ห้องอาถรรพณ์
ห้องอาถรรพณ์

คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด



"สาวโสด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลาดพร้าว

ดิฉันเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่มาเกือบสิบปีแล้ว แถวย่านลาดพร้าวนี่แหละค่ะ แต่อย่าให้บอกละเอียดเลยนะคะว่าอยู่ซอยไหน? เดี๋ยวจะมีผู้อ้างว่าเดือดเนื้อร้อนใจ จนถึงเสื่อมเสียชื่อเสียงมาฟ้องร้องเล่นงานเอาได้

อพาร์ตเมนต์ดังกล่าวนี้มีผู้เช่าหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่หมอนวด ช่างเสริมสวยไปจนถึงเซลส์แมน นายหน้า ข้าราชการ และพนักงานบริษัท...ดิฉันกับเพ็ญ-เพื่อนร่วมห้องทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน เพ็ญมาอยู่ด้วยราวปีเศษแล้ว เพื่อนที่เคยอยู่กับดิฉันก่อนหน้านั้น 3-4 คนแยกย้ายไปแต่งงานกันหมดค่ะ

"หนุ่ย" เกย์หนุ่มสุดหล่อ เอ๊ย! สุดสวยอยู่ห้องติดๆ กัน เป็นดาราชูโรงของห้องเช่าแห่งนี้ เพราะมีเรื่องผีมาเขย่าขวัญสั่นประสาทให้พวกเราต้องช็อกซีนีม่ากันเป็น ประจำ!

ลำพังเรื่องขนหัวลุกในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ก็อื้อซ่าน่าดูแล้ว เจ้าประคุณเอ๋ย

เมื่อราวปีกว่าๆ มาแล้วมีหมอนวดชื่อก้อยกินยาฆ่าหญ้าเพราะอกหัก ถูกผู้ชายหลอกจนหมดเนื้อหมดตัว แถมไข่ทิ้งไว้อีกต่างหาก

ลองนึกถึงยาพิษยอดฮิตขนาดนี้ซีคะ...ขนาดหญ้าสดๆ เขียวๆ ยังตาย แล้วกระเพาะกับลำไส้อ่อนๆ ของคนเราจะมีเหลือไหมเนี่ย? ก่อนตายจะเจ็บปวด ทุรนทุรายด้วยความทนทุกข์ทรมานขนาดไหน

เขาว่าผีตายโหงเฮี้ยนกว่าผีธรรมดาใช่ไหมคะ? แล้วนี่ยังท้องอ่อนๆ อีกด้วย จะดุร้ายน่ากลัวแค่ไหน ลองคิดดูละกัน!

มีนักศึกษาสาวสองคนมาเช่าห้องนั้นอยู่ สาเหตุคงเพราะไม่รู้ข่าวว่ามีคนกินยาตาย...ไม่ช้าก็เอามาเล่าให้นายหนุ่ยฟัง ว่า ตอนดึกๆ ได้ยินเสียงผู้หญิงครวญครางคล้ายเจ็บ ปวดสาหัสบางคืนก็สะอึกสะอื้นมาจากห้องน้ำ ได้ยินแล้วขนลุกขนชันไปหมด

เล่าจบก็ถามว่าในห้องนั้นเคยมีอะไรร้ายๆ หรือเปล่า? นายหนุ่มรีบสายหน้า...แหลสดๆ ว่าไม่รู้เลย คงไม่มีอะไรละมั้งฮะ ฝันไปเองอ๊ะเปล่า?

แต่คืนสยองขวัญก็อุบัติขึ้นจนได้ เมื่อสองสาวได้ยินเสียงครางใกล้ๆ หู หันขวับไปดูก็เห็นร่างผู้หญิงขึ้นอืดมานอนอยู่ตรงกลาง...หวีดร้องสุดเสียง กระโจนผลุงลงจากเตียง วิ่งหน้าตั้งออกมาร้องไห้โฮทั้งคู่...รุ่งขึ้นก็ขนของย้ายทันใด!

ต่อมามีเกย์สวยเริ่ดชื่อนัทมาเช่าห้องผีดุนั่นอยู่คนเดียว พวกเราก็ใจตุ๋มๆ ต้อมๆ มองสบตากันว่าเมื่อไหร่จะเจอดีๆ แต่เปล่า...ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยค่ะ จนน้องหนุ่มของเราอดรนทนไม่ไหว ต้องไปตีซี้ปะเหลาะถามว่ากลางคืนหลับสบายดีหรือเปล่า? ปรากฏว่าสบายดี ไม่มีอะไรมารบกวนซักครั้งเดียว

"หรือว่าผีจะกลัวกะเทยก็ไม่รู้นะฮะ" หนุ่มมาเล่าให้ฟังอย่างงุนงง ดิฉันบอกว่าผีก้อยอาจจะไปสู่สุคติแล้วก็ได้...แต่น้องหนุ่ยก็มาเล่าเรื่อง นัทให้ฟังบ่อยๆ ว่านิสัยมั่วซั่วเรื่องบนเตียง ไม่เกี่ยงว่าเป็นเกย์หรือเป็นชะนี...เอ๊ย! ผู้หญิงน่ะค่ะ

เรื่องของเรา ไม่เกี่ยวกับเรา จริงไหมคะ?

จนกระทั่งมาถึงตอนต้นปีนี้เอง น้องนัทที่เคยสวยใสก็กลับซีดเซียว ซูบผอมไปจนผิดตา...หนุ่ยอีกนั่นแหละที่มาบอกข่าวว่า สงสัยจะ "จั่ว" ติดเรียบร้อย! ดิฉันงงๆ ก็ได้รับความรู้ว่า หมายถึงติดเอดส์นั่นเอง

หลังสงกรานต์ น้องนัทก็เชือดเส้นเลือดที่ข้อมือนอนตายอยู่บนเตียง!

เอาละซี! ห้องนี้มีอาถรรพณ์แน่ๆ คนอยู่ต้องฆ่าตัวตายไปถึงสองคนแล้ว! หนุ่ยถึงกับบ่นพึมว่า...มั่วจน "จ๊ะเอ๋" เข้าจนได้! หมายถึงติดเอดส์นั่นแหละค่ะ

คราวนี้ผีดุเหลือหลาย ใครผ่านห้องนั้นตอนกลางคืนมักจะได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วออกมา หันไปมองก็นึกขึ้นได้ จ้ำอ้าวไปตามๆ กัน...ไม่ช้าน้องนัทก็ออกมาเดินแถวหน้าห้องคนที่ไม่รู้จักก็ไม่กลัว แค่คนที่จำได้ว่าเป็นใครก็ร้องจ้า เผ่นกระเจิง...จนถึงคิวหนุ่ยเจอดีเข้าจังๆ

คืนนั้น เกย์หนุ่มเพิ่งกลับเข้าห้อง อาบน้ำอาบท่าเสร็จก็นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมา พอดีมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หนุ่ยเดินบิดสะโพกไปเปิดผางก็เจอน้องนัทก้าวเข้ามาในห้องหน้าตาเฉย...หนุ่ย ถามว่ามีธุระอะไรยะ? ก่อนจะนึกได้ ร้องว้าย...สุดเสียง วิ่งมาทุบประตูห้องดิฉันโครมๆ เพ็ญลุกจากหน้าทีวีไปเปิดประตู ร้องวี้ดว้ายเช่นกันเมื่อเห็นหนุ่ยวิ่งสวนเข้ามา ผ้าผ่อนหลุดลุ่ย

"ผี...ผีหลอก!" เกย์หนุ่มร้องไห้โฮ มือขยุ้มปมผ้าขนหนูไว้ ส่วนเพ็ญยังปิดปากยืนตะลึง "ไม่ได้หลอกฮะ พี่ แต่ผีนัทมาจริงๆ มาเคาะประตูห้องหนุ่ยเฉยเลย"

ดิฉันเชื่อค่ะ เพราะคืนนั้นหนุ่ยอาศัยนอนห้องเรา แม้จะขดอยู่บนพื้นข้างเตียงก็ยอม รุ่งขึ้นไปยื่นคำขาดกับน้าหวิน-คนดูแลหอว่าต้องนิมนต์พระมาสวดมนต์ในห้อง อาถรรพณ์ไม่งั้นจะโพนทะนาเรื่องผีดุทุกวัน ดูซิว่าจะมีใครกล้าอยู่มั้ย?

น้าหวินก็ตกลงตามนั้น ผีน้องนัทก็หายเงียบไป...แต่ขึ้นชื่อว่าอพาร์ตเมนต์น่ะย่อมมีฆ่าตัวตายและ ฆ่ากันตายจนได้ ไม่ช้าก็เร็ว...ระวังตัวหน่อยนะคะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOekU0TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB4T0E9PQ==



Create Date : 18 กรกฎาคม 2551
Last Update : 18 กรกฎาคม 2551 19:33:57 น.
Counter : 678 Pageviews.

1 comment
เพื่อนเก่า
เพื่อนเก่า

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"บอย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพื่อนเก่าของมนุษย์ทุกคน เป็นที่รู้กันดีว่าคนชรามักจะมีอะไรๆ หลายอย่างที่คล้ายคลึงกับเด็กๆ คืออยากให้คนอื่นๆ รักและเอาใจใส่ เรียกร้องความสนใจด้วยการกระทำแปลกๆ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากความอ่อนแอของร่างกาย

สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ เด็กๆ ย่อมพัฒนาไปสู่ความเป็นหนุ่มสาว มีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา ขณะที่คนแก่เฒ่านับวันแต่จะร่วงโรย อ่อนล้า จวนจะสิ้นแรงใจลงไปทุกที

ถึงแม้ทุกชีวิตจะต้องจบสิ้นลงบนเชิงตะกอนแน่ๆ แต่ก็ไม่มีใครอยากตาย!

เชื่อกันว่า เสียงคร่ำครวญหวนไห้ สะอึกสะอื้นด้วยความเสียดมเสียดายต่อชีวิตของตนเอง...ชีวิตนี้เป็นที่รัก ย่อมจะดังระงมไปทั้งโลกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รวมทั้งเสียงถอนใจยาวอย่างเหน็ดเหนื่อยและสิ้นหวัง ยังล่องลอยไปตามสายลมเย็นยะเยือกในยามค่ำคืนอยู่ตลอดกาล

ลุงพลอยเป็นคนข้างบ้านที่เกษียณราชการมาสิบกว่าปีแล้ว แต่นิสัยสนุกสนานร่าเริงมองโลกในแง่ดี ทำให้ดูเหมือนว่าลุงพลอยเพิ่งจะอายุ 60 ต้นเท่านั้นเอง

อาจจะเพราะเป็นคนร่างเล็ก ทำให้ดูกระฉับกระเฉงแทบจะไม่ผิดไปจากเมื่อ 10 กว่าปีก่อน...ตอนเย็นๆ เพื่อนบ้านในซอยระนองจะเห็นแกมารดน้ำต้นไม้ที่สนาม ร้องทักทายคนนั้นคนนี้ที่เดินผ่านไปมา บางทีเพื่อนบ้านก็แวะเข้าไปเยี่ยมเยียน

เสาร์อาทิตย์ที่ลูกหลานอยู่บ้าน ลุงพลอยก็มักจะออกไปเดินเล่นที่ปากซอยบ้าง บางทีก็เลยไปถึงเศรษฐศิริหรือราชวัตร บอกว่าว่างๆ ก็ไปหาเพื่อนฝูงที่คบกันมาตั้งแต่หนุ่มๆ หรือไม่ก็ซื้อของกินอร่อยๆ เช่น หมูสะเต๊ะ ขนมถาด สาคูนมสดและผลไม้มาฝากหลานๆ

ของแถมสำคัญก็คือได้ออกกำลังกายด้วยการเดินไกลๆ ตามที่แพทย์แนะนำ!

ผมเพิ่งรู้ว่าลุงพลอยมีโรคประจำตัวหลายอย่าง ทั้งเบาหวาน ความดันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ ตับแข็ง...แกบอกว่าโรคหลังนี่คงได้มาจากการดื่มเหล้าอย่างสมบุกสมบันในอดีต

" ตอนนั้นยังหนุ่มก็ไม่คิดอะไรมาก แต่ลุงก็ได้เพื่อนดีๆ หลายคนที่ยังคบกัน ไปมาหาสู่กันสนิทสนมจนถึงทุกวันนี้...ได้อย่างเสียอย่าง! คนเรา"

วันหนึ่งลุงพลอยก็ลื่นล้มในห้องน้ำ ลูกๆ ช่วยนำส่งโรงพยาบาล ปรากฏว่ากระดูกสะโพกร้าว ลุงพลอยเลยต้องลงมานอนชั้นล่าง ผมเข้าไปเยี่ยมแกบ่อยๆ บางครั้งก็เห็นเพื่อนๆ ลุงพลอยมาเยี่ยม 2-3 คน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ไม่ช้าลุงพลอยก็เดินย่องแย่งมาที่สนามได้ตามเดิม โดยมีไม้เท้าช่วยพยุงตัว หน้าตาดูซีดเซียวแต่ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส ผมถือวิสาสะก้าวเข้าประตูรั้วไปหา ลุงพลอยก็ชวนนั่งที่ม้าหินใต้ต้นมะม่วงสามฤดู พูดยิ้มๆ ว่า...เคยขึ้นบันไดได้ก็ต้องลดตัวลงมาติดดิน! เคยเดินได้เองแท้ๆ ก็ต้องมาอาศัยไม้เท้าเป็นขาที่สาม!

ผมถามถึงเพื่อนๆ ของแก ลุงพลอยก็บอกว่าหายหน้าไป...คนอายุเลย 70 ไปแล้วมันก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ง่อนแง่นเต็มทีแล้ว พ่อคุณเอ๋ย...ยังหนุ่มยังแน่นก็คอยดูแลสุขภาพตัวเองไว้บ้าง ร่างกายคนเราใช้สอยมันหักโหมนักก็สิ้นเปลือง ทรุดโทรมไปก่อนเวลาอันสมควร

"คนเราเกิดเพื่อตายอยู่แล้ว แต่อย่าให้มันประดักประเดิด ทนทุกข์ทรมานนักก็แล้วกัน...บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ลุงคิดถึงเพื่อน เป็นห่วงเพื่อนเอาการ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นยังไง?"

วันหนึ่ง ผมแวะเข้าไปเยี่ยมลุงพลอยที่นั่งจิบชาจีนบนโต๊ะสนาม มีไม้เท้าพิงอยู่ใกล้ๆ ตามเคย...หน้าตาที่เคยสดใสดูซีดเซียวจนน่าใจหาย

" เมื่อคืนเพื่อนลุงมาเยี่ยม" แกพึมพำ นัยน์ตาเหม่อลอย "เออ...นึกว่าจะหายสาบสูญไปแล้วเสียอีก...มันชวนลุงไปเที่ยวกัน! โธ่! เดินยังแทบไม่ไหวยังจะคิดอ่านไปเที่ยวแบบสมัยหนุ่มๆ ซะอีกแน่ะ"

ผมถามว่าเพื่อนมาเยี่ยมตอนไหน? แกก็ตอบหน้าตาเฉยว่าราวๆ สองยามจะมากันทุกคืน วันต่อๆ มา ผมแวะไปหาทีไร ลุงพลอยก็ดูจะทรุดโทรมลงไปอย่างรวดเร็วทุกที...แต่ก็บอกเล่าซ้ำๆ กันว่า...เพื่อนมาเยี่ยมทุกคืนจนผมเอะใจ

"ไม่รู้นึกยังไง เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมลุงน่ะ...มันตายไปหมดทุกคนแล้วก็ยังอุตส่าห์มาหา มาชวนไปเที่ยว! โธ่..."

ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว นึกว่าลุงพลอยต้องเพ้อไปแน่ๆ เพราะโรคภัยไข้เจ็บเร้ารุมหนักหน่วง...เสียงถอนใจยืดยาวก็ดังขึ้น "มันบอกว่าไปกันเถอะ อย่าไปอาลัยอาวรณ์มันเลย"

ยอมรับว่าพร่ามึนจนคิดอะไรไม่ออก...วันหนึ่งก็ได้ข่าวว่าลุงพลอยนอนหลับไม่ ตื่นไปตลอดกาล ผมทันไปดูศพที่หลับตาสนิทเหมือนคนสิ้นห่วง มุมปากเหี่ยวย่นมีรอยยิ้มนิดๆ ราวกับได้พบใครคนหนึ่งที่รอคอยมานานแสนนาน...

เพื่อน จากปรโลกหรือที่มารับลุงพลอย? แหละหรือว่าลุงพลอยที่ผมรู้จักตัดสินใจทอดทิ้งเพื่อนเก่าให้นอนแน่นิ่งรอวัน เน่าเปื่อยผุพัง...แล้วไปหาเพื่อนใหม่ที่จะทำให้แกกลายเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เหมือนในอดีตกาล?!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUzTURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB4Tnc9PQ==



Create Date : 17 กรกฎาคม 2551
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 19:39:42 น.
Counter : 651 Pageviews.

0 comment
วิญญาณพิศวาส
วิญญาณพิศวาส

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"น็อต"เล่าประสบการณ์...เสียงจากสนธยา

ผม ไม่เคยเชื่อเรื่องผีและวิญญาณ แต่แน่ใจว่าคนเราตายแล้วก็ตายเลย คือดับสูญเหมือนเปลวเทียนที่ดับ ก็จบแค่นั้น! แต่แล้ว ก็เกิดปรากฏการณ์อย่างหนึ่งขึ้น ซึ่งมันทำให้ผมหันมามองเรื่องชีวิตหลังความตายอย่างสนใจใคร่รู้

ผม อายุ 29 ปี ทำงานบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งแถวสีลม อาชีพการ งานผมดีมากสนุกมาก อาจเป็นเพราะผมรักมันอย่างเป็นชีวิตจิตใจเลยก็ได้ แต่...ก็อย่างที่เขาว่ากันละครับ ผมมันคนลัคกี้อินเกม ก็เลยไม่ค่อยจะลัคกี้อินเลิฟเท่าไหร่นัก ทั้งที่ผมไม่ใช่คนขี้เหร่ แถมยังมีผู้หญิงมาชอบพออยู่หลายราย แต่ผมก็มองพวกเธอเป็นแค่เพื่อน อย่าง มากก็เพื่อนสนิทเท่านั้น

สมัยเรียนอยู่ปีสอง ผมเคยรักผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นรุ่นน้อง และเป็นเด็กกิจกรรมเหมือนผมนี่แหละ เรารักกันเพราะไปออกค่ายอาสาสมัครด้วยกัน

"แวว" เป็นเด็กสาวหน้าตาดี อ่อนหวานแต่แข็งแกร่ง ใบหน้าที่สวยเหมือนรูปวาดเรเนซองซ์ไร้เครื่องสำอาง ผมยาวรวบตึงเน้นศีรษะกลมทุยงดงาม ความน่ารักสดใสของเธอจับตาและความดีของ เธอก็จับใจผม จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็รักเธอเข้าแล้ว

ในที่สุด เราก็ค่อยๆ ห่างกันเมื่อเรียนจบ แววไปอยู่กับแม่ที่ อเมริกา ขณะที่ผมถูกบริษัทโฆษณาจองตัวไปทำงาน

เผลอ หน่อยเดียว เวลาก็ผ่านไปแปดปีแล้ว...แววยังอยู่ในใจผมเสมอ ผมรักเธอเหมือนเดิม มันเป็นความรู้สึกที่ดีงามเหลือเกิน...ดูเอาเถอะครับ คนเราเป็นอย่างนี้ก็ได้ ไม่อยากเชื่อเลย! รักแต่ไม่ได้ติดต่อกัน...ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเองไปได้ยังไงก็ไม่รู้

แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับโทรศัพท์...

มัน เป็นตอนเย็นที่ท้องฟ้าสวยมาก ผมเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์ที่กำลังรีทัชงานอยู่ แล้วมองผ่านกระจกหน้าต่างบานมหึมา ชั้นยี่ สิบของอาคารหรูกลางกรุง...ขอบฟ้าเป็นสีกุหลาบหวานเศร้า...และทันใดมือถือผม ก็ดังขึ้น หน้าจอโชว์เบอร์แปลกตา แต่กระนั้นผมก็รับสาย

"พี่น็อตคะ หวัดดีค่ะ..." เสียงอ่อนหวานที่อยู่ในใจผมมาตลอด แปดปี ชีวิตนี้ผมไม่มีวันลืม...ตอนนี้มันดังอยู่แนบหูผมนี่เอง

" แวว! แววใช่ไหม?" ทั้งๆ ที่รู้ว่าใช่แน่ แต่มันเหมือนฝันเลยนี่ครับ จู่ๆ เธอก็โทร.มา "รู้เบอร์พี่ได้ยังไง? เป็นไงบ้าง...คิดถึงอยู่เสมอเลยนะ"

เสียง เธอหัวเราะสดใส ไม่ตอบว่าทราบเบอร์มือถือผมมาจากไหน แต่ช่างเถอะ! มันไม่สำคัญสักหน่อย มันสำคัญที่ขณะนี้ วินาทีนี้ผมกำลังพูดอยู่กับเธอต่างหาก ผมคิดว่าเธอยังอยู่อเมริกา แต่แววบอกว่ากลับมานานแล้ว ราวสามเดือนแล้วละ...และคิดถึงผมมาก!

" รักนะ!" อยู่ดีๆ ผมก็บอกเธอไป มันไม่ใช่คำพูดพล่อยๆ แต่มาจากส่วนลึกที่สุดของใจผม...มันกลั่นกรองออกมาจากความห่วงหาอาทร และผมรู้สึกว่ามันอบอุ่นมาก...แววเงียบไปอึดใจ ผมรู้ว่าเธอสัมผัสได้ และรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมต้องการบอกเธอ ผ่านคำเพียงสองคำแค่นั้นเอง...

นาทีต่อมา เธอตอบด้วยเสียงแผ่วเบาแต่ได้ยินชัดหูว่า "ค่ะ"

ผม โล่งใจอย่างประหลาด เบาหวิวเหมือนล่องลอยไปที่ขอบฟ้าสีกุหลาบนั่น และได้แตะต้องดวงตะวันที่อุ่นวาบ...โลกนี้สงบ เหลือเกิน มีความสุขเหลือเกิน...คำตอบรับของเธอบอกผมว่า เราผูกพันกันลึกซึ้งมากกว่าที่เรารู้ตัวด้วยซ้ำไป!

"แวว..." ผมเรียกเมื่อโทรศัพท์เงียบกริบ มันเงียบไปเลย...จะว่าสายหลุดก็ไม่ใช่ ยังมีอะไรอีกตั้งมากมายที่ผมอยากคุยกับเธอ แต่การติดต่อของเราก็ขาดลงแค่นั้น

ไม่ได้...ผมต้องโทร.กลับ! ผมทำเช่นนั้นทันที โทร.กลับไปตามเบอร์ที่เธอโทร.มา

ครับ เบอร์นั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านของแวว คนที่มารับสายเป็นผู้หญิง...แต่ไม่ใช่แววของผม

"แววล่ะครับ? ผมขอสายแววหน่อย..."

"อะไรนะคะ?" เสียงพูดแบบคนไม่เชื่อหูตัวเอง "แววจะพูดกับคุณได้ไงคะ...แววตายมาสามเดือนแล้ว!"

ผม ตัวชาวูบ...หลุดจากมิติสนธยามาสู่โลกแห่งความจริงที่โหด ร้าย...แววเสียชีวิตที่อเมริกาด้วยอาการหัวใจขาดเลือดกะทันหัน งาน ศพเธอจัดขึ้นที่นั่น...ฌาปนกิจเสร็จแล้วก็นำเถ้ากระดูกใส่โกศกลับบ้านที่ เมืองไทย

ผู้หญิงที่มารับสายคือพี่สาวของแวว เธอเชื่อสิ่งที่ผมพูดเพราะบอกว่าแววไปหาเพื่อนหลายคนก่อนนี้ บ้างก็ไปเข้าฝัน บ้างก็ปรากฏ ตัวให้เห็น!

ชีวิตหลังตายมีจริงๆ หรือครับนี่...

ผม พิศวงแต่ก็หายสงสัยแล้ว แววไม่ได้ทำให้ผมกลัวเลย แต่เธอนำความสุขสงบมาสู่ชีวิตจิตใจผมได้อย่างวิเศษ ผมยังรักเธอ ...และรักมากกว่าตอนเธอยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ...ผมแน่ใจว่าวันหนึ่ง เมื่อผมตาย เราจะได้พบกันอีก!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUyTURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB4Tmc9PQ==



Create Date : 16 กรกฎาคม 2551
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 19:49:26 น.
Counter : 744 Pageviews.

1 comment
ขึ้นจากโลง
ขึ้นจากโลง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"กมลพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณมาเยือน

คุณ มีความทรงจำย้อนไปได้ไกลสุดแค่ไหนคะ? ดิฉันคิดว่าราวขวบกว่าๆ เราก็เริ่มจำได้จนถึงบัดนี้ แม้ว่ามันกระท่อนกระแท่นเต็มที ดิฉันจำตอนตัวเองหัดเดินไปได้เลยล่ะค่ะ...เชื่อไหมคะ?

แต่ความทรงจำ อันหนึ่งที่เป็นปริศนาชวนสยองเกิดขึ้น ตอนที่ดิฉันอยู่อนุบาลสอง...คิดแล้วก็ราวห้าขวบเห็นจะได้ เมื่อดิฉันย้อนรำลึกถึงทีไร ภาพใบหน้าก็เด่นชัดขึ้นทุกที...มันเป็นใบหน้าของพี่แต้ว-ลูกพี่ลูกน้องของ ดิฉันเอง เธอแก่กว่าราวสองปี และเป็นลูกคุณป้าวิไลพี่สาวแท้ๆ ของแม่ดิฉันเอง

พี่แต้วจมน้ำตาย แต่ในความคิดและการรับรู้ของดิฉันยามมีอายุแค่ห้าขวบนั้น...ความตายคืออะไร ก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าพี่แต้วตายแล้ว กลับมาได้!

ภาพที่ดิฉันจำ ได้คือ คุณป้าวิไลจะมาหาคุณแม่ดิฉันบ่อยๆ หลังจากเกิดอุบัติเหตุที่พรากลูกสาวคนเดียวให้จากไป คุณป้าแต่งชุดดำ ใบหน้าไม่มีเครื่องสำอาง...มันซีดเซียวหม่นหมอง ทว่าใบหน้าเล็กๆ ของพี่แต้วที่เดินตามหลังแม่ไปโน่นไปนี่มันซีดกว่าเยอะ เพราะถึงอย่างไร ใบหน้าของป้าวิไลยังมีสีเลือด แต่ใบหน้าของพี่แต้วเป็นสีม่วงคล้ำ และไม่มีรอยยิ้มเลย!

เป็นใบหน้าที่เรียบเฉย เวลามองดิฉันก็จะจ้องนิ่งๆ

ในวัยห้าขวบนั้น ดิฉันแทบไม่รู้ว่าผีคืออะไร? และไม่คิดหรอกค่ะว่าพี่แต้วเป็นผี แต่ถึงกระนั้นดิฉันก็กลัวเธอ

มี อย่างที่ไหนคะ เดิมเราเคยเล่นกันอย่างสนุกสนาน แก้มของพี่แต้วเป็นสีชมพู ปากแดงจัดราวกับทาลิปสติก เธอรวบผมหางม้า ศีรษะทุยได้รูปสวย เธอสูงกว่าดิฉัน และใจดีมาก เรามักจะเล่นตุ๊กตากระดาษกันค่ะ

เวลาที่มาบ้านดิฉัน เธอจะเอากล่องตุ๊กตากระดาษมาเล่น ส่วนดิฉันมีบาร์บี้หลายตัว ยังแบ่งให้เธอเอากลับไปเล่นที่บ้านด้วยซ้ำ

แต่ หลังจากพี่แต้วจมน้ำตาย เธอเปลี่ยนไปมาก นิ่ง เงียบ เดินตามป้าวิไลแบบทื่อๆ ไม่มีการแตะต้องเนื้อตัว...ดิฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นคนเดียวที่เห็นเธอ เพราะนึกว่าคุณแม่ คุณป้า และทุกคนทำท่าไม่สนใจเธอ...ดิฉันไม่รู้ว่าคนอื่นไม่เห็น!

และ แล้ววันหนึ่ง พี่แต้วก็ไม่ตามป้าวิไลมาที่บ้านดิฉันอีก เป็นอันว่าเธอหายไปเลยนับจากนั้น ดิฉันเล่าให้คุณแม่ฟังแต่โดนดุว่าคิดไปเอง ครั้นเมื่อโตขึ้น ดิฉันกับคุณแม่ก็คุยเรื่องนี้กัน...ท่านยอมรับว่านั่นคือวิญญาณ และเรื่องผีพี่แต้วกลายเป็นเรื่องที่เคยคุยกันได้ไม่รู้จบจนกระทั่งทุก วันนี้

ขณะนี้ดิฉันอายุสามสิบสองปี มีลูกสาวเล็กๆ วัยสี่ขวบกว่า วันหนึ่งประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย!

วัน นั้น ดิฉันไปงานศพของเพื่อนรักที่เป็นมะเร็งตาย เธอยังสาว สวย และมีลูกสองคน...เธอแต่งงานเร็วค่ะ มีลูกก่อนดิฉัน และดูเถอะค่ะ...เธอตายเสียแล้ว!

สองทุ่มกว่าๆ ดิฉันกลับเข้าบ้าน...รู้สึกเหนื่อย เพลีย อาจจะเป็นเพราะร้องไห้กับเพื่อนๆ และญาติของไก่-เพื่อนที่เพิ่งวายชนม์ แหม! เห็นลูกๆ เธอแล้วใจคอมันตีบตันไปหมด

อากาศร้อน ตัวเหนียว ดิฉันอยากถอดชุดดำออกและอาบน้ำให้สบายตัว...

พอ เดินเข้าบ้าน ลูกเอมของดิฉันก็กระโดดมาหา ร้องแม่ขาๆ แต่นัยน์ตามองไปทางด้านหลังของดิฉัน จากนั้นก็ยกมือไหว้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู...ดิฉันหันขวับไปมองก็พบแต่ความ ว่างเปล่า หนาวเยือก ไปตลอดไขสันหลัง

ไม่กล้าถามเลยค่ะ ว่าเอมไหว้ใคร? แต่เอมส่งเสียงเจื้อยแจ้วเฉลยเอง

"น้าไก่ขา แต่งชุดสีเขียวสวยจัง หอมด้วย...หอมเหมือนน้ำอบที่เอมรดน้ำคุณย่าตอนสงกรานต์เลยค่ะ!"

จริง ค่ะ ไก่เพื่อนดิฉันแต่งตัวด้วยชุดผ้าไหมสดสีเขียวอ่อน นอนสงบนิ่งบนตั่ง ก่อนที่สัปเหร่อจะนำเธอลงโลง ดิฉันจำได้ติดตา...และแน่ล่ะค่ะ กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่นนั้น ลูกเอมของดิฉันคงสัมผัสได้

ดิฉันขนลุกซู่ หันไปพูดกับลมกับแล้งว่า "ไก่ ขอบใจนะที่มาส่ง ไม่ต้องห่วงนะ ไปเถอะจ้ะ หลับให้สบาย..."

ลูกเอมของดิฉันยกมือไหว้ แล้วโบกมือบ๊ายบาย!

ท่า ทีของลูกทำให้ดิฉันพอจะรู้ว่า วิญญาณของไก่กลับไปแล้ว ยอมรับเลยค่ะว่า กลัวจนไม่รู้จะทำยังไง รีบบอกให้คนรับใช้ดูแลบ้านช่อง ปิดประตูให้เรียบร้อย พอสั่งเสร็จก็พาลูกเอมขึ้นข้างบน ดิฉันอาบน้ำโดยเปิดประตูไว้...ให้ลูกและสามีนั่งเล่นอยู่หน้าห้องน้ำเป็น เพื่อน

เฮ้อ...ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจริงๆ นี่เป็นเรื่องผีอีกเรื่องที่ดิฉันจดจำไปตลอดชีวิต!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUxTURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB4TlE9PQ==



Create Date : 15 กรกฎาคม 2551
Last Update : 15 กรกฎาคม 2551 20:33:20 น.
Counter : 616 Pageviews.

0 comment
ภาพผีสิง
ภาพผีสิง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



โจ้ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากภาพถ่าย

คุณ คงเคยได้ยินเรื่องภาพถ่ายติดวิญญาณมามากแล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจและชอบดูรูปภาพประเภทนี้ มันน่าทึ่ง น่ากลัวและน่าสยดสยองจริงๆ วันหนึ่งผมก็ได้ประสบพบเจอมันเข้ากับตัวเองมันยิ่งกว่าสยองอีกครับ เพราะผีในภาพมันตามผมกลับมาบ้านด้วย!

เรื่องนี้เริ่มต้นในวันที่ผมไป เที่ยวน้ำตกที่นครนายกกับเพื่อนๆ ผมเองเป็นต้นคิดและนัดแนะกับเพื่อนฝูงอีกเกือบสิบคนไปเที่ยว....พวกเราเรียน จบมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกัน... สนิทกันมาก...มากจนไม่ต้องรอให้ถึงวันคืนสู่เหย้า เราก็นัดพบกันได้เป็นฝูง

พวก เราทั้งหญิงและชายออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด เพราะกะว่าจะไปเช้า-เย็นกลับ...วันนั้นผมขับรถตู้ไปเองด้วย ผมมีรถตู้ครับ บริการเพื่อนๆ จนถึงบ้านทุกคน นับว่าสะดวกสบายดีมากๆ พวกผู้หญิงทำอาหารปิกนิกเพียบพร้อม น้ำจืด น้ำหวาน น้ำขมมีครบ

ที่ น้ำตกนั้นคนน้อย เพราะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ เราจึงสำเริงสำราญกันเต็มที่...พวกเราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ทั้งถ่ายจากมือถือและทั้งกล้องดิจิตอล ผมเพิ่งซื้อกล้องใหม่มาอันหนึ่ง ราคาหมื่นกว่าๆ กำลังเห่อครับ

ยามบ่าย อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่เราเล่นน้ำกันจนค่อนข้างหนาว และเราก็นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ครึ้ม ลมแรง แดดสวยใสเชียว

ช่วง หนึ่งที่เพื่อนๆ เริ่มเหนื่อย พักความโลดโผนโจนทะยานกันชั่วครู่ บางคนนอนผึ่งพุงจนเคลิ้มหลับ พวกผู้หญิงเริ่มจับกลุ่มคุยกันอย่างลืมโลก ผมปลีกตัวลัดเลาะไปตามแนวหินและร่มไม้ พร้อมกับหันกล้องถ่ายรูปตัวเองบ้าง ถ่ายวิวสวยๆ บ้าง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมยืนพิงก้อนหินใหญ่ ด้านหลังเป็นกอไผ่ใบสวย เห็นน้ำตกอยู่ข้างๆ แอ่งน้ำตรงนั้นลึกแค่เข่า น้ำเย็นเฉียบ ผมหันกล้องเข้าหาตัวเองและกดชัตเตอร์ เสร็จแล้วก็กดดูภาพที่เพิ่งถ่ายเสร็จนี้ อือม์...ไม่หล่อแฮะ ลบดีกว่า!

แต่เดี๋ยวก่อน...นั่นอะไรน่ะ?

ในภาพนั้น เห็นใบหน้าผมกำลังเก๊กหล่อ แต่มันดูขมึงทึงไปหน่อย นั่นไม่สำคัญ...ด้านหลังผมต่างหากที่น่าสนใจ!

เยื้องไหล่ซ้ายของผม ลึกเข้าไปในดงไม้ มีใบหน้าของผู้หญิงผมยาวปรากฏขึ้น!

ผม หันขวับไปมองตรงจุดนั้น แต่ไม่เห็นใครเลย ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ผมกลับมาจ้องดูในภาพ... มันมีอะไรบางอย่างที่บอกว่าผู้หญิงที่ปรากฏไม่ใช่คน! ลักษณะเธอเหมือนภาพโปรโมตหนังผีไม่มีผิด ผมยาวยุ่งเหยิง หน้าดำมอมแมมด้วยคราบเลอะเทอะ ซึ่งผมแน่ใจว่ามันคือเลือด! ดวงตาไร้แววของเธอเบิ่งค้าง ปากอ้าคล้ายกำลังคราง

มีแววของความเจ็บปวด หวาดกลัวสุดขีดและความตาย...ยิ่งดูยิ่งชัด!

ผม เผ่นไปให้เพื่อนๆ ดู พวกมันสติแตกกันกระจาย ไอ้ที่เมาก็หายเมา ที่ง่วงเหงาก็ตื่นโพลง พวกผู้หญิงลืมไปแล้วว่ากำลังปรึกษาปัญหาหัวใจกันอยู่ มันทำให้เราฮือฮามาก ถามหาที่มาที่ไปของผู้หญิงในรูปกันให้ควั่ก

ในที่สุดก็รู้จากแม่ ค้าแถวๆ ปากทางว่า เมื่อไม่กี่เดือนมานี้มีผู้หญิงมาโดดน้ำตกตาย ท่าทางเป็นชาวบ้าน แต่มาจากไหนไม่รู้ จนป่านนี้ก็ยังหาญาติไม่พบ

เธอมาตายคนเดียว เจ้าหน้าที่ห่อศพที่ยับเยินของเธอไป...

ผม กลับบ้านด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ...เอาละซิ! เจอเข้ากับตัวเองแล้วทีนี้ เป็นไงล่ะ ผมไม่ได้ลบรูปนั้นทิ้ง แต่เอามาให้พ่อแม่และญาติพี่น้องดู เป็นที่ตื่นเต้นฮือฮากันไปทั่ว

กล้องตัวนั้นผมเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าด้านปลายเตียง มันสงบนิ่งอยู่ในนั้นอย่างน่าพรั่นพรึง...เพราะมีรูปผมกับผีติดอยู่!

คืน หนึ่ง ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ออกมาจากตู้เสื้อผ้า ทีแรกก็คิดว่าฝันไป แต่มันชัดมากเหมือนเธอนั่งคร่ำครวญอยู่ในตู้นั้นจริงๆ ผมผวาเลยครับ...รีบเปิดไฟแต่ไม่กล้าเปิดตู้

ในที่สุด ผมอัดรูปนั้นเก็บไว้ และลบภาพในกล้องทิ้ง หวังว่าอาถรรพณ์ของมันจะหมดไป แต่ผมคิดผิดครับ...เสียงร้องไห้คร่ำครวญยังคงมีอยู่ จนผมเอากล้องไปเก็บไว้ที่อื่น

คราวนี้เธอไม่ได้อยู่แค่ในตู้เสื้อ ผ้า แต่เพ่นพ่านไปทั่วบ้าน คนใช้ผมซึ่งตื่นแต่เช้ามืดยังเห็นผู้หญิงผมยาวแต่งชุดแบบชาวบ้านเดินช้าๆ อยู่ที่นั่นที่นี่...ผมกลัวจริงๆ ถึงใส่บาตรทำบุญไปให้ เธอก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เสมอ

เมื่อหมดปัญญาแล้ว ผมก็เริ่มพูดกับเธออย่างจริงจัง...พูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่าตามผมมาทำไม? ที่นี่เป็นบ้านของผม อย่ามารบ กวนดีกว่า กลับไปซะ!

ผมสงสารแม่และหลานๆ ที่ต้องกลัวผี ใครก็ไม่รู้ที่ผมพาเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัว

ไม่น่าเชื่อว่าด้วยวิธีง่ายๆ แค่นี้เอง เรื่องสยองเรื่องนี้ก็ยุติลง ผมไม่รู้สึกว่ามีผีแปลกหน้าอยู่ในบ้านอีกเลยนับแต่นั้น

แม่ บอกว่าเป็นเพราะจิตของผมที่โกรธจนไม่กลัว และบอกผีอย่างจริงจังให้ไปซะ! เวลาคุณเจอปัญหาแบบนี้ คุณลองใช้วิธีผมก็ได้ครับ ข้อสำคัญต้องจิตแข็ง...ได้ผลจริงๆ ครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUwTURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB4TkE9PQ==



Create Date : 14 กรกฎาคม 2551
Last Update : 14 กรกฎาคม 2551 21:53:07 น.
Counter : 611 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend