สองแม่ลูก
สองแม่ลูก

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"หลานแน็ต เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงเรียน

บ้านหนูอยู่ถนนสุโขทัยนี่เองค่ะ ตอนเรียนชั้นประถมโรงเรียนก็อยู่ไม่ไกลบ้านนัก แต่พ่อแม่ไม่ยอมให้หนูกลับบ้านเอง ต้องให้น้าอ๋อยน้องสาวแม่ขับรถมารับ เพื่อนๆ หนูเดินกลับบ้าน หรือไม่ก็ขึ้นรถเมล์ รถตุ๊กตุ๊ก หนูว่าสนุกดีกว่าต้องมานั่งแกร่วรอที่ริมสนามด้วยซ้ำ

พ่อแม่ต้องไปทำงานทั้งคู่ เคยบอกว่าสมัยนี้รถรามากเหลือเกิน อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นบ่อยๆ แม่ยืนยันว่าไม่ยอมให้หนูไปกลับคนเดียวเด็ดขาด แต่จะให้มีรถรับส่งจนถึงที่สุด ไม่ว่าหนูจะเรียนถึงชั้นไหนก็ตาม แม่ยืนยันว่า

ถ้ากุ้งเป็นอะไรไป แม่มีหวังขาดใจตายตามลูกไปแน่ๆ เลย!

ตกเย็นหนูกับเพื่อนๆ อีก 3-4 คนที่ต้องรอ "รถบ้าน" มารับก็จะจับกลุ่มกันที่เก้าอี้ใต้ต้นปาล์ม มองดูพวกเด็กรุ่นน้องป.2-ป.3 วิ่งเล่นกันที่สนาม ส่งเสียงเกรียวกราวสิบกว่าคน...ส่วนมากจะรอให้พ่อแม่มารับบ้าง รอขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้านบ้าง ไม่ช้าก็จะทยอยกันไปจนบางตาลงทุกที

พวกเราชอบจับกลุ่มคุยกันเรื่องผี เพราะได้ยินแม่ค้ากับพ่อค้าหน้าโรงเรียนคุยกันเรื่องผีดุบ่อยๆ คุณครูก็เคยคุยกันจนพวกหนูได้ยินว่าถนนหน้าโรงเรียนเราเกิดอุบัติเหตุบ่อย มาก จนมีคนตายไปหลายรายแล้วค่ะ

เขาว่าผีตายโหงจะดุร้ายมากที่สุด แถมวิญญาณยังสิงสู่วนเวียนอยู่ที่ตัวเองขาดใจตายด้วยซีคะ!

วันหนึ่งหนูก็เจอกับเรื่องขนหัวลุกเข้าอย่างจัง!

เย็นนั้นฟ้าครึ้มฝน แสงแดดหายไปหมด ลมพัดอู้จนเศษกระดาษปลิวว่อน ยอดไม้โยกกิ่งใบเสียงซู่ซ่าน่ากลัว ผู้ปกครองทยอยเข้ามารับเด็กๆ ออกไปเกือบหมด เพื่อนหนูก็เหลืออยู่แค่สองคนคือดวงใจกับปริศนา...เรามองออกไปที่ถนนก็เห็น รถราติดกันเป็นแพเชียวค่ะ

เจ้าประคู้น! ขออย่าให้ฝนตกเลย ดวงใจโพล่งขึ้น ถ้าฝนตกมีหวังรถติดจนต้องรอหง่าวไปถึงค่ำแน่ๆ

ลมแรงๆ ยังงี้ฝนคงไม่ตกหรอก ปริศนาอวดรู้ กลัวแต่ต้นไม้จะหักโค่นลงมาทับรถพัง ทับคนตายน่ะซี

เสียงฟ้าคำรามครืนๆ จนพวกเราสะดุ้งโหยง สายฟ้าแลบวาบจนหนูหลับตาปี๋ รีบยกสองมืออุดหู ตามด้วยเสียงผ่าเปรี้ยงจนเราร้องวี้ดว้ายอย่างลืมตัว!

หนูลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นพวกพ่อแม่ที่เดินเข้ามามองหาลูก บ้างก็กำลังจูงกันเดินแกมวิ่งออกไป ผู้ปกครองบางคนก็เพิ่งจะโผล่เข้ามา...ดวงใจคว้ากระเป๋าโดดผลุง...คุณพ่อของ เธอมารับแล้วน่ะซีคะ...เหลือแต่เราสองคนหันมองสบตากัน ถอนใจเฮือก...

หัน ไปอีกทีก็เห็นแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังจูงมือกันเดินผ่านหน้าเราไป...เสียงฟ้า คำรามครืนๆ น่ากลัว แม่ลูกคู่นั้นไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวใต้ต้นมะม่วงริมรั้ว เด็กหญิงอายุราว 6-7 ขวบชี้มือไปที่แผงขายของกินนอกรั้ว แต่แม่ส่ายหน้า

หนูเดาว่าเด็กคงจะรบเร้าให้แม่พาไปซื้อขนมและของเล่นสารพัดชนิด แต่แม่คงจะไม่ตามใจเป็นแน่

ทำไมเขายังไม่กลับบ้านนะ? ปริศนาถามลอยๆ เพราะมองดูอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นเหลือเด็กๆ ที่รอผู้ปกครองมารับไม่ถึงสิบคนแล้ว หนูบอกว่าสองแม่ลูกคงจะรอพ่อเข้ามารับเป็นแน่ ตอนนี้คงหาที่จอดรถให้เรียบร้อยเสียก่อน

ทันใดนั้นเอง ผู้เป็นแม่ก็ลุกขึ้นยืน ฉุดมือลูกสาวให้ลุกขึ้นตาม...แทนที่จะเดินไปทางประตูรั้ว คนทั้งสองกลับเดินช้าๆ ผ่านเราไปยังทางเข้าห้องเรียน...แม่จูงมือลูกไว้ แต่หนูนึกสงสัยที่ไม่เห็นกระเป๋าหนังสือเลย ไม่ว่าในมือแม่หรือมือเด็ก

สองแม่ลูกหันมามองเราช้าๆ ก่อนจะผ่านเลยไป...

หน้า ตาขาวซีดที่หันมานั้นช่างผิดมนุษย์มนา เพราะขาวจัดเหมือนกระดาษ ทำให้ขนอุยที่ต้นคอหนูลุกชัน หนาวเยือกไปตามแผ่นหลัง เสียงปริศนาก็ครางออกมาเบาๆ ว่า...อะไรกันน่ะ น่ากลัวจัง?

คุณพระช่วย! สองแม่ลูกเดินเหมือนลอยไปทางเข้าห้องเรียน ก่อนจะจางหายกลายเป็นอากาศว่างเปล่าต่อหน้าต่อตาเรา...ปริศนาหวีดร้องโผเข้า กอดหนูแน่น หนูเองก็กอดเพื่อนไว้ หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ อยากร้องไห้โฮให้สาสมใจ

ต่อมาหนูจึงรู้สาเหตุ...เมื่อเดือนก่อนนี้เอง แม่ขับรถพาลูกสาวตัวน้อยมาส่งที่โรงเรียน แต่เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน...ตายคาที่ทั้งสองคน! วันดีคืนดีก็มีคนเห็นสองแม่ลูกเดินตัวแข็งทื่อเข้าโรงเรียนมาเป็นประจำ...

เวลาผ่านไป 5-6 ปีแล้ว แต่นึกถึงภาพนั้นทีไรหนูขนหัวลุกทุกทีเลยค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEk1TURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB5T1E9PQ==



Create Date : 29 สิงหาคม 2551
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 19:07:30 น.
Counter : 711 Pageviews.

0 comment
บึงผีสิง
บึงผีสิง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ลุงโฮม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบึงมรณะ

สมัยเด็กผมอยู่บ้านหนองคู อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเคยเรียกกันว่าจังหวัดขุขันธ์ อันเป็นจังหวัดชายแดนติดกับกัมพูชา

คำ ว่า "หมอเขมร" ก็เกิดขึ้นที่นี่แหละครับ...เป็นที่รู้กันว่าหมอเขมรน่ะหมายถึงหมอไสยศาสตร์ ที่ช่ำชองเรื่องไสยดำ อาถรรพณ์เวทอันเร้นลับน่าสยดสยอง แน่ล่ะครับ ว่าต้องหนีเรื่องภูตผีปีศาจไปไม่พ้น

พูดถึงเรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ชอบฟังทั้งนั้น ถึงจะไม่เคยโดนผีหลอก แต่ก็กลัวผีกันทุกคน พวกผู้ใหญ่เขาว่ามันก็ดีไปอย่าง เด็กๆ กลัวผีจะได้ไม่ไปซุกซนที่เปลี่ยวๆ หรือตกน้ำตกท่าเพราะลับหูลับตาพวกผู้ใหญ่

ขอเล่าถึงหมู่บ้านหนองคูของผมซะก่อน

พูด ก็พูดเถอะ ที่นั่นน่าจะเรียกว่า "ดงตาล" มากกว่าครับ เพราะนอกจากจะมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้มไปทั้งหมู่บ้านแล้ว ยังมีต้นตาลขึ้นเรียงรายเป็นแนว ดกดื่นไม่รู้ว่ากี่ร้อยต้น ต้นตาลนี่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ ลูกตาลกินได้ทั้งอ่อนและแก่ ลูกตาลอ่อนๆ กินแล้วชุ่มคอชื่นใจดีนัก ที่เขาเรียกว่า "หวานฉ่ำเหมือนลูกตาลเฉาะ" นั่นปะไร!

ส่วนลูกแก่ก็เอามาทำขนมตาลกิน เม็ดที่มีขนฟูก็เอามาให้เด็กๆ เล่นสางผมกันเพลิดเพลินดีไม่หยอก จะบอกให้...ใบตาล ต้นตาล นำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น



ลุง เหลือกับลุงใสชอบชักชวนกันไปทอดแหที่หนองน้ำใหญ่นั้นบ่อยๆ ส่วนมากจะไม่ผิดหวัง ได้ปลาตัวโตๆ มากินเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา

วันนั้นสองสหายหา ปลาแทบไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเหล่ามัจฉาน้อยใหญ่มันหลบหนีไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหนหมด มีแต่ปลาเล็กปลาน้อยมาติดแหเท่านั้น ต่างคนต่างบ่นพึมเป็นหมีกินผึ้งไปตามๆ กัน ลุงเหลือถึงกับฮึดฮัดไม่หยุดหย่อน...อย่าว่าแต่จะเอาไปผัดไปแกงเป็นกับข้าว เลย แค่เอาไปทำแกล้มกินกับเหล้าก็ยังไม่พอ!

จนกระทั่งมืดค่ำเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว...

ลุง ใสเหวี่ยงแหโครมลงไปเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ถึงกับตาลุก ร้องว่าได้ไอ้ดุกไอ้ช่อนตัวเท่าน่องแล้ว เพื่อนเอ๋ย...ก่อนจะช่วยกันดึงแหขึ้นมา เพ่งมองไปในความสลัวก็เห็นอะไรขาวๆ ดิ้นขลุกขลักเต็มแห แต่เมื่อมองเห็นถนัดว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องจ้าสุดเสียง

นั่น คือ...ไม่มีปลาตัวโตๆ อย่างที่นึกกระหยิ่มใจ แต่กลับเป็นหัวกะโหลกขาวโพลนนับสิบๆ หัวที่กำลังหันขวับมาหัวเราะร่า อ้าปากปะหงับๆ จนสองเกลอปล่อยแหหลุดมือหันหลังกลับ ร้องแต่ว่า ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย...พลางวิ่งแหกป่าแหกดงกลับบ้านไม่คิดชีวิต...สบถสาบานว่าจะไม่ขอ ย่างกรายไปที่หนองน้ำผีสิงอีกต่อไป

ตากรีกับตาบ่ายรู้ข่าวก็หัวเราะ ร่า ประกาศว่าพวกแกไปหาปลาตั้งแต่สมัยหนุ่มจนผมหงอกเต็มหัว ไม่เคยกลัวผีสางนางไม้ที่ไหน...ต่อไปจะไปหาปลาที่หนองใหญ่มากินทุกๆ วัน

รุ่งขึ้นชายชราทั้งสองก็เจอดีเข้าอย่างจัง!

หลัง จากช่วยกันลากแหหนักอึ้งพักใหญ่ โดนดึงกลับจนต้องลุยน้ำที่ริมขอบหนองลงไป กระทั่งดึงแหขึ้นมาได้...ปรากฏว่าไม่มีปลา ไม่มีหัวกะโหลก แต่เป็นร่างศพผู้หญิงผมยาวกำลังขึ้นอืด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งจนสองเกลอหงายตึงลงน้ำด้วยความตกใจสุดขีด

ต่าง คนต่างตะเกียกตะกายขึ้นบกได้ก็เผ่นกระเจิง ล้มลุกคลุกคลานเหมือนหนุมานคลุกฝุ่นจนถึงบ้าน...สองสหายเล่าเหตุการณ์ กระท่อนกระแทนก่อนจะสิ้นสติไป

ตากรีจับไข้ได้สองวันก็ขาดใจตาย ส่วนตาบ่ายก็กลายเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้...ไม่มีใครกล้าไปหาปลาที่หนองน้ำนั้นตอนกลางคืน อีกเลย!

พ่อเคยชวนผมไปตกเบ็ดตอนกลางวันแสกๆ ต้นตาลที่ดกหนาร่มครึ้ม ทำให้บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ ลมเจ้ากรรมก็พัดซ่าๆ ไม่หยุดหย่อน ใบตาลแก่ๆ แกว่งไกวแกรกกราก...เล่นเอาผมเหลียวซ้ายแลขวาไม่หยุดหย่อนจนต้องนั่งเบียด พ่อแจ พึมพำว่า...ทำไมไม่มีใครมาตกเบ็ดทอดแหกันสักคน?

พ่อชักคันเบ็ดขึ้นมาเก็บ พูดเบาๆ ว่า...เอ็งลองมองดูอีกทีซิว่ามีกี่คนกันแน่?

ผม เงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ แล้วต้องอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป...รอบบึงใหญ่นั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เด็กๆ ก็มี กำลังนั่งตกปลาตัวแข็งทื่อหลายสิบคน...ก่อนจะร้องโวยวาย พ่อก็ฉุดมือผมลุกขึ้นยืน แล้วออกเดินช้าๆ พลางกระซิบว่า...อย่าหันไปมองพวกมัน!

ยอดตาลไหวซ่า เล่นเอาขาผมแข็งทื่อแทบจะก้าวไม่ไหว อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกจนกระทั่งถึงบ้าน...ไม่ขาดใจตายเพราะบึงผี สิงอย่างตากรีก็บุญโขแล้วครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEk0TURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB5T0E9PQ==



Create Date : 28 สิงหาคม 2551
Last Update : 28 สิงหาคม 2551 19:06:07 น.
Counter : 659 Pageviews.

0 comment
ปีศาจสนธยา
ปีศาจสนธยา

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"หลานแมว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคลองตัน

คุณยายจอมจันทร์เป็นเพื่อนบ้านดิฉัน เมื่อต้นปีนี้เองท่านก็เสียชีวิตเพราะโรคชรา มีทั้งเบาหวานและความดันสูง...คุณยายวัย 70 เศษไม่ได้ทนทุกข์ทรมานอะไรมากหรอกค่ะ เพราะวันหนึ่งก็นอนหลับไม่ตื่นไปตลอดกาล!

หลังจากนั้นก็มีคนเห็นผีที่บ้านนั้นบ่อยๆ

แต่ทุกคนก็ยืนยันตรงกันว่าไม่ใช่ผีของคุณยายจอมจันทร์แน่นอน!!

ดิฉันกับเพื่อนๆ ที่อยู่คลองตัน รู้จักคุณยายมาตั้งแต่พวกเรายังเป็นวัยรุ่น ส่วนคุณยายก็อายุราว 50 ปี ร่างสูงแต่โปร่ง ผิวพรรณขาวผ่องสะอาดสะอ้าน กิริยาวาจาก็แช่มช้อยน่ารักน่านับถือ อย่างที่เรียกว่า "ผู้ดี" ได้เต็มปากเลยค่ะ

พวกเราชอบไปหาคุณยายที่บ้าน ฟังท่านพูดคุยเรื่องเก่าๆ ที่น่าสนุกสนานตื่นเต้น เช่น สมัยที่มีรถรางในกรุงเทพฯ ข้าวสารถังละ 20 บาท ซื้อหมูบาทเดียวก็ได้แถมต้นหอมผักชีแล้ว ก๋วยเตี๋ยวข้าวแกงจานละ 1 บาท ทองคำบาทละ 300 กว่าบาท...ฟังแล้วอยากไปเกิดสมัยนั้นจริงๆ ไม่ใช่ทองคำบาทละ 4,000 บาทเหมือนสมัยนี้ (พ.ศ.2533)

ดิฉันมองหน้าที่ยังตึงเต่ง ดูเปล่งปลั่งกว่าอายุจริงของคุณยาย แล้วโพล่งออกมาว่า...คุณยายดูเหมือนอายุ 30 ต้นๆ เท่านั้นเองค่ะ!

ปองกับแน็ต-เพื่อนดิฉันก็พยักหน้าเห็นพ้องด้วย คุณยายยิ้มละไม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความสุขและชื่นอกชื่นใจเห็นได้ชัด ก่อนจะตอบยิ้มๆ ว่า

"ยายไปให้หมอเขาดึงหน้าที่ประตูน้ำมาเมื่อ 3-4 ปีนี่เอง!"

พวกเราอ้าปากค้างไปตามๆ กัน อย่างแรกคือไม่เคยรู้มาก่อน อย่างต่อมาคือไม่คิดว่าคุณยายจะกล้าเปิดเผยให้เราฟังแบบนี้ แต่เสียงแจ่มใสของท่านก็ดังต่อเนื่อง ใบหน้ายิ้มละไม

"ขออวด หน่อยนะหนูจ๋า...ว่าสมัยสาวๆ น่ะยายสวยมาก เคยมีคนมาทาบทามให้ไปประกวดนางสาวไทย แต่พ่อแม่ยายไม่ยอม...แหม! นายห้างอย่างพ่อยังหัวเก่า บอกแม่ว่าเรื่องอะไรจะให้ลูกสาวไปเปิดขาอ่อนให้เขาดู ฐานะอย่างเราเกิดมาอีกสิบชาติก็กินใช้ไม่หมด"

คุณยายจอมจันทร์เล่าว่า ความสวยงามถึงร่ำลือจนมีพวกหนุ่มๆ มาขอดูกันนับไม่ถ้วน...จนในที่สุดก็แต่งงานกับผู้ชายที่พ่อแม่เห็นว่ามีฐานะ คู่ควรกันจนมีลูกเต้าหลายคน พวกลูกๆ ก็ล้วนแต่ดูแลแม่อย่างดีเมื่อพ่อตายจากไปก่อน

"จะเรียกว่าเกิดมา โชคดี หรือมีบุญก็ยังได้ เพราะยายได้สามีดี ทั้งรักใคร่ทั้งเอาใจใส่ รู้ว่าเรารักสวยรักงามก็ทุ่มเทเงินทองไม่อั้น ไม่ว่าทองหยอง เครื่องเพชรพลอย เสื้อผ้าตามแฟชั่น กระเป๋าถือ รองเท้า เครื่องสำอางยี่ห้อดีๆ ทั้งนั้น"

เมื่ออายุพ้นวัย 40 ไปแล้ว ริ้วรอยของความร่วงโรยก็เริ่มคืบคลานเข้ามาเยือน ทั้งรอยย่นที่หน้าผาก ตีนกา มุมปาก ทรวงอกและต้นขา...ไม่ช้าผมก็เริ่มมีสีเทาประปรายให้เห็น

"ตอนแรกยายถอนผมก่อน...ถอนจนถอนไม่ไหว เลยตัดสินใจย้อมมาถึงทุกวันนี้ หน้าตาที่ชักจะมีรอยย่นมากขึ้นก็ตัดสินใจไปให้หมอเขาผ่าตัด...หมอคนนี้ฝีมือ ดีมาก ไม่สังเกตจริงๆ ไม่รู้หรอก...บอกสามีว่าจะไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด แต่ความจริงดึงหน้าเสร็จก็ไปนอนโรงแรมเสียสองคืน จนอาการบวมมันยุบลง แต่วันกลับบ้านยังสวมแว่นดำอยู่เลย"

คุณยายจอมจันทร์โชคดีที่มีฐานะเป็นปึกแผ่น ทุ่มเทเงินทองเพื่อบำรุงบำเรอความสวยงามของตนเองได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อนบ้าน มีอาหารดีๆ ขนมและผลไม้ ไปจนถึงเสื้อผ้ามาฝากคนรักกันชอบกัน เรื่องการบุญการกุศลก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง

อาทิตย์ละสองครั้งเป็นอย่างน้อย ที่คุณยายจะไปร้านเสริมสวย ทำผม แต่งหน้า ตัดเล็บ ขัดผิว อบตัว...และพูดคุยกันถึงเรื่องลิปสติก อายแชโดว์ บลัชออน...จนถึงดินสอเขียนคิ้ว!

เคยย้อมผมสองอาทิตย์ครั้งก็ร่นเป็นทุกอาทิตย์ มีเหตุผลว่า...เห็นผมขาวแล้วรับไม่ได้

หลัง จากคุณยายเสียชีวิตไปเดือนเศษ เพื่อนบ้านก็เริ่มจะลือกันว่าเห็นภูตผีวนเวียนอยู่ในบ้านตอนกลางคืน...ผี ผู้หญิงผมขาวโพลนก้มหน้าเดินวนเวียนอยู่ที่สนาม บางคนก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นดังแว่วมาเข้าหูน่าขนหัวลุก

ไม่มีใครรู้ว่าเป็นภูตผีที่ไหนเร่ร่อนมาถึงที่นั่น?

ดิฉันกับเพื่อนๆ พอจะระแคะระคายอยู่ค่ะ จนกระทั่งคืนหนึ่งเราไปงานแต่งงานเพื่อนรุ่นน้อง นั่งรถผ่านมาบ้านคุณยายจอมจันทร์ราวสี่ทุ่มเศษ...เห็นร่างผู้หญิงผมขาว ร่างสูงในชุดสีแดงสดยืนเด่นอยู่ที่สนาม...แสงไฟจากถนนส่องให้เห็นใบหน้า เหี่ยวย่น ดูน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนแม่มดในนิยาย กำลังจ้องมองมาเศร้าๆ ยกแขนลีบเล็กขึ้นโบกให้เราราวจะทักทายอยู่ในที

ปองกับแน็ตหลุดปากออกมาว่า...คุณยายจอมจันทร์!

ดิฉัน เย็นวาบไปทั้งตัว ขับรถมือไม้สั่นจนถึงบ้าน แต่ภาพของหญิงเฒ่าวัยเกือบร้อยปียังติดแน่นอยู่ในความทรงจำจนถึงทุกวันนี้ ...ลาก่อนค่ะ คุณยาย!!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEkzTURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB5Tnc9PQ==



Create Date : 27 สิงหาคม 2551
Last Update : 27 สิงหาคม 2551 19:15:59 น.
Counter : 740 Pageviews.

0 comment
วิญญาณดึกดำบรรพ์
วิญญาณดึกดำบรรพ์

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"สุบิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่พระนครศรีอยุธยา

ผม เคยได้ยินบ่อยครั้งว่า คนที่จิตใจเข้มแข็งมักจะไม่ถูกผีหลอก เพราะจิตมีพลังมากกว่าภูตวิญญาณทั่วๆ ไป แต่ถ้าใครจิตใจอ่อนแอ ปกติเป็นคนตกใจง่าย มักหวาดสะดุ้งด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะมีโอกาสถูกผีหลอกได้ง่ายกว่า

ก็แน่ล่ะครับ เพราะคนที่จิตใจบึกบึนห้าวหาญนั้น ต่อให้พบปะเหตุการณ์คับขัน หรือแม้แต่เห็นภูตผีปีศาจก็ควบคุมสติได้จนวิญญาณ ชั่วร้าย ต้องหลีกหนีไปเอง

นอกจากนั้นก็คือเด็กๆ ที่มีโอกาสถูกผีหลอกมากที่สุด! เชื่อว่า นอกจากจิตใจยังไม่เข�มแข็งเหมือนผู้ใหญ่แล้ว สัมผัสทางจิตของเด็กยังค่อนข้างละเอียดอ่อน ภูตผีที่อยู่เหลื่อมซ้อนมิติกับมนุษย์ บางครั้งมีโอกาสเหมาะสมจึงอาจจะปรากฏตัวเข้ามาสู่มิติเดียวกันก็เป็นได้

สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ เด็กๆ ที่พบเห็นภูตผีเหล่านั้นอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกับตนเอง

ด้วย เหตุนี้เราจึงมักพบเด็กๆ พูดคุยกับตุ๊กตา หรือของเล่นชิ้นโปรด แต่พวกผู้ใหญ่มักคิดว่าลูกหลานของตนกำลังเล่นกับ "เพื่อนสมมติ" โดยไม่ได้หวาดระแวงแม้แต่น้อยว่าเด็กๆ กำลังพูดคุย หัวเราะต่อกระซิกกับผู้ไม่มีร่างกาย!

ผมมีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าสู่กันฟังครับ

เมื่อราวสองปีก่อน ผมกับภรรยาและลูกชายวัย 7 ขวบ ไปเที่ยวสิงห์บุรีและพระนครศรีอยุธยากับบริษัททัวร์เจ้าประจำ มีรายการนำเที่ยวสนุกๆ มาชักชวนอยู่เสมอ ส่วนมากเป็นจังหวัดใกล้ๆ อย่างชลบุรีและระยองบ้าง เที่ยวสวนผลไม้และตลาดนัดตอนกลางคืนที่อัมพวา สมุทรสงครามบ้าง...ล่าสุดก็ไปไหว�พระเก้าวัดที่เมืองสิงห์

คราวนี้มีเป้าหมายอยู่ที่พระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี และไหว้พระที่พระนครศรีอยุธยาราว 4-5 วัด หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดสุดท้าย

มีกำหนดค้างที่สิงห์บุรีและพระนครศรีอยุธยา...จนกระทั่งถึงลานจอดรถหลัง โบสถ์หลวงพ่อมงคลบพิตร มีรถทัวร์จอดอยู่หลายสิบคัน ผู้คนคับคั่งเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไกด์นำเราเดินผ่านร้านค้าด้านขวามือ ทั้งร้านเครื่องดื่ม หนังปลาทอด ผลไม้ดอง ขนมไทย และของที่ระลึกต่างๆ โดยเฉพาะร้านโรตีสายไหมมีมากที่สุด

จนกระทั่งเข้าไปไหว้หลวงพ่อมงคล บพิตรเรียบร้อย ภรรยาพา ลูกไปปล่อยนกที่หน้าโบสถ์ ซื้อตั๊กแตนสานด้วยใบมะพร้าว จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับทางเก่า ตั้งใจว่าจะหาซื้อของกินของฝากตามระเบียบ

ก่อนจะถึงปากทางเข้า ร้านค้านั่นเอง ตาต้อมลูกชายผมก็กระตุกมือแม่ ได้ยินเสียงถามว่า อะไรลูก? ตาต้อมก็พยักหน้าไปที่ความเวิ้งว้างทางซ้ายมือ เราก็มองตามไปอย่างงุนงง

แสงแดดยามเย็นกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว...

ที่นั่นคือป่าละเมาะค่อนข้างเปลี่ยว ถัดไปเป็นต้นไม้ใหญ่ฯ เช่น จามจุรีที่รายล้อมเกือบรอบบึง มีจอกแหนกับผักตบชวาอยู่แน่นหนา พงอ้อกอหญ้าขึ้นรกทึบ ฝั่งตรงข้ามมีต้นมะพร้าวใหญ่ขึ้นโดดเด่น...มองผ่านไปเห็นทิวไม้ไกลลิบทาง เบื้องหลัง เมฆหนาทึบเต็มท้องฟ้า บรรยากาศดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล

ตาต้อมเงยหน้าขึ้นมองแม่ ผู้กำลังย่นคิ้วสงสัยว่าลูกชายชี้ให้ดูอะไรกันแน่?

"เขาถ่ายหนังกันเหรอฮะแม่?"

เสียงถามนั้นทำให้ผมขยี้ผมลูกชายอย่างเอ็นดู

"ถ่ายหนังอะไรกันลูก พ่อไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา"

ใต้ ต้นมะพร้าวนั่นไงฮะ" ตาต้อมหันไปมองพลางชี้มือเล็กๆ ให้เราดู "เหมือนในหนังเรื่องบางระจันเลยฮะ...เหมือนหนังเรื่องพระนเรศวรด้วย! มีทหารไทยกับทหารพม่ายืนถือดาบกันทุกคนเลย"

"อะไรนะ..." แม่ตาต้อมคราง ผมเองก็อ้าปากค้างเมื่อแน่ใจว่าที่นั่นมีแต่ต้นมะพร้าวยืนโดดเด่นอยู่ท่าม กลางป่าละเมาะเปล่าเปลี่ยว...ไม่มีภาพของทหารไทยกับทหารพม่าอย่างที่ลูกชาย เห็น...ตาต้อมยกมือขึ้นโบกไปมาพลางหัวเราะชอบอกชอบใจ

"นั่นไงฮะ พ่อ ทหารพวกนั้นเขาหันมาโบกมือให้เราทุกคนเลย!"

ลมเย็นๆ พัดซ่ามาจากเหนือบึงเปลี่ยว ผมเห็นภรรยาหน้าซีดเผือด ตัวเองก็ขนลุกซู่ รู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออก รีบจูงมือลูกเมียเดินผ่านร้านค้าที่มีผู้คนหนาตา...แว่วเสียงตาต้อมร้องบอก พลางโบกมือให้ความว่างเปล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย

"ไปก่อนนะ หนังฉายเมื่อไหร่จะไปดู"

ผม เชื่อว่าตาต้อมมองเห็นภาพนั้นจริงๆ โดยที่พ่อแม่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่นึกถึงผู้ไม่มีร่างกายกำลังจ้องมองมาที่เราแล้ว...ขนหัวลุกครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEkyTURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB5Tmc9PQ==



Create Date : 26 สิงหาคม 2551
Last Update : 26 สิงหาคม 2551 19:14:43 น.
Counter : 644 Pageviews.

0 comment
คืนหนึ่งที่เกาะคา ขนหัวลุก ใบหนาด
คืนหนึ่งที่เกาะคา

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"เก๋" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลำปาง

ดิฉัน เป็นคนแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่ได้ชื่อว่าเหนือสุดในสยาม ครอบครัวเราเดิมอยู่เกาะคา จังหวัดลำปาง แต่พ่อแม่ย้ายมาอยู่แม่สายเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ดิฉันกับน้องชายก็เกิดและเติบโตที่แม่สายนี่เอง

พ่อแม่มักมีธุรกิจที่เชียงใหม่บ่อยๆ บางทีก็ไปเยี่ยมญาติที่เกาะคา มักมีพระเครื่ององค์เล็กๆ จากวัดพระธาตุลำปางหลวงมาฝากเราเป็นประจำ

แม่เล่าว่าจังหวัดลำปางเป็นเมืองเก่าแก่มากที่สุด คือมีอายุยาวนานถึง 1,300 ปี เดิมมีชื่อว่า เขลางค์นคร ส่วนชื่อสามัญก็คือ "ละกอน" หรือ "ละคร" มีชื่อเป็นทางการว่า "นครลำปาง" ต่อมาจึงได้กลายมาเป็นจังหวัดลำปางทุกวันนี้

ที่ดิฉันจดจำได้ขึ้นใจเพราะเป็นถิ่นเดิมของพวกเรา ดิฉันและน้องชายมาโดนผีหลอกแทบตายที่ลำปางนี่เองค่ะ!

เรื่อง ของเรื่องก็คือญาติผู้ใหญ่ของเราเสียชีวิตด้วยโรคชรา แม่เรียกติดปากว่าอุ๊ยศรีหรือยายศรี พวกเรายกครอบครัวไปทั้งหมด โดยมีญาติห่างๆ ที่ไว้ใจได้เป็นคนเฝ้าบ้าน..พ่อขับรถไปถึงเกาะคาราวสองทุ่มเศษ..บ้านที่เรา ไปพักเป็นบ้านยายศรีค่ะ มีลูกชายที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของแม่อยู่คนเดียวเท่านั้นเอง

ญาติพี่น้องมากหน้าหลายตาจนจดจำไม่ไหว บ้านช่องล้วนอยู่ติดๆ กัน พอเห็นพวกเราก็ดีใจ ลูบหลังลูบไหล่ พูดจาชมเชยต่างๆ นานา ตอนนั้นดิฉันอายุราว 12-13 ปี ส่วนน้องชายอายุน้อยกว่า 2 ปี

ศพยายศรีตั้งอยู่ที่วัดตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว พ่อแม่บอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันเผา เราจะได้พบญาติคนอื่นๆ ด้วย ถ้าไม่มีอะไรก็คิดว่าเผาเสร็จจะกลับแม่สายเลย

เหตุสยองเกิดขึ้นในคืนนั้นเอง!

บ้านยายศรีเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง ชั้นบนมีสองห้องนอน ส่วนชั้นล่างราดปูน มีโต๊ะใหญ่อยู่หน้าห้องครัวและห้องน้ำ ..ด้านหน้ามีเตียงไม้เตี้ยๆ คล้ายกับบ้านในชนบททั่วไป สำหรับนั่งเล่น เอนหลังรับลม กินอาหาร รวมทั้งรับแขกก็ได้ค่ะ

ญาติๆ ทยอยกันกลับไป นัดหมายว่าจะได้พบกันวันรุ่งขึ้นที่วัดในตอนทำบุญเลี้ยงพระเพล..หลังจากนั้น ก็อาบน้ำอาบท่าแล้วก็ขึ้นนอนในห้องใหญ่ของยายศรีนั่นเอง

พ่อแม่นอนบนเตียง ส่วนดิฉันกับน้องนอนบนเสื่อข้างเตียง ไม่ช้าก็หลับผล็อยไป

ตกดึก ดิฉันตื่นมาในความเงียบสงัด ได้ยินเสียงยอดไม้คร่ำครวญกับสายลมน่าวังเวงใจ ดูเหมือนจะได้ยินเสียงน้ำค้างหยดลงบนหลังคาสังกะสีด้วย..มองออกไปนอก หน้าต่างก็เห็นแสงจันทร์ขาวนวล เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นใจยังไงบอกไม่ถูกค่ะ

"พี่..พี่เก๋..ตื่นเถอะ.." เสียงน้องชายนั่นเองที่ปลุกดิฉันขึ้นมา พอหันมองแกก็บอกเสียงอ่อยๆ "โก้ปวดท้องฉี่"

ถอนใจเฮือก จำเป็นต้องพาน้องลงไปชั้นล่าง..ข้างนอกแสง จันทร์อาบต้นลำไยที่ออกดอกสะพรั่ง เสียงหมาหอนมาจากที่ไกลๆ รับกันเป็นทอดๆ เหมือนพวกมันกำลังเยือกเย็นหัวใจเต็มประดา

ดิฉันเปิดไฟให้ น้องชายเข้าห้องน้ำไปแล้ว ส่วนดิฉันยืนรอ หมุนไปหมุนมา..นึกอยู่ว่าถ้าน้องชายออกมาก็จะเข้าไปทำธุระบ้าง จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นมาก่อนสว่าง

ขณะนั้นเองที่ดิฉันหันไปเห็นหญิงชราคนนั้นเขาพอดี!

วินาที แรกที่เห็นร่างนั้นนั่งอยู่บนเตียงเตี้ยๆ ดิฉันรู้สึกเย็นวูบที่ต้นคอ แล่นวาบไปตามไขสันหลัง ม่านตาพร่าพราย หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ทั้งๆ คุณยายร่างท้วมผิวขาวก็ดูเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ

ผมสีเทารวบตึงไปเกล้ามวยที่ท้ายทอย ใบหน้ากว้าง แก้มย้อย ปากบางๆ เผยอยิ้มอย่างใจดี สวมเสื้อสีเทาดำแบะอก เห็นเสื้อตัวในสีขาว กำลังนั่งยองๆ เคี้ยวอะไรช้าๆ คิดว่าคงจะเป็นใบเมี่ยงที่พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยทางภาคเหนือนิยมกันนั่นเอง

ประตูเปิดกว้าง น้องชายโผล่ออกมารูดซิปกางเกง หันไปเห็นคุณยายแปลกหน้าคนนั้นก็ถามว่า ใครน่ะพี่เก๋? ดิฉันพูดอะไรไม่ออก นอกจากส่ายหน้า กลืนน้ำลาย..ผู้คนที่ไหนจะมานั่งเคี้ยวเมี่ยงตอนดึกดื่นค่อนคืนล่ะคะ?

"ไหว้อุ๊ยซะโก้" ดิฉันบอกเสียงสั่นๆ แล้วยกมือไหว้คุณยายผู้นั้นพร้อมกัน ก่อนจะฉุดมือน้องชายเดินอ้าวขึ้นบันได ไม่กล้าเหลียวหลังไปมองอีกเลย..ห้องน้ำน่ะลืมไปเลยค่ะ

วันรุ่งขึ้นจึงได้มองเห็นภาพถ่ายคุณยายผู้นั้นที่ข้างฝา..คงไม่ต้องบอกนะคะว่าเป็นอุ๊ยศรีที่เรามางานศพท่านนั่นเองค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEkxTURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB5TlE9PQ==



Create Date : 25 สิงหาคม 2551
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 19:58:41 น.
Counter : 2155 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend