเอาดิฉันตาเหลือก รีบเปิดไฟหัวเตียงทันที แต่ก็ไม่เห็นอะไร...กระนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ลอยวนอยู่ในอากาศ...

ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันรีบย้ายเตียงเข้าไปชิดผนังห้องทันที แล้วหาหมอนหาตุ๊กตามาวางๆ ให้เต็มเตียง ทางปลายเท้าก็เลื่อนชั้นวางของมาวางซะชิด...กลัวผีมาจับเท้าไงคะ!

เอ๊ะ! นี่ดิฉันเรียกสิ่งที่อยู่ด้วยในห้องว่า "ผี" แล้วเรอะ?

ดิฉันใช้คำนี้เวลาไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ตอนเกิดเรื่องแปลกๆ ยามดึกสงัด เพื่อนๆ ชอบฟังค่ะ แต่ก็มีผู้หวังดียุให้ไล่ผีไปซะดีกว่า อย่างเช่นอัญเชิญพระพุทธรูปมาไว้ในห้อง บอกจริงๆ ว่าดิฉันไม่กล้ามีพระพุทธรูปไว้หรอก ให้ท่านประดิษฐานอยู่ในห้องพระดีกว่านะคะ

พูดถึงไล่ผี?! เอ...ก็น่าคิดนะ แต่จะว่าไปดิฉันก็ไล่เขาไม่ลง ขอเก็บแนวคิดนี้ไว้พิจารณาก่อนก็แล้วกัน

วันหนึ่งดิฉันล้มป่วยเป็นไข้หวัด โอย...งอมพระรามเลยละคุณ! เพลียจนลุกไม่ขึ้นเป็นไข้ตัวร้อนกลางดึกอยู่เดียวดายในห้อง...ร้อนจนแทบเพ้อ แน่ะค่ะ

ในความมึนงง ครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น มีใครบางคน...เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกับดิฉัน คือเป็นวัยรุ่น ดิฉันไม่ได้เห็นด้วยตานะคะ แต่รู้สึกได้ชัดมาก...เธอมานั่งข้างๆ เอามือนุ่มๆ มาสัมผัสหน้าผากดิฉัน มือนั้นอุ่นค่ะ ไม่ใช่เย็นเป็นน้ำแข็งแบบหนังผีหรอก

จากนั้นก็วางมือบนสะโพกดิฉันคล้ายปลอบประโลม แปลกที่ดิฉันรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่าน เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ และพอรุ่งขึ้นดิฉันก็หายไข้อย่างประหลาด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กินยาหรือหาหมอเลย!

แม่บอกว่า แม่เชื่อว่าเป็นเจ้าที่ หรือไม่ก็เป็น "แม่ซื้อ" ที่คอยดูแลมาตั้งแต่เกิดแล้ว

แต่ จะเป็นอะไรก็ช่าง ดิฉันรู้สึกดีกับเขาจริงๆ จึงอยากเขียนมาเล่าให้คุณได้เห็นตัวอย่างว่า บางทีคนกับวิญญาณก็อยู่กันได้อย่างสันติ แม้บางทีจะมีอะไรบางอย่างที่น่าขนหัวลุกก็ตาม!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREExTVRFMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB3TlE9PQ==



Create Date : 05 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2551 19:22:57 น.
Counter : 636 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend