เดชผีตายโหง
เดชผีตายโหง
ขนหัวลุก
ใบหนาด
"ลุงเปล่ง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคลองบางซื่อ
สมัยเด็กผมเคยอยู่ริมคลองบางซื่อ ฝั่งตรงข้ามกรมทหาร ป.ต.อ. แต่ค่อนไปทางสะพานสูง ตอนนั้นบ้านเรือนจะอยู่แถวริมคลองเป็นส่วนมาก ด้านหลังคือเรือกสวนร่มครึ้ม แต่ไม่ได้ปลูกผลไม้อะไรเป็นเรื่องเป็นราวหรอกครับ
เจ้าของสวนมักปล่อยทิ้งตามยถากรรม เห็นว่าดินไม่ค่อยดีเหมือนทางฝั่งบางอ้อหรือเมืองนนทบุรี จะเรียกว่าเป็นสวนร้างก็ยังได้
ด้านหลังที่ว่าเป็นทางเดินแคบๆ ลดเลี้ยวไปได้หลายทาง จะออกไปสะพานสูงก็ได้ หรือจะลัดออกทางหลังวัดประดู่ก็ได้ พวกตัดช่องย่องเบาได้ของจากหมู่บ้านด้านก้นคลองก็มักจะเอามาหมกไว้ในสวนร้าง นั่นแหละ รอโอกาสเหมาะๆ ถึงจะมาขนไปเข้าโรงจำนำ ถ้าไม่บางโพก็บางกระบือ
วันดีคืนดีก็มีคนจีนมาตั้งเพิงทำตู้ โต๊ะ เก้าอี้ หนักเข้าก็ขยายเพิงให้กว้างขวาง แล้วกินอยู่หลับนอนที่นั่นเสร็จ พวกเราเคยไปดูเขาทำงานกันบ่อยๆ ท่ามกลางเสียงเลื่อยไม้กับตอกตะปู อากาศกรุ่นด้วยกลิ่นขี้กบและทินเนอร์ทาไม้..เราเรียกกันว่า "ห้างสวนเฟอร์นิเจอร์"
ตอนแรกๆ คนงานมีแต่ชาวจีนล้วนๆ ต่อมากิจการชักรุ่งเรืองจนมีคนไทยเข้ามาเป็นลูกมือหลายคน
วันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น!
ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ พวกช่างไม้เห็นชายแปลกหน้าสองคนมาเดินวนเวียนอยู่หลายคน เดี๋ยวก็ผ่านไปทางหลังวัดประดู่ เดี๋ยวก็ย้อนกลับมาผ่านไปทางเก่า ทำท่าเหมือนจะเลาะลัดไปสะพานสูง แต่แล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
จะว่ามาหาเรื่องหาราวหรือปล้นสะดมอะไรก็ไม่น่าใช่ แต่ท่าทางดูมีพิรุธยังไงชอบกล พวกช่างไม้เงยทำงานไปพลาง คอยชายตามองไปพลาง..ไม่ช้าก็เห็นชายคู่นั้นหายเข้าไปในซุ้มไม้ สักครู่ก็กลับมาพร้อมกับถุงผ้าสีดำคนละสองถุง ทั้งที่ตอนแรกมากันตัวเปล่าแท้ๆ
"ขโมยนี่หว่า!" ใครคนหนึ่งร้องขึ้น "เฮ้ย! มาช่วยกันจับขโมยโว้ย"
ขาดเสียงก็วิ่งเข้าใส่ มีเสียงแช่งด่าดังลั่น ช่างไม้ที่นุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว ร่างกายท่อนบนชุ่มเหงื่อก็โดนมีดแทงสวนเข้าที่ลิ้นปี่จนตัวงอ ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงาน 2-3 คนที่วิ่งตามไปติดๆ
หัวขโมยคู่นั้นเหวี่ยงถุงผ้าทิ้ง ออกวิ่งเตลิดกลับไปทางสะพานสูง ช่างไม้คนหนึ่งวิ่งตามไป แต่ฝ่ายหนีเจนทางมากกว่า ไม่ช้าก็หายลับไป
"นายเม้ง" คนโดนแทงเลือดตกใน ขาดใจตายอยู่ตรงนั้นเอง!
เมื่อเปิดถุงผ้าทั้งสองออกดูก็พบวิทยุทรานซิสเตอร์ ขันลงหิน ขันน้ำพานรองที่ทำด้วยเงินแท้ รวมทั้งของกระจุกกระจิกอีกหลายอย่างที่พวกหัวขโมยคงจะตัดช่องย่องเบาเอามา ซุกไว้เมื่อวันก่อนโดยไม่มีใครเห็น แต่วันนี้นายเม้งช่างไม้เกิดเห็นเข้าก็เลยเคราะห์ร้ายจนถึงแก่ชีวิต
ตำรวจไม่ได้ร่องรอยคนร้ายเลย คาดว่าคงจะมาจากถิ่นอื่น ส่วนนายเม้งก็มีญาติมารับไปทำพิธีบำเพ็ญกุศลตามประเพณี
แต่วิญญาณอันเจ็บปวดของนายเม้งยังสิงสู่อยู่ที่นั่น!
ตอนกลางคืน หมาหลังวัดประดู่จะโก่งคอหอนโหยหวน ยอดไม้ใหญ่น้อยก็สะบัดกิ่งใบซู่ซ่าเกรียวกราว พวกที่ทำงานโรงเฟอร์นิเจอร์เล่าว่าเคยเห็นนายเม้งมาเดินวนเวียนอยู่หน้าเพิง 2-3 คืนติดๆ กัน เล่นเอาเผ่นเข้าไปคลุมโปงครางฮือๆ ถึงกับเก็บเสื้อผ้าขอลาออกไปเลย..ไม่อยากขวัญหนีดีฝ่อตาย
รายหนึ่งชื่อนายเนี้ยว เป็นเพื่อนสนิทของนายเม้ง คืนหนึ่งเดือนหงายก็ออกมามวนยาสูบอยู่หน้าเพิง เสียงแม่ม่ายลองไนพร่ำเพรียกเป็นเพื่อนราตรีอยู่ในสวน ยอดไม้ไหวลู่กระซิบกระซาบกับสายลม..จู่ๆ สรรพสิ่งก็เงียบเชียบลงกะทันหัน
อากาศในเดือนธันวาคมหนาวยะเยือกน่าใจหาย..อะไรบางอย่างปรากฏขึ้นที่ทางเดิน ริมคูใกล้ๆ ซุ้มไม้ที่หัวขโมยเอาสมบัติมาซุกซ่อนไว้ นายเนี้ยวกำลังสูบยาหันไปก็เห็นร่างตะคุ่มของใครคนหนึ่งยืนเด่น จ้องมองมาเงียบๆ เห็นได้ชัดจากแสงจันทร์ว่าอะไรเป็นอะไร?
นายเนี้ยวอ้าปากค้างจนยาสูบหลุดจากปาก..ปีศาจนายเม้งนั่นเอง!
ร่างเตี้ยล่ำที่นั่งอยู่บนขอนไม้ถึงกับเผ่นผึงขึ้นยืน สั่นสะท้านไปทั้งตัว อยากจะวิ่งหนีก็ขาแข็งทื่อจนยกไม่ขึ้น ความหวาดกลัวสุดขีดทำให้น้ำตาไหลพรากลงมาอาบหน้า ปากสั่นจนฟันกระทบกันกึกๆ ปีศาจนายเม้งก็ค่อยเลือนรางจางหายไป..
รุ่งขึ้นนายเนี้ยวก็ลาออกไปอีกคน..ชาวบ้านโดนผีหลอกจนเข็ดขยาดไปตามๆ กัน ไม่กล้าไปไหนมาไหนยามค่ำคืน บางคนถึงกับยุให้ผีนายเม้งตามไปหักคอฆาตกรที่ฆ่าแกก็ยังมี
พวกผม เด็กๆ นั้น พอตกค่ำก็รีบเข้ามุ้งคลุมโปงแล้วครับ..โชคดีที่ไม่หาเรื่องออกไปให้โดนผี หลอก ไม่งั้นอาจจะขาดใจไปตั้งแต่เด็กๆ แล้วละครับ! บรื๋อออ...
//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEkyTURZMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOaTB5Tmc9PQ==