iamZEON Blog : Comics , Anime และอีกสารพัดเรื่อง
|
||||
ผีเพื่อน
ผีเพื่อน
ขนหัวลุก ใบหนาด "ถวัลศักดิ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถมรณะ ผม เป็นคนกรุงเทพฯ อยู่แถวชานเมืองที่จำเป็นต้องใช้ถนนวิภาวดีฯ เป็นหลักในการขับรถไปทำงานและกลับบ้าน ถ้าเป็นเวลากลางวันหรือแม้แต่หัวค่ำก็ไม่สู้กระไรนัก เพราะรถราคับคั่ง แต่ถ้ามีงานด่วนหรือติดลมกับเพื่อนฝูง ต้องกลับบ้านดึกหน่อยจะรู้สึกวังเวงใจชอบกล บางครั้งก็ไม่ค่อยสบายใจเหมือนกัน สาเหตุเพราะเคยโดนผีหลอกจนช็อกคาที่มาแล้วครับ! เพื่อน รุ่นน้องชื่อไพศาลทำงานที่ธนาคารเดียวกัน ชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวพัทยาวันเสาร์อาทิตย์เพราะเขามีคอนโดฯ อยู่ที่จอมเทียน... ตอนแรกก็มีคนรับปากจะไปด้วย 4-5 คน แต่เอาจริงเข้าก็เหลว... คนนี้อ้างว่าเมียชวนไปทำบุญ คนนั้นอ้างว่าแม่ป่วย คนโน้นบอกว่าลูกอยากให้พาไปดูหนังมากกว่า สรุปว่าเหลือแต่ผมคนเดียว ...ไพศาลหัวเราะกับผม บอกว่าชินเสียแล้วกับพวกที่รับปากตอนแรกแต่มาเบี้ยวตอนหลัง ตกลงว่าเขากับเมียจะขับรถมารับผมกับครอบครัวที่บ้าน ไม่ต้องขับรถไปอีกคันให้เปลืองน้ำมันเปล่าๆ เป็นอันว่าตกลงตามนั้น! ครั้น ถึงตอนเช้าวันนัด ผมกับลูกเมียแต่งตัวรออยู่ที่บ้าน...จากสิบโมงเช้าจนถึงสิบโมงครึ่งก็ยังไม่ ปรากฏวี่แววของไพศาล ทั้งๆ ที่เขาอยู่แถวแยกสุทธิสารใกล้ๆ กันนี่เอง เวลา ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง อดรนทนไม่ไหวต้องโทรศัพท์ไปหา ถามว่าออกมาจากบ้านหรือยัง? แต่คำตอบทำให้เราหวิดช็อก... ตำรวจที่รับสายจากมือถือของไพศาลบอกข่าวร้ายว่าเพื่อนผมหักรถหลบมอเตอร์ไซค์ ที่แซงตัดหน้า พุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าจนรถพังยับเยิน ไพศาลกับเมียเสียชีวิตคาที่อยู่ในซากรถทั้งสองคน ความสนุกสนานที่เราคิดว่ารอคอยอยู่ข้างหน้า กลับกลายเป็นความสลดหดหู่อย่างไม่นึกไม่ฝัน... คืน สวดศพของไพศาลกับภรรยา ผมมองดูรูปถ่ายที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลง ท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ นัยน์ตาของไพศาลจ้องมองเศร้าๆ ซึ่งก็ดูเป็นปกติธรรมดาของรูปถ่ายผู้ตายทั่วๆ ไป แต่แววตาของไพศาลคล้ายจะมีอะไรเร้นลับยิ่งกว่านั้น... งานศพผ่าน พ้นไปแล้ว...เพื่อนๆ พูดกันว่ายังดีที่ไพศาลเพิ่งแต่ง งาน ยังไม่มีลูกเต้าที่ต้องกำพร้าทั้งพ่อและแม่...แต่บางคนก็บอกว่าเคยเห็นไพศาล วูบๆ วาบๆ ที่ธนาคาร บางคนยังบอกว่าเห็นไพศาลขับรถมาทำงานด้วยซ้ำไป ในที่สุดผมก็ประสบกับตัวเองเข้าอย่างจัง! ราว ปลายเดือนพฤษภาคม ผู้จัดการแบงก์แต่งงานลูกสาวที่โรงแรมหรูแถวสุขุมวิทบรรยากาศครึกครื้นด้วย เสียงเพลง เสียงหัวเราะเริงร่า วิสกี้, เบียร์และไวน์มีเสิร์ฟอย่างไม่อั้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินคลอคู่กันทักทายและขอบคุณแขกเหรื่อตามธรรมเนียม... ใครคนหนึ่งเอียงหน้าเข้ามาบอกผมเสียงสั่นๆ "เห็นไพศาลมั้ย? เขามางานด้วย..." เล่นเอาผมหันขวับมองตามสายตานั้นไป แต่ก็ไม่เห็นอะไรน่ากลัว...มองดูคนพูดก็เห็นหน้าซีด ปากสั่น กลืนน้ำลายลงคอ คว้าแก้วเบียร์ด้วยมือสั่นระริกมากรอกปากจนหกเลอะเทอะมาถึงเสื้อนอก ผมกับภรรยาออกจากงานเกือบสี่ทุ่ม แต่รถรายังคับคั่งกว่าจะ ยูเทิร์นขึ้นทางด่วนที่เพลินจิตได้ก็สี่ทุ่มเศษ... เรา แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย จนกระทั่งมองเห็นสี่แยกสุทธิสารอยู่ข้างหน้า...ผมค่อยๆ ชะลอความเร็วลงตามรถคันหน้า ขณะรู้สึกว่ามีลมเย็นๆ พัดวูบเข้ามาทางขวาจนหนาวยะเยือก ทั้งๆ ที่มีกระจกขวางกั้น..เสียงภรรยาอุทานเบาๆ ในเวลาเดียวกับที่ผมหันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ และแล้วผมก็ได้เห็นภาพนั้น...ภาพอันน่าสยดสยองที่ไม่มีวันลืมเลือนได้เลยจนกว่าจะสิ้นลมปราณ รถ ยนต์คันหนึ่งแล่นช้าๆ อยู่ที่นั่น ทำท่าว่าจะแล่นผ่านไป แต่ก็ตีคู่กับรถผม...ผู้หญิงคนหนึ่งหันมายิ้มด้วยใบหน้าแหลกยับ ส่วนไพศาลนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เบือนหน้ามายิ้มละไมเหมือนหน้ากากที่ชวนสยองขวัญในคืนฝันร้าย...รอยยิ้มนั้น ฉีกกว้างขึ้น...กว้างขึ้นทุกที! เสียงกรีดร้องของภรรยาดังก้องอยู่ใน แก้วหู ม่านตาผมลาย พร่าเต็มทีขณะที่เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งไปชนคันหน้าโครมสนั่น... ชนต่อกันไปเป็นทอดๆ ขณะที่สติสัมปชัญญะวูบวับดับหายไปในบัดดล ไพศาล ตายไปแล้วแต่วิญญาณยังอยู่ เขาอาจจะมาเยี่ยมเยียน ทักทาย หรือมาล่ำลาเพื่อนฝูงก็ไม่ทราบแน่ชัด...ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีใครเห็น ไพศาลอีกเลยครับ! //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEF4TURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB3TVE9PQ== แม่ลูกผูกพัน
แม่ลูกผูกพัน
ขนหัวลุก ใบหนาด "ออน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสองแม่ลูก เรื่อง ของวิญญาณหรือนิยมพูดกันติดปากว่าเรื่องผี ค่อนข้างจะแปลกประหลาดพอสมควร ตรงที่บางคนตายแล้วก็ยังมีคนพบเห็นวิญญาณที่มาปรากฏในรูปแบบต่างๆ เช่นมาด้วยร่างกายเหมือนคนเป็นๆ บ้าง ทำเสียงให้ได้ยินบ้าง...โดยเฉพาะการมาเข้าฝันตั้งแต่เสียชีวิตใหม่ๆ แล้วหายไป แต่หลายๆ รายก็ยังมาเข้าฝันญาติมิตรแม้ว่าจะล้มหายตายจากไปนับสิบปีแล้วก็ตาม สิ่ง ที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ แม้ว่าจะเป็นผีหรือวิญญาณดวงเดียวกัน แต่บางคนก็มองเห็น บางคนก็มองไม่เห็น...ถึงอย่างไรก็น่าขนลุกขนพองพอๆ กันนั่นแหละค่ะ ดิฉันได้ประสบกับเรื่องแปลกประหลาดมาเมื่อต้นปีนี้เอง! ข้าง บ้านดิฉันมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สมมติว่าชื่อคุณแสนกับพี่สร้อย อายุสามสิบเศษด้วยกันทั้งคู่ บ้านนี้เป็นของพ่อแม่พี่สร้อยค่ะ หลังจากแต่งงานกันเมื่อราว 3-4 ปีก่อนพี่สร้อยก็ตั้งครรภ์ คุณแสนตื่นเต้นดีอกดีใจมาก ถึงกับให้พี่สร้อยลาออกจากงานมาอยู่บ้าน ว่าที่คุณตาคุณยายที่เพิ่งเกษียณอายุราชการก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยที่จะได้ อุ้มชูหลานคนแรก เมื่อครบกำหนด พี่สร้อยก็ไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเอกชนแถวพญาไทที่อยู่ใกล้บ้าน ได้ลูกชายค่ะ...พวกเราเพื่อนบ้านก็ไปเยี่ยมกัน เด็กน้ำหนักค่อนข้างน้อยคือสองพันสี่ร้อยกรัม แต่ก็น่ารักน่าเอ็นดู มีประพิมพ์ประพายคล้ายแม่ คุณตาตั้งชื่อว่าเอิร์ต...ถือว่าเป็นสุดรักสุดสวาทของคนทั้งบ้านก็ว่าได้ พี่ สร้อยต้องอยู่โรงพยาบาลถึง 7 วันกว่าจะได้กลับบ้าน ได้ข่าวว่าตาเอิร์ตไม่ค่อยแข็งแรงนัก พี่สร้อยต้องพาไปหาหมอ บ่อยๆ แต่เธอกับพี่เลี้ยงชื่อดาก็ประคบประหงมเลี้ยงดูจนลูกชายคืบคลานและตั้งไข่ ...สอนเดินได้เมื่ออายุขวบเศษ ตอนเย็นๆ พี่สร้อยจะอุ้มลูกมาเดินเล่นที่สนามเพื่อรอสามีกลับบ้าน เมื่อตาเอิร์ตเดินได้เตาะๆ แตะๆ พี่สร้อยก็จูงลูกเดินบ้าง ปล่อยให้เดินเองบ้าง แต่เธอกับพี่เลี้ยงจะคอยจ้องมองอย่างห่วงใยตลอดเวลา ชุลี-เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันเคยนินทากับดิฉันว่า "เลี้ยงลูกเหมือนไข่ในหิน" ตา เอิร์ตล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล พี่สร้อยก็ไปนอนเฝ้าแทบจะไม่เป็นอันกินอันนอนกลับบ้านแต่ละครั้งซูบผอมจนผิด ตา...เพื่อน บ้านที่ไปเยี่ยมกับดิฉันก็กระซิบว่าท่าจะไม่รอด... ก่อนจะครบสองขวบ ตาเอิร์ตก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลนั่นเอง! พี่ สร้อยเป็นลมแล้วเป็นลมอีก น่าเห็นใจคุณแสนที่ไหนจะ เสียลูกไปทั้งคนไหนจะต้องคอยปลอบอกปลอบใจภรรยา ผู้ดูเหมือนว่าสติสัมปชัญญะขาดๆ วิ่นๆ เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะร่าในตอนกลางคืน...ไม่ว่าใครได้ยินก็ขนลุกขนพอง ไปตามๆ กัน เห็นพี่สร้อยออกมาเดินใจลอยที่สนามตอนเย็นๆ แล้ว ดิฉันรู้สึกสงสารจับใจ ร่าง กายที่เคยซูบผอมอยู่แล้วก็ยิ่งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ปล่อยผมกระเซิงตามบุญตามกรรม ใบหน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษ โหนกแก้มปูดโปน นัยน์ตาจมลึกอยู่ในเบ้า ปากแห้งเกราะ นัยน์ตาเหม่อลอย...ที่น่าสมเพชยิ่งกว่านั้นก็คือเธอทำมือทำไม้เหมือนกำลัง จูงลูกชายเดินเล่น แบบเดียวกับเมื่อครั้งที่แกยังมีชีวิตอยู่! ดิฉัน เคยเกาะรั้วมอง รู้สึกหัวใจตีบตันด้วยความเวทนา เมื่อพี่สร้อยเดินใกล้เข้ามาทางกอกุหลาบก็ร้องถามว่า ออกมาเดินเล่นหรือคะ? พี่สร้อยจ้องมองด้วยนัยน์ตาขุ่นขวาง ครั้นแล้วก็กลับแจ่มใสเป็นประกาย หัวเราะเริงร่า...ก้มลงมองความว่างเปล่าพลางตอบเสียงสดใส "จ้ะ พี่พาตาเอิร์ตมาเดินเล่นน่ะ เอิร์ตจ๋า...ธุน้าออนซีจ๊ะ! น่าน...น่ารักจริงลูก" ดิฉัน ฝืนยิ้ม กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...มองดูพี่สร้อยเดินช้าๆ กลับเข้าบ้านพลางก้มหน้าลงพูดคุยกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนไปด้วยตลอดทาง... ตอนกลางคืนก็ได้ยินเสียงเธอจากห้องนอนชั้นบนพูดคุยและหัวเราะเริงร่าน่าขน ลุกเกือบทุกคืน เย็นหนึ่ง ดิฉันออกไปรดน้ำต้นไม้ที่ริมรั้ว มองผ่านเข้าไปเห็นพี่สร้อยเดินทอดน่องเชื่องช้า ทำท่าคล้ายจูงลูกตามเคย...ชุลีเพิ่งเดินเข้าซอยผ่านบ้านพี่สร้อย หันมองจนแทบเหลียวหลังมาถึงหน้าบ้านดิฉัน...เราทักทายกันครู่หนึ่ง ชุลีก็หันไปมองพี่สร้อยก่อนจะส่ายหน้าอย่างงุนงง "พี่สร้อยแกรักลูกจะเป็นจะตาย แล้วทำไมไปเอาเด็กที่ไหนมาเลี้ยง? หรือว่าจะช่วยให้ลืมตาอาร์ตละมั้ง?" "เธอพูดอะไรน่ะ?" ดิฉันอดหัวเราะไม่ได้ "พี่สร้อยน่ะหรือจะลืมตาเอิร์ตลง" " ก็นั่นไง!" ชุลีชี้มือไปที่พี่สร้อยที่กำลังจะเลี้ยวเข้าบ้าน "แกจูงเด็กผู้ชายตัวเท่าตาเอิร์ตพอดี แต่ฉันไม่เห็นหน้าหรอกนะออน...เอ๊ะ! นั่นเธอเป็นอะไรไป ทำไมหน้าซี้ดซีดเหมือนจะเป็นลม?" ดิฉันคิดว่าพี่สร้อยเสียสติ แต่ที่ไหนได้ล่ะคะ เธอกำลังจูงลูก ชายผู้เหลือแต่วิญญาณให้ชุลีเห็นเต็มตา...นึกถึงแล้วขนหัวลุกค่ะ! //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVE14TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB6TVE9PQ== คนเล่นของ
คนเล่นของ
คอลัมน์ ขนหัวลุก "ใบหนาด" ป้อม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกระดูกผีตายโหง ผม อยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด จะว่าไปแล้วแม่ ผมก็เกิดที่นี่ ในเนื้อที่เกือบสองไร่ เขตดุสิตนี่แหละ เพราะคุณตาผมซื้อที่ดินผืนนี้ปลูกบ้านเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ตอนคุณยายตั้งท้องลูกคนแรก ซึ่งก็คือแม่ผมนี่เอง...เราอยู่กันมาอย่างสงบสุขเพราะเป็นครอบครัวที่ทุกคน รักกัน แม่ผมมีน้องชายคนเดียว สองคนพี่น้องนี่รักกันมาก แม่จะเล่าว่าตอนเล็กๆ ตีกันบ่อยเหมือนกัน แม่เคยกัดน้องชายซะฟันหลุด ...ฟันน้ำนมน่ะครับ นึกภาพแล้วผมขำก๊ากทุกทีเลย แม่บอกว่าตอนนั้นฟันน้ำนมโยกอยู่แล้ว จวนเจียนจะร่วงเต็มแก่ พองับแขนน้องชายตัวอ้วนเข้ามันก็หลุดอย่างง่ายดาย พอโตขึ้นมาหน่อย คุณตาก็แบ่งที่ดินออกเป็นสองส่วน ให้ลูกสาวกับลูกชายคนละครึ่ง แต่บอกว่าขอให้อยู่กันเป็นผืนเดียว กันตลอดไป แม่กับน้าติ๊กก็คิดเช่นกัน...ใครจะขายหรือกั้นรั้วแยกล่ะครับ ในเมื่อที่นี่เป็นบ้านเกิดและเติบโตมาด้วยกัน... พื้นที่ทุกตารางนิ้วล้วนมีประวัติลึกซึ้ง บ้านนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ประทับใจ! วัน เวลาผ่านไป แม่ผมแต่งงานและมีผมกับน้องเกิดมาเป็นตัวยุ่ง ส่วนน้าติ๊กก็แต่งงานกับน้าเก๋และมีลูกสาวคนเดียวชื่อแก้ม ซนไม่แพ้ผมหรอก แต่น่าแปลกที่น้าเก๋ไม่ค่อยยอมให้แก้มมาเล่นกับผมและน้อง น้าเก๋ชอบฟ้องน้าติ๊กว่าผมกับน้องรังแกแก้ม เรื่องนี้ผมโกรธมากบอกว่าน้าเก๋นิสัยไม่ดี ชอบใส่ความ ช่างเถอะครับ ผมกับแก้มไม่ค่อยได้เล่นกัน แต่ผมก็รักน้องนะครับ ตั้งแต่ น้าเก๋มาอยู่ บ้านผมดูจะมีบรรยากาศแปลกๆ มันเหมือนกับเริ่มมีความแตกแยกและไม่ค่อยสนุกแล้วละ...น�าติ๊กกลัวเมีย! นี่ผมพูดจริงๆ นะครับ น้าเก๋น�ะดูเผินๆ ก็เป็นผู้หญิงอ่อนหวานดีหรอก ใครเห็นใครก็ชอบ แต่ผมไม่ชอบแววตาเธอเลย บางทีปากเธอยิ้ม แต่นัยน์ตาเธอจิกยังไงพิกล และเธอก็ขี้น้อยใจ บางทีแม่กับคุณยายแซวเธอเล่น แทนที่จะหัวเราะเธอกลับบึ้งตึง แล้วไปอาละวาดใส่สามีเธอ ว่าไม่รู้จักปกป้องเมีย! ปล่อยให้พี่สาวกับแม่เยาะเย้ยถากถางได้...ดู๊! ดูเธอทำ! นิสัยและการ กระทำของน้าเก๋ ทำให้พวกเรารู้สึกหวานอมขมกลืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เธอแสดงท่าทีอยากจะกั้นรั้ว แบ่งบ้านให้ชัดเจนไปเลย...คือบ้านหลังใหญ่น่ะค่อนมาทางที่ดินส่วนของแม่ผม ที่ดินของน้าติ๊กจึงเป็นสนาม เรือนคนใช้และสวน คนใช้ของน้าเก๋แอบ เป็นสปาย เอามาเล่าให้เราฟังว่า น้าเก๋ชอบพูดเรื่องสมบัติของน้าติ๊กกับพ่อแม่ของเธอ และเธอเห็นว่าพวกผมเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ขัดขวางเธอ นิสัยอย่างหนึ่ง ของน้าเก๋คือชอบเรื่องงมงาย ประเภทคนทรง เธอเคยพาคนทรงมาดูบ้านผม สงสัยอยากรู้ว่าสมบัติในที่นี้จะตกเป็นของเธอเมื่อไหร่ และมีวิธีไหนที่จะชนะพวกผมได้ในเร็ววัน...ผมพูดอย่างนี้เพราะมันมีเรื่องน่ะ สิครับ มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในบ้านผมอย่างน่าสยดสยอง! คืนหนึ่ง ผมจำได้แม่นว่าเป็นวันเสาร์ ผมมักจะนอนดึกหรือไม่ก็อยู่จนเช้า...ชอบฟังเพลงที่ระเบียงห้องนอน ซึ่งมองลงไปจะเห็นรั้วหน้าบ้าน ท่าม กลางแสงไฟถนน ซึ่งมองเห็นทุกอย่างบริเวณนั้นชัดเจนมาก ผมเห็นเงาดำๆ ร่างหนึ่งเกาะบนรั้ว ทีแรกก็ใจหายเพราะนึกว่าขโมย แต่ไม่ใช่ครับ มันเป็นร่างงอก่องอขิง ดำเกรียม หัวโล้น ผอมแห้งเหมือนศพตายซาก...มันไต่รั้วผมเหมือนไอ้แมงมุม ท่า ทางมันทรมานและทุรนทุราย ผมขยี้ตา มันก็ยังอยู่... ผมกลัวมากเพราะรู้ว่าผีหลอก รีบเข้าห้องแล้วสวดมนต์เป็นการใหญ่ รุ่ง เช้า ผมเล่าให้แม่กับคุณยายฟัง คุณยายตบอก บอกว่าตอนกลางคืนก็ฝันประหลาด เห็นชายร่างดำเกรียม พิกลพิการ เดินพนมมือขอให้ปล่อยเขาออกจากบ้านนี้ที เขามาอยู่ผิดที่และร้อนรนเหลือเกินแล้ว! น้าเก๋ซึ่งได้ยินเราคุยเรื่องนี้ถึงกับหน้าถอดสี ปากคอสั่น คุณยายสะกิดให้แม่ดูอากัปกิริยานั้น... คุณยายดูไม่ผิดหรอกครับ! คนใช้น้าเก๋แอบเล่าว่า น้าเก๋ให้หมอที่ทำคุณไสย ทำพิธีบางอย่างให้คนบ้านนี้มีอันเป็นไป อาจจะเจ็บป่วยถึงตาย หรือทะเลาะแตกแยกกัน...สิ่งของอย่างหนึ่ง ที่หมอเสน่ห์ให้เอาเข้ามาไว้ในบ้านผมคือฝาบาตรแตกกับกระดูกผีตายโหง...ที่คน ใช้รู้ก็เพราะน้าเก๋เล่าให้แม่ตัวเองฟังและเธอได้ ยินเข้า ในที่สุด เราก็พบฝาบาตรแตกกับเศษกระดูกและเศษผม ในห่อผ้าขาวเล็กๆ ที่ริมรั้ว น้าเก๋ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ คุณยายให้คน สวนนำออกไปทิ้งและนิมนต์พระมาทำสังฆทาน คุณยายเองไม่ได้โทษน้าเก๋เพราะไม่มีหลักฐาน แต่พูดเปรยๆ ว่าใครทำก็ให้มันไปเข้าตัวคนนั้น! น้าเก๋ดูจ๋อยๆ เจื่อนๆ ไปเลย เธอกลัวผีจะมาหลอกหลอนหรือบีบคอเธอน่ะซี เฮ้อ... ทุกวันนี้เรายังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม น้าเก๋น่ะหน้าดำ ผอมเกร็งเหมือนแม่มดนัยน์ตาดูล่อกแล่กเหมือนคนประสาทไม่ดี ผมคิดว่านี่คือผลจากการเล่นของ ทำคุณไสย...มันเข้าตัวเองอย่างที่คุณยายว่าจริงๆ น่ะครับ! //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOVE13TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB6TUE9PQ== ชีวิตหลังตาย
ชีวิตหลังตาย
ขนหัวลุก ใบหนาด "นลิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณห่วง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นกระบวนการธรรมชาติที่สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตจะต้องตายโดยไม่มีการหลีกหนีหรือหลบเลี่ยงได้เลย! คุณ ป้าเรณูเป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณแม่ดิฉัน และดิฉันรักท่านมากเหลือเกิน เพราะเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดู ทะนุถนอมของท่านล่ะค่ะ เราอยู่บ้านเดียวกันเป็นครอบครัวใหญ่ในบ้านคุณตาคุณยาย คือในบ้านนี้ นอกจากคุณตาคุณยายแล้ว ก็มีคุณป้าเรณูซึ่งเป็นสาวโสดและคุณแม่ซึ่งแต่งงานแล้วก็ไม่ยอมย้ายไปไหน แต่ปลูกเรือนเล็กๆ ข้างตึกใหญ่อยู่เป็นครอบครัวน้อยๆ คือคุณพ่อคุณแม่ และดิฉันกับน้องชาย เวลาที่คุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน ดิฉันกับน้องก็จะอยู่ในความดูแลของคุณยายและคุณป้าเรณู เรียกว่าเลี้ยงดิฉันมาตั้งแต่เกิด...เลี้ยงด้วยความรักใคร่สุดจิตสุดใจเลยที เดียว ฉะนั้น เมื่อท่านป่วยด้วยมะเร็งตับและคงจะไม่รอดแน่ๆ ดิฉันก็แทบจะขาดใจค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน คุณตาคุณยายไปสวรรค์นานแล้ว เหลือแต่คุณป้าอายุ 56 ดิฉันอายุ 24 เรียนจบแล้วและมีงานทำอยู่ที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง คุณป้าไม่สบาย อึดอัดและอ่อนเพลีย พวกเราจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอม จนในที่สุด ดิฉันพาไปตรวจก็พบว่าท่านเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ท่านรักษาตัวอยู่ที่บ้านโดยไม่ยอมทำคีโมหรือฉายแสงใดๆ ทั้งสิ้น...และแล้วก็ถึงเวลาที่ท่านต้องไปนอนในโรงพยาบาลเพราะบวมน้ำ ท้องมานและมีน้ำท่วมปอดด้วย ท่านอึดอัดมาก เหนื่อยมาก ที่โรงพยาบาลนั้น ดิฉันไปอยู่ด้วยจนแทบไม่ได้กลับมานอนบ้านเลย เช้าไปทำงานฝากคุณป้าไว้กับพยาบาล บางทีคุณแม่ดิฉันก็มาเฝ้า ตกเย็นดิฉันจะไปอยู่ข้างๆ ไม่ยอมห่าง เพราะรู้ดีว่าท่านจะอยู่กับเราอีกไม่นานแล้ว... มะเร็งลามไป เรื่อยๆ คุณป้าก็อ่อนแรงลงทุกทีๆ ทั้งซูบผอม แก้มตอบ ตาลึก ได้รับอาหารแค่ทางเส้นเลือด ได้หลับแต่ละทีนั้นนานมาก หลับลึกจนดิฉันนึกอยากให้ท่านจากไปในลักษณะนั้น คือหลับแล้วไปเลย จะได้ไม่ต้องตื่นมาเจ็บปวดอีก ตอนหลังๆ นี่คุณป้าไม่พูดไม่จาแล้ว ท่านดูเลื่อนลอยและหลับมากกว่าตื่น ดิฉันมักจะนั่งข้างเตียงจับมือท่านไว้ ในใจอยากจะแบ่งความเจ็บปวดของท่านมา พลบค่ำวันหนึ่ง ดิฉันฟุบหน้าอยู่กับแขนท่าน และรู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้องด้วย...เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใครคนหนึ่งเดิน หันหลัง กำลังจะถึงประตูห้องอยู่แล้ว ร่างนั้นไม่ใช่นางพยาบาล แต่เป็นสตรีสูงอายุและดูคุ้นตา... เป็นไปไม่ได้น่า! นั่นคุณยายนี่...คุณยายจริงๆ ด้วย!! ดิฉันผุดลุกขึ้นยืน ร่างของคุณยายเหมือนมนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสาทุกประการ และห่างจากดิฉันไปแค่ไม่กี่เมตร...คุณยายตายไปตั้งหลายปีแล้ว ท่านมาเดินอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน? ดิฉันผวาตาม ไม่ได้นึกกลัว แต่มันเป็นความพิศวงมากกว่า ตัวเองไม่ใช่คนเชื่อเรื่องวิญญาณสักนิดเดียว เมื่อเห็นอย่างนี้ สิ่งที่อยากทำก็คือไปให้ถึงตัวคุณยายและจับดูให้รู้แน่...ไม่ใช่จะท้าทายนะ คะ มันเป็นไปเองจริงๆ คุณยายเดินช้าๆ ตามปกติ ขณะที่ดิฉันกระโจนพรวด แต่แล้วท่านก็หายไปได้ยังไงไม่รู้ เหมือนละลายไปกับอากาศเมื่อดิฉันไปถึงท่าน! ดิฉันยืนงุนงงและสับสนอยู่นาน พอกลับมาที่เตียงก็พบว่าคุณป้านอนลืมตามองเพดานนิ่ง และที่ทำให้ดิฉันขนลุกซู่ก็คือ...ท่านยิ้มบางๆ อย่างสดใส พยักหน้าน้อยๆ เหมือนกำลังสื่อสารกับใครคนหนึ่ง... พอเล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่บอกว่าคุณยายคงจะมารอรับแล้วละ! ดิฉันเถียงไม่ออกค่ะ ถึงจะไม่เชื่อแต่ก็เห็นจริงๆ นี่นา...คุณแม่บอกว่าภายใน 3 วันนี่แหละ...ทราบแบบนี้แล้ว ดิฉันแทบไม่ห่างคุณป้าเลย เพราะรู้ว่าเวลาของเราเหลือน้อยเต็มทน ในที่สุด คืนหนึ่งหลังจากที่ดิฉันเห็นคุณยายผ่านไป 3 วัน คุณป้าก็ลืมตาขึ้นมองดิฉัน "แล้วพบกันใหม่นะ..." เสียงท่านเบาแต่แจ่มชัด หลังจากนั้นก็หลับไป ดิฉับบีบมือท่านเบาๆ พยายามกลั้นน้ำตา และนั่งข้างเตียงจนง่วงผล็อยหลับไป... ดิฉันหลับไปนานเท่าไรก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอกค่ะ... ในภาวะกึ่งฝันกึ่งจริงนั้น ดิฉันเห็นคุณตาคุณยายกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หน้าตาสะสวยน่ารัก เดินมาที่เตียง ทั้งสามดูเป็นหนุ่มเป็นสาว โดยเฉพาะคุณตาคุณยายนั้นไม่ได้แก่ชราอย่างที่ดิฉันเคยเห็นเลย...ทั้งสามมา ดึงมือให้คุณป้าลุกขึ้น คุณป้าก็ลุกค่ะ...ลุกอย่างคนปกติที่ไม่ได้เจ็บป่วย และเดินไปกับทุกคน ทิ้งให้ดิฉันนั่งตะลึงอยู่ข้างเตียงคนเดียว ดิฉันตื่นในลักษณะอาการเช่นนั้น... ใช่แล้วค่ะ คุณป้าทิ้งร่างที่ปราศจากลมหายใจไว้บนเตียงเรียบร้อยแล้ว! ประสบการณ์ ครั้งนั้น ทำให้ดิฉันเชื่อว่าชีวิตหลังความตายนั้นมีจริง และดิฉันไม่กลัวตายอีกเลย...คิดว่าวันหนึ่งคุณป้าก็คงมารับดิฉันเช่นกัน! //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEk1TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB5T1E9PQ== แรงปีศาจ
แรงปีศาจ
ขนหัวลุก ใบหนาด "เอกชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยเปลี่ยว ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ออกหางานทำทุกวัน ใครแนะนำที่ไหนก็ไปที่นั่น แต่ยังไม่สมปรารถนาเสียที บางวันก็ถูกเพื่อนๆ ชักชวนไปเที่ยวเตร่ ดื่มเหล้าดื่มเบียร์เป็นการปลอบใจ กว่าจะกลับบ้านได้ก็ดึกดื่น จนกระทั่งเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา แตน-เป็นเด็กสาวบ้าน ใกล้ๆ กันในซอยสุทธิสาร อายุราว 16-17 ปี หน้าตาสะสวย รูปร่างโปร่งแต่อวบ ชอบสวมเสื้อยืดสีสดๆ นุ่งกางเกงขาสั้นโชว์ขาอ่อนอวบขาวล่อตาล่อใจเพศตรงข้ามเป็นประจำ หลังจากเรียนจบม.4 แล้วก็ออกมาอยู่บ้านเฉยๆ พ่อแม่เคี่ยวเข็ญให้เรียนต่อก็ไม่สำเร็จ บอกให้หางานทำก็ไม่เอา อย่างเก่งก็ไปช่วยเพื่อนขายของตามห้างสรรพสินค้า แต่ทำได้ไม่นานก็ออกมานอนเล่นตามเดิม ใครถามก็บอกว่ารำคาญพวกผู้ชายที่ชอบมาพูดจาแทะโลมจนทนไม่ไหว หลุดปากด่าเจ็บๆ แสบๆ จนต้องออกจากงาน พวกหนุ่มๆ แถมบ้านเห็นคนสวยหน้าตาเซ็กซี่ สวมเสื้อยืดคับๆ จนเห็นทรวงอกอวบอั๋น แถมนุ่งกางเกงขาสั้นค่อนข้างแนบเนื้อ บางคนก็จ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตาย บางคนก็กะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามา แต่แตนไม่เล่นด้วย แถมยังทำท่าส่ายอก เดินบิดสะโพกคล้ายจะยั่วให้พวกนั้นคลั่งใจตายไปง่ายๆ ผมสนิทกับแตนมาหลายปี เคยถามว่าในเมื่อแตนไม่ใช่ทอม ทำไมไม่นึกชอบใครสักคนให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป? แตนกลับลอยหน้าบอกว่าชอบพี่เอกไงล่ะ แต่พี่เอกเป็นแต๋วใช่มั้ย? ว่าแล้วก็แลบลิ้นหลอก ก่อนจะหัวเราะอย่างสนุก วันหนึ่งแตนก็ถูกข่มขืนฆ่าในป่าละเมาะหลังบ้านนั่นเอง! ตำรวจมืดแปดด้าน ไม่มีใครตกเป็นผู้ต้องหาหรือแม้แต่ผู้น่าสงสัย ...แตนถูกปลุกปล้ำก็ต่อสู้เต็มทีจนถูกบีบคอตาย เสื้อยืดสีเหลืองถูกกระชากฉีกขาด กางเกงขาสั้นกองเป็นขยุ้มอยู่ข้างศพ...เลือดแดงฉานอาบร่างเปล่าเปลือย นัยน์ตาเหลือกลานเบิกโพลง ทั้งน่าสังเวชและน่าสยองติดหูติดตาไม่รู้ลืมเลือน หลังจากงานศพผ่านไปไม่นาน วิญญาณของแตนก็ออกมาปรากฏให้ชาวบ้านขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน คนที่เดินเข้าซอยมาตอนกลางคืนเห็นผู้หญิงผมยาวยืนพิงเสาไฟฟ้า เอนร่างในท่าสบายๆ โดยใช้สองมือรองรับสะโพก...พอเข้าใกล้จึงได้เห็นรูปร่างคล้ายเปลือยเพราะ เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นคับๆครั้นเอะใจขึ้นมาก็สายเกินไปแล้ว ใบหน้าขาวผ่องค่อยๆ หันมามอง...แตนนั่นเอง! บางคนหันกลับวิ่งกระเจิงออกไป บางคนแผดร้องสุดเสียง ...เผ่นอ้าวผ่านหน้าไม่คิดชีวิต ล้มลุกคลุกคลานแทบจะขาดใจตาย...บางคนก็ถึงกับทรุดฮวบลงสลบคาที่ไปเลย ผมเองกลัวผีมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พยายามไม่กลับบ้านดึกดื่นๆ เพราะตอนหัวค่ำยังพอจะมีคนเดินผ่านไปมาอยู่บ้าง แต่คืนนั้นเพื่อนฝูงฉลองเป็นการใหญ่ที่ผมได้งานทำเป็นครั้งแรกสมปรารถนา ...จนกระทั่งลืมเลือนซอยผีดุเสียสนิทสนม ราวสี่ทุ่มเศษ...ผมเดินมะงุมมะงาหราเข้าซอยบ้าน ค่อนข้างมึนเมาเอาการจนไม่นึกกลัวอะไรทั้งสิ้น นอกจากครึ้มอกครึ้มใจที่ได้งานทำ...จนกระทั่งมองเห็นเสาไฟฟ้าที่มีคนเห็นแตน ยืนหมุนสะโพกกับหลังมือทั้งสองข้าง เล่นเอาหูตาสว่างนิดหน่อย คืนนั้นเดือนหงาย ผมเพ่งมองไปที่เสาไฟฟ้าแต่ก็ไม่เห็นอะไร...กำลังจะถอนใจอย่างโล่งอกก็พอดีเห็นอะไรบางอย่างใกล้ๆ กันนั่นเอง เงาตะคุ่มๆ ค่อนข้างกลมดูแน่นิ่งเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ ผมเดินใกล้เข้าไปพลางย่นคิ้วจ้องมองเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน...จนกระทั่งแสง จันทร์ทำให้เห็นว่าเป็นร่างของผู้หญิงผมยาว นั่งกอดเข่าฟุบหน้าพลางสะอื้นเบาๆ ดังชัดเจนอยู่ในความเงียบเชียบเยือกเย็น... "ใครน่ะ..." ผมร้องถาม... แทบจะไม่ขาดเสียง ใบหน้านั้นก็ค่อยๆ เงยขึ้นมาอย่างเชื่องช้าแต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด ...ผมยาวสยายปิดบังใบหน้าไว้ แต่ผมเริ่มสังเกตว่าท่อนขาขาวๆ นั้นไม่ได้เปลือยเปล่าทั้งหมด มีกางเกงขาสั้นสีทึบๆ รัดแน่น...และเสือยืดสีเหลืองนั้นเล่า... ใบหน้านั้นสะบัดแรงๆ ครั้งเดียว ความขาวผ่องก็กระทบแสงจันทร์ที่เงยขึ้นมองด้วยนัยน์ตากลมโต ดำขลับ น่าสยดสยองสิ้นดี "แตน..." ผมครางกระเส่า ถอยกรูดๆ ขณะที่ร่างนั้นลุกขึ้นยืนเชื่องช้า ยื่นมือเข้ามาหาพลางเอียงหน้ามองด้วยท่าทางวิงวอน ...ภาพต่างๆ พร่าพรายเหมือนตกอยู่ในฝันร้ายสุดขีด แก้วกูลั่นเปรี๊ยะ ...ผมเผ่นพรวดไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ถึงบ้านก็หอบฮักด้วยความเหน็ดเหนื่อยปิ่มว่าจะสิ้นใจ วิญญาณแตนไปสู่สุคติแล้ว...แต่นึกถึงภาพนั้นทีไรผมยังขนหัวลุกทีนั้นเลยครับ! //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEk0TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB5T0E9PQ== |
iamZEON
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?] ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/ ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
Group Blog
All Blog
Friends Blog
Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |