ห้องสยองขวัญ
ห้องสยองขวัญ

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"แมร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องผีสิง

บ้านของหนูอยู่ปราณบุรี แต่หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏได้ที่กรุงเทพฯ แม่ฝากให้หนูอยู่ที่บ้านผู้มีพระคุณ...คือนายเก่าของแม่น่ะค่ะ ทีแรกแม่จะหาหอพักให้หนูอยู่ แต่เผอิญคุณป้าเรวดีท่านนี้ทราบเข้า เลยบอกว่าที่บ้านท่านมีห้องว่างอยู่พอดี

ท่านอยากให้หนูไปพักอาศัยในระหว่างเรียนที่กรุงเทพฯ จะได้ไม่เปลืองค่าใช้จ่าย

ห้องที่ว่านี้สวยนะคะ ไม่ใช่ไม่สวย เดิมเป็นห้องของหลานสาวของคุณป้าเรวดี แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว

"ไปไหนคะ?" หนูหลุดปากถามกับคุณป้าผู้ใจดี

"ไปอยู่เมืองนอกจ้ะ" ท่านตอบเรียบๆ ซึ่งหนูก็ไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อย

บ้านคุณป้าเรวดีอยู่สบายมาก เป็นบ้านเก่าแก่สองชั้น ท่านอยู่กับหลานสองคนเองค่ะ นอกนั้นเป็นคนรับใช้ คุณป้าเล่าว่าเมื่อหลานไม่อยู่...ท่านใช้คำว่า "ไม่อยู่" นะคะ หนูขอย้ำตรงนี้เพราะมีความหมายมาก...

เมื่อหลานไม่อยู่ คุณป้าก็เหลือตัวคนเดียวจริงๆ ท่านเหงามากเพราะบ้านทั้งหลังต้องนอนคนเดียวในห้องหนึ่ง ส่วนพวกสาวใช้ก็มีเรือนพักอยู่ต่างหาก

คุณป้าให้กุญแจบ้านและกุญแจห้องไว้กับหนู ซึ่งหนูต้องไม่ทำหายเป็นอันขาด! หนูจะกลับค่ำก็ได้ ท่านไม่ว่า ขอให้โทรศัพท์มารายงานว่าจะกลับเมื่อไหร่ และไขประตูบ้านเข้ามาเอง...หนูรู้สึกเหมือนเป็นหลานท่านจริงๆ

เคยถามคุณป้าว่าหลานชื่ออะไร? คำตอบคือ "ชลลดา" เพราะมากนะคะ!

ที่หนูอยากรู้และอยากให้ท่านเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง ก็เพราะหนูมาขออาศัยอยู่ในห้องของเธอไงคะ...และหนูก็ทราบว่า "คุณชล" อายุเท่าหนูเป๊ะเลย! เธอเป็นลูกของลูกสาวคุณป้า ซึ่งมีร้านอาหารไทยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น คุณป้าเรวดีเลี้ยงคุณชลลดามาตั้งแต่เกิด ท่านรักของท่านมาก

ห้องคุณชลลดาทาสีชมพูอ่อน คุณป้าเคยพูดตลกๆ ว่า

"รู้มั้ยห้องสีชมพูน่ะยุงไม่กัด ยุงมันกลัวสีชมพู"

ในห้องนี้มีรูปของคุณชลลดาด้วยค่ะ เธอสวยเชียวละ หนูตั้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่ได้เก็บลงลิ้นชัก เพราะหนูมาคิดว่าตัวเองแค่มาขออาศัย ห้องนี้น่ะของคุณชลลดา! หนูต้องเคารพสถานที่ จริงไหมคะ?

แต่มันไม่แค่นั้นซีคะ หนูแปลกใจสายตาของตัวเองเวลาส่องกระจก สายตาหนูเพี้ยนไป หรือกระจกมันหลอกก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาของหนูแปลกๆ ไป ไม่เหมือนตัวหนูเองเลย!

พออยู่ได้ครบสัปดาห์ ความฝันก็เริ่มน่ากลัวขึ้น...

คืนหนึ่ง ขณะที่รู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มีผู้หญิงมานั่งข้างเตียง เธอเอียงคอมองมาแบบยิ้มๆ ตอนนั้นหนูรู้สึกเปลี้ยๆ แขนขาอ่อนแรงไปหมด แต่ก็พยายามเพ่งให้ชัดๆ และเห็นถนัดตาว่าเธอคือคุณชลลดานั่นเอง!

ใจหนึ่งหนูคิดว่า...เอ๊ะ! เธอกลับมาแล้วเรอะ ถึงได้มานั่งตรงนี้? แต่อีกใจก็เริ่มหวาดๆ มันเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ คือ...มันชักยังไงๆ แล้วซิ! คุณชลลดาบอกว่าหนูน่ารัก และพูดต่ออย่างน่าขนลุกว่า "ไปอยู่ด้วยกันมั้ย?"

ทันใดนั้นเอง ประโยคนี้ทำให้หนูนึกได้ว่า เธอต้องไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ เธอถามหนูแบบนี้ได้ไง?

โดยฉับพลัน หน้าของเธอเปลี่ยนไป...จากสาวสวยกลายเป็นใบหน้าของคนตาย...มันซีด แห้ง ปากดำ อ้าปากหวอ...ดวงตาลืมค้างแต่ไร้แวว!

หนูร้องกรี๊ดแล้วสะบัดหลุดจากอาการหนักๆ ไปทั้งร่างคล้ายผีอำ ทันที่ขยับแขนได้ หนูก็รีบเปิดไฟหัวเตียง...อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซู่ ห้องทั้งห้องดูหลอนมาก หนูรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนี้ด้วย!!

ใครจะนอนต่อล่ะคะ? หนูถลันออกจากห้องลงไปที่เรือนคนใช้ ไปเคาะประตูพี่สมใจ เธอเปิดรับหนูแล้วพูดว่า "โดนแล้วสิ?!"

หนูไม่โกรธคุณป้าเรวดีหรอกค่ะ สงสารท่านด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องขอกราบลาไปหาหอพักราคาไม่แพงนักดีกว่า...

หนูเข้าใจว่าท่านเหงา และอยากให้หนูไปเป็นตัวแทนหลานท่าน...

แหม! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ คนตายแล้วชวนไปอยู่ด้วย มันน่ากลัวน้อยอยู่เรอะคะนั่น! ถึงยังไงทุกวันนี้หนูก็ยังไปเยี่ยมคุณป้าเรวดีเสมอค่ะ เพียงแต่ไม่ย่างกรายไปที่ห้องนั้น...แม้แต่จะเงยหน้ามองขึ้นไปที่หน้าต่างยังไม่กล้าเลยค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEEwTURZMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOaTB3TkE9PQ==



Create Date : 04 มิถุนายน 2551
Last Update : 4 มิถุนายน 2551 21:00:21 น.
Counter : 765 Pageviews.

0 comment
หนูผี!
หนูผี!

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"หลานออม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณพเนจร

"ออม! คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนยายนะ...ยายกลัว!"

คุณยายบอกกับผมอย่างน่าสงสาร สิ่งที่คุณยายกลัวก็คือเสียงประหลาดคล้ายตัวอะไรมาวิ่งหนักๆ อยู่ในห้อง มันหลอนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องนอนมืดๆ อยู่คนเดียว

บ้านผมมีเนื้อที่เกือบสองไร่อยู่แถวบางนานี่เอง...ในอาณาจักรเล็กๆ ของเรานี้มีคฤหาสน์ใหญ่ของคุณตาคุณยาย แม่กับน้าๆ ของผมก็เติบโตที่นี่ สมัยก่อนน่ะผู้คนคึกคักไปทั้งบ้าน ทั้งนายทั้งบ่าว แต่ตอนนี้น้าๆ แต่งงานแยกกันไปหมดแล้ว เหลือแต่น้าแก้วที่นอนห้องเดียวกับคุณยาย สวนคุณตาอยู่อีกปีกหนึ่งของตัวตึก ไกลจากห้องคุณยายเอาการอยู่

แม่ผมเมื่อแต่งงานก็ไม่ได้ย้ายไปไหน แต่ปลูกเรือนเล็กๆ ชั้นเดียวอยู่กับสี่คนพ่อแม่ลูก คือตัวผมกับน้องชาย เรือนของเราห่างจากตัวตึกใหญ่พอสมควร

ทุกคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ น้าแก้วจะไปหัวหินเพื่อดูกิจการรีสอร์ตของเราที่นั่น คุณยายก็จะนอนตามลำพัง ดูๆ แล้วก็เวิ้งว้างเหมือนกันเพราะปิดไฟมืดตึ๊ดตื๋อทั้งตึก บางคืนผมมองขึ้นไปแล้วใจหาย อดสงสารคุณยายไม่ได้ว่าคงจะเหงามาก

บางคืนผมนึกอยากจะไปนอนเป็นเพื่อน แต่พวกผมน่ะนอนดึกครับ บางทีตี 3 ตี 4 แน่ะ เพราะเวลาหยุดเทอมหรือวันหยุดสัปดาห์ ผมชอบบรรยากาศกลางคืนมาก ผมกับน้องจะไม่นอน แต่ออกมานั่งเล่นกีตาร์ ฟังเรื่องผีจากรายการพี่ป๋อง หรือนั่งฟังเพลงอย่างได้อารมณ์ก็เลยปล่อยให้คุณยายนอนคนเดียว...แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ผมทำหน้าที่ยามเฝ้าบ้านอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านนี่เอง!

มีอะไรอย่างหนึ่งในบ้านซึ่งเกิดเป็นประจำทุกคืน จนเรามองเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมว่าบ้านของคุณผู้อ่านก็คงมีเหมือนกัน นั่นคือเสียงวิ่งบนหลังคา หรือฝนฝ้าเพดาน มันคงเป็นหนูหรือกระรอก หรืออาจจะเป็นอีเหมียวด้วยซ้ำ

...บางทีมันวิ่งไล่กันตึงๆ เหมือนฟ้าจะถล่ม ฟังแล้วเสียวไส้จริงๆ

เคยมีอยู่คืนหนึ่งที่ผมอยู่ตามลำพัง เพราะพ่อแม่กับน้องชายไปต่างจังหวัด ผมนอนฟังเสียงไล่โครมครามไปทั้งผืนฝ้าเพดานแล้วก็นึกขนลุก แต่ก็ไม่มีอะไร

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง คุณยายมาเล่าว่า คุณตานั่งดูทีวีในห้องคุณยายตอนกลางวัน และได้ยินเสียงประหลาด พอคุณยายกลับจากข้างนอก คุณตาก็บอกว่าในห้องนอนคุณยายมีอะไรแปลกๆ ทีแรกคุณยายไม่เชื่อ คืนนั้นเป็นคืนวันศุกร์ที่ต้องนอนคนเดียว ปรากฏว่าคุณยายโดนเต็มๆ เลยครับ

ทีแรกมันวิ่งบนหลังคาเกรียวกราว แต่จู่ๆ มันก็ย้ายมาวิ่งกันข้างล่าง คือภายในห้องนอน รอบๆ เตียงคุณยายเลยทีเดียว!

ผมฟังแล้วโมโหเลยละครับ มีอย่างที่ไหน มาหลอกคุณยายผมได้ เลยปลอบท่านว่าไม่มีอะไรหรอก หนูเท่านั้นน่ะ! ผมโกรธจริงๆ ด้วย นี่บ้านผมนะ คุณตาคุณยายอยู่กันมาเป็นสิบๆ ปีไม่เคยมีอะไร ผีสางไม่เคยปรากฏ นี่มาจากไหนเนี่ย...มาระรานเราได้ไง?

คืนวันเสาร์ ผมให้คุณยายมานอนห้องผม ตัวผมเองขึ้นไปนอนห้องคุณยายสลับกัน ทีแรกคุณยายไม่ยอมเพราะห่วงผม กลัวหลานจะโดนผีหลอก! แต่ผมบอกว่าไม่ต้องห่วง ผมคิดว่ามันเป็นหนู จะจับมันให้ได้จริงๆ ว่าแล้วก็เอากรงดักหนูขึ้นไปด้วย!

บรรยากาศบนห้องคุณยายนั้น ปกติแล้วอบอุ่นน่าสบายมาก แต่คืนวันเสาร์นั่นผมขนลุกพิกลๆ

หลังจากดูรายการเอเอฟจบ ราวสองยามกว่าๆ ผมก็ปิดทีวี ปิดไฟ นอนลืมตาอยู่บนเตียง ห้องมืดสลัวเพราะมีแสงไฟข้างนอกผ่านหน้าต่างเข้ามา แอร์เย็นฉ่ำ สรรพสิ่งเงียบสงบ...แต่แล้วก็มีเสียงคนย่ำเท้าไปมาบนฝ้าเพดาน

เออ...จริงนะ ผมขนหัวลุก...มันไม่เหมือนเสียงหนูสักหน่อย มันเป็นเสียงคนเดินหนักๆ สักพักมันก็เริ่มวิ่ง เพดานดังตึงๆ แล้วก็เงียบ เดี๋ยวก็วิ่งอีก...

แค่ไม่ถึงอึดใจ เสียงนั้นก็ลงมาดังข้างล่าง คือในห้องผมนี่แหละ!

แปลกมาก...ห้องที่มีแสงสลัวกลับมืดลง มืดสนิทเหมือนเราเข้าถ้ำน่ะครับ แล้วก็มีเสียงกระทืบเท้าดังมากๆ อยู่หลังโต๊ะที่ตั้งทีวี ห่างจากผมราว 5-6 ก้าวเท่านั้นเอง

ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรง ปกติผมกลัวผี แต่ตอนนี้บอกแล้วว่าโกรธมาก มันเรื่องอะไร? บ้านผมแท้ๆ ทำมายุ่ง บุกรุกอย่างนี้ได้ไง...มันไม่ถูกต้องจริงไหมครับ? ผมตวาดว่า "หยุดนะ! มาทางไหนไปทางนั้นเลย ผีก็อยู่ส่วนผี นี่มันบ้านเรา เข้ามาไม่ได้ ออกไปเดี๋ยวนี้"

เชื่อไหมครับ? ห้องสว่างขึ้นเหมือนเดิม เออ...มันกลัวผมแน่ะ! ผมรู้สึกได้เลยว่ามันไปแล้ว ไม่มีอะไรอยู่ในห้องอีก ผมสำทับเสียงเขียวว่า "อย่ามาอีกนะ!"

รุ่งขึ้น ผมบอกคุณยายว่าจับหนูได้แล้ว ผมไม่บอกหรอกครับว่ามันเป็นผี ...จากวันนั้นมาถึงวันนี้เกือบ 7 วันแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลยครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEF6TURZMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOaTB3TXc9PQ==



Create Date : 03 มิถุนายน 2551
Last Update : 3 มิถุนายน 2551 20:37:23 น.
Counter : 812 Pageviews.

0 comment
ทาสยมทูต
ทาสยมทูต

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"บานชื่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพื่อนบ้าน

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสูบบุหรี่ ดิฉันสังเกตว่าพวกผู้ชายไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ใครๆ ก็สูบกัน เขาเองก็เคยสูบบุหรี่มาก่อน ทุกวันนี้บางคนเลิกได้แต่อีกหลายๆคนยังสูบอยู่...ดิฉันเองนอกจากจะไม่สูบแล้วยังรังเกียจมากๆ อีกด้วย

ไม่ใช่มีอคติอะไรหรอก แต่เราเหม็นกลิ่นควันมากกว่าจะคิดถึงเรื่องสุขภาพ เพราะสมัยก่อนไม่ค่อยมีการต่อต้าน โดยเฉพาะการห้ามสูบบุหรี่ตามที่สาธารณะอย่างเป็นการเป็นงาน และเอาจริงเอาจังเหมือนสมัยนี้

จะทำยังไงได้ล่ะคะ? ถึงจะเหม็นแสนเหม็นก็ต้องทนเอา!

ไม่รู้ว่าจะสูบไปหาสวรรค์วิมานอะไร! ทำให้นิ้วเหลือง ปากเขียว ฟันดำเขรอะ ลมหายใจเหม็น ตามเสื้อผ้าก็สกปรกด้วยเถ้าบุหรี่ แถมเสียเงินเสียทองอีกต่างหาก

ที่สำคัญมากๆ ก็คือบุหรี่ทำให้เกิดโรคสารพัด ทั้งมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปาก ลิ้น กระเพาะอาหารลำไส้และผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบ อาจจะทำให้หัวใจวายง่ายๆ โรคสะเก็ดเงินที่เคยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรังแค โรคภูมิแพ้ต่างๆ ก็มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการสูบบุหรี่นี่แหละค่ะ

คนติดบุหรี่ส่วนมากบอกว่าอยากเลิกสูบ ขนาดเคี้ยวหมากฝรั่ง ดื่มน้ำมากๆ งดน้ำ ชากาแฟ อาบน้ำบ่อยๆ ไม่กินอาหารรสจัด หลายๆ คนเคยใจแข็งเลิกเสพควันพิษได้ระยะหนึ่ง แต่แล้วก็กลับไปหามันอีกเพราะแพ้ใจตัวเอง!

บ้างก็คิดง่ายๆ ว่าเคยเลิกได้แล้ว จะขอสูบสักมวนสองมวนเพื่อให้รางวัลตัวเองแล้วก็ไม่สูบอีก หรือจะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้...แต่ของจริงน่ะ การกลับไปสูบมวนเดียวก็เท่ากับเริ่มต้นใหม่ กลายเป็นทาสของมันต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด

การรณรงค์ที่เข้มข้นขึ้นได้ข่าวว่าประสบความสำเร็จน่าชื่นใจค่ะ

ปีก่อนมีผู้ชายสูบบุหรี่ถึง 56 เปอร์เซ็นต์ แต่ปีกลายลดเหลือ 37 เปอร์เซ็นต์ น่าหนักใจตรงที่เด็กๆ อายุ 14-15 หันไปติดบุหรี่กันมากขึ้นพอๆ กับเยาวชนอายุ 17-24 ปี คือเอาอย่างผู้ใหญ่เพราะคิดว่าเท่...ไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่ที่เห็นน่ะเขาอยากเลิกสูบบุหรี่แค่ไหน?

เพราะพิษภัยของบุหรี่นี่เองที่ทำให้ดิฉันประสบกับเรื่องขนหัวลุกเต็มเปา!

ครอบครัวดิฉันไม่มีใครสูบบุหรี่ ทั้งพ่อแม่ สามีและลูกชายวัยรุ่น บอกตรงๆ ว่า ดิฉันซีเรียสเรื่องนี้มากๆ ค่ะ

พี่ไพสันต์ - คนข้างบ้านติดบุหรี่งอมแงมขนาดสูบวันละ 2 ซอง แม้ว่าจะทำงานมีรายได้สูงก็จริง แต่พี่ปุ้ยผู้ภรรยาเคยมาปรับทุกข์กับดิฉันว่า ค่าบุหรี่ของสามีตกเดือนละสามพันกว่าบาท แต่ยังไม่ร้ายเท่ากับนำควันนรกมาใส่บ้านของตัวเอง!

สังเกตว่าพี่ไพสันต์มักจะกระแอมกระไอ ได้ยินเสียงขากข้ามรั้วมาบ่อยๆ หน้าซีด ผิวกร้าน ดูแก่ก่อนวัย เดินหลังค่อมนิดๆ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นคนผอมมากหรืออ่อนแอขี้โรคกันแน่

พี่ปุ้ยเล่าว่าสามีอยากเลิกสูบมาเป็นปีแล้ว พยายามลดลงจากวันละ 3 ซองลงมาเรื่อยๆ เคยอดได้ไม่กี่วันก็กลับไปสูบอีก เพราะกลายเป็นคนหงุดหงิด เจ้าอารมณ์ โมโหง่ายด้วย เรื่องไม่เป็นเรื่อง รูทั้งรู้ว่าเพราะพิษสงของนิโคตินแท้ๆ แต่ก็แพ้ใจตัวเองจนหันกลับไปสูบมันอีก

สงสารสามีก็สงสาร แต่ไม่รู้จะห้ามปรามยังไง ได้แต่ขอร้องว่าอย่าสูบในบ้าน เพราะลูกเมียจะได้รับพิษร้ายจากควันนรกไปด้วย ยังดีที่พี่ไพสันต์ไม่ดื้อรั้น อยากบุหรี่เต็มทนก็ออกไปสูบนอกบ้าน...

ในที่สุดก็ล้มป่วยด้วยหลอดเลือดหัวใจตีบ!

เพื่อนบ้านได้ข่าวว่าอาการหนัก แพทย์ต้องผ่าตัดทำบายพาส...แต่ยังไม่มีใครไปเยี่ยมเพราะพี่ปุ้ยขอร้องไว้ ได้แต่เล่าอาการว่าเหนื่อยง่ายจนเป็นลมบ่อยๆ แพทย์เทสต์ดูด้วยการให้วิ่งสายพาน แล้วฉีดสีเข้าเส้นเลือดหัวใจจนพบการอุดตันถึง 3 เส้น เกินกว่าจะรักษาด้วยวิธีบอลฃูนได้...ต้องนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 7 วัน

เย็นวันเสาร์นั้น ดิฉันกำลังเดินดูต้นไม้ในกระถางที่สนามและข้างรั้ว ท้องฟ้าหนักอึ้งด้วยเมฆฝน ลมพัดค่อนข้างแรง...ไม่รู้นึกยังไงทำให้หันไปมองทงบ้านพี่ไพสันต์ เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินเสียงขาก...เสียงกระแอม...แล้วกลิ่นควันบุหรี่เหม็น ก็ลอยตามลมมาเข้าจมูก

...เบือนหน้าหนีพลางย่นจมูก พริบตานั้นเองก็นึกได้..พี่ไพสันต์กลับบ้านมาแล้ว! แต่ยังสูบบุหรี่อีกหรือนี่? คนอะไรไม่รักตัวเอง...แจ็บแล้วไม่รู้จักจำ!

ถือโอกาสไปเยี่ยมเลยดีกว่า...เมื่อเดินเข้าบ้านนั้นก็เอะใจที่พบแต่ความเงียบเชียบ พอดีแม่บ้านชื่อป้าไหมโผล่ออกมา บอกว่าพี่ปุ้ยกับลูกๆ ไปเยี่ยมพี่ไพสันต์ยังไม่กลับ! เล่นเอาดิฉันยืนตะลึงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

เสียงขาก...เสียงกระแอมเมื่อตะกี้ของพี่ไพสันต์แน่ๆ ดิฉันได้ยินมาเป็นปีๆ แล้ว ไม่มีทางจะหูแว่วไปเองแน่ๆ แต่เขายังอยู่ที่โรงพยาบาล...เป็นไปได้ยังไงกัน?

พี่ปุ้ยกับลูกๆ กลับบ้านตอนค่ำ ปรากฏว่าพี่ไพสันต์ปลอดภัยค่ะ เสียงที่ดิฉันได้ยินอาจจะเป็นเจตภูตคนเป็นก็ได้...แต่ท่านที่ยังไม่เลิกสูบบุหรี่อาจจะไม่โชคดีเหมือนพี่ไพสันต์นะคะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEF5TURZMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOaTB3TWc9PQ==



Create Date : 02 มิถุนายน 2551
Last Update : 2 มิถุนายน 2551 21:17:17 น.
Counter : 759 Pageviews.

0 comment
ควันมฤตยู
ควันมฤตยู

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"แพร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเหยื่อควันพิษ

"เยาวชนรุ่นใหม่ต้านภัยบุหรี่!"

นั่นคือคำขวัญขององค์การอนามัยโลก ที่ดิฉันได้ยินทางวิทยุ และทีวีบ่อยๆ เนื่องใน "วันงดสูบบุหรี่โลก" ประจำปีนี้ บ้านเราก็มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่กันทุกรูปแบบ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีและควรจะสนับสนุนกันมากๆ ค่ะ

บุหรี่ไม่มีอะไรดีเลย นอกจากพิษร้ายแรงล้วนๆ ไม่ว่าใครก็ทราบดี แต่ทำไมจึงยอมเสียเงินเสียทองไปหาซื้อควันพิษมาใส่ตัวเองก็ไม่ทราบ

ถ้าเป็นอันตรายกับพวกขี้ยาเท่านั้นก็ยังดี แต่พิษสงของบุหรี่ทำให้คนใกล้เคียงต้องเดือดร้อน รับเคราะห์ไปด้วยน่ะซีคะ เช่นพ่อบ้านสูบบุหรี่ ขี้ยาที่เดินสูบตามข้างถนนหรือยืนสูบหน้าตาเฉยที่ป้ายรถเมล์ ใครมองแล้วเบือนหน้าหนี หรือแม้แต่ยกมือปัดควันพิษไม่ให้เข้าจมูกคนพวกนี้ก็กลับทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้

ไม่ทราบว่ามีจิตสำนึกของคนปกติหรือเปล่าคะ?!

ดิฉันได้ข่าวว่าการเผยแพร่พิษร้ายของบุหรี่ ทำให้คนไทยที่ตกเป็นทาสมันได้ฉุกคิดเลิกเสียเงินซื้อความตายผ่อนส่งมาใส่ตัวได้ราวปีละสองแสนคน แต่น่าเสียใจที่มีคนรุ่นใหม่ริอ่านติดบุหรี่ถึงปีละสองแสนห้าหมื่นคนแน่ะค่ะ

ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น หลงผิดว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งโก้เก๋ คาบบุหรี่แล้วดูเท่มาก!

เท่าที่ทราบ ผู้ที่ติดบุหรี่แต่อยากเลิกสูบมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่ถอนตัวไม่สำเร็จเพราะแพ้ใจตัวเอง ถ้ายอมรับความหงุดหงิด ไม่สบายใจในช่วงวันแรกๆ ได้แล้ว ก็คงจะไม่หันไปหาเจ้าบุหรี่ตัวนิดๆ แต่อันตรายใหญ่หลวงได้สำเร็จ

สามีดิฉันเคยติดบุหรี่งอมแงมขนาดตื่นมาต้องคว้าบุหรี่ เข้าห้องน้ำก็ต้องสูบ กินอาหารเสร็จก็ต้องสูบ ยิ่งดื่มเหล้า เบียร์ หรือแม้แต่กาแฟก็ต้องมีบุหรี่อยู่ใกล้มือตลอด...ตอนที่ตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ สามีใช้วิธี "หักดิบ" ค่ะ!

ไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากหยิบบุหรี่ ไลเตอร์ และที่เขี่ยบุหรี่โยนลงถังขยะทั้งหมด แล้วลืมไปเลยว่าโลกนี้มีบุหรี่!

เอาชนะใจตัวเองด้วยเรื่องแค่นี้ไม่สำเร็จ จะไปเอาชนะใครหรืออะไรได้เล่าคะ?

ญาติผู้ใหญ่และเพื่อนๆ รุ่นพี่ของดิฉันล้มตายเพราะพิษสงของบุหรี่หลายคนแล้วล่ะค่ะ เป็นมะเร็งปอด หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย ฯลฯ ส่วนที่ยังนอนแซ่วอยู่โรงพยาบาลและที่บ้านด้วยโรคถุงลมโป่งพองก็มี...ไปเยี่ยมแล้วเห็นภาพที่นอนแซ่ว รอคอยความตายอย่างทนทุกข์ทรมาน...รู้สึกหดหู่เกินจะบรรยาย ได้ค่ะ

แม้จะพูดไม่ได้ แต่สายตาเศร้าๆ ที่มองมา บ่งบอกว่าเสียใจและขอโทษลูกเมียที่เขาก่อกรรมขึ้นโดยไม่เจตนา...

ญาติมิตรที่ตายไปอย่างทุรนทุราย วิญญาณไม่มีวังสงบหรือไปสู่สุคติได้เด็ดขาด! บางรายก็มาเข้าฝัน ร้องห่มร้องไห้ขออภัยที่ต้องจากลูกเมียไปก่อนเวลาอันควร บางรายก็มาสะอึกสะอื้นคร่ำครวญในยามราตรี ทำให้สะดุ้งผวาไปตามๆ กัน

ดิฉันเคยประสบกับตัวเองเมื่อน้องสะใภ้ชื่อจิตราต้องตายจากไปเพราะควันบุหรี่

จิตราไม่ได้สูบเองหรอกค่ะ แต่เธอเปิดร้านอาหารที่มีดนตรีย่านซอยอารีย์ มีทั้งโต๊ะที่สนามและทั้งห้องแอร์ด้านใน...เมื่อราวสิบปีก่อน ยังไม่มีการเข้มงวดเรื่องห้ามสูบบุหรี่ ลูกค้าที่เป็นคอสุราและเบียร์ก็พ่นควันโขมงแทบทุกโต๊ะ

น้องชายดิฉันไม่สูบบุหรี่ แต่จิตราได้รับควันพิษแทบจะทั้งวันทั้งคืนก็ว่าได้ เธอเคยบ่นตอนแรกๆ ต่อมาก็คงชิน...จนกระทั่งซูบผอม ซีดเซียว ไอแห้งๆ มีเลือดปนเสมหะ...เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษาตัวอยู่ได้ราวสองเดือนก็เสียชีวิต

วิญญาณจิตราคงไม่ยอมรับรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว เลยกลับไปที่ร้านอาหารของเธอ!

ระหว่างนั้นมีน้าแหวน-ญาติห่างๆ มาคอยดูแลร้านแทน จนกระทั่งเสร็จงานศพจิตรา น้าแหวนก็รับอาสาจัดการเรื่องร้านให้ น้องชายดิฉันมีลูกคนเดียว บอกว่าหมดกะจิตกะใจจะทำร้านต่อแล้ว ปล่อยให้น้าแหวนดูแลทั้งหมด...เรื่องเงินทองไว้ใจได้ค่ะ

เรื่องน่าขนลุกเกิดขึ้นเมื่อเผาจิตราได้ไม่กี่วัน เพื่อนบ้านก็เห็นจิตราเดินเข้าเดินออกที่ร้าน แม้แต่พนักงานเก่าๆ ก็เห็นผู้หญิงเดินวับๆ แวมๆ แถวห้องครัวบ้าง แถวโต๊ะในห้องแอร์บ้าง...ที่ร้ายกว่านั้นก็คือไปรับแขกที่โต๊ะสนามด้วย!

ความสยองรุนแรงเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ใกล้จะปิดร้านแล้ว น้าแหวนกำลังนั่งเช็กบิลลูกค้าอยู่หลังเคาน์เตอร์ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิตราผลักประตูเดินยิ้มระรื่นเข้ามาหา!

แม้ว่าจะเป็นร่างที่มีเลือดเนื้อเหมือนคนธรรมดา แต่เมื่อรู้ดีว่านั่นคือผู้ที่ตายไปแล้ว น้าแหวนก็ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องกรี๊ดๆ จนคนในร้านนึกว่าไฟไหม้...วันรุ่งขึ้นก็ยอมแพ้ น้องชายเลยได้โอกาสปิดร้านตั้งแต่นั้น ต่อมาก็ไม่มีใครเห็นจิตราอีกเลยค่ะ

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVE13TURVMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB6TUE9PQ==



Create Date : 30 พฤษภาคม 2551
Last Update : 30 พฤษภาคม 2551 19:54:31 น.
Counter : 683 Pageviews.

0 comment
ทารกอสูร
ทารกอสูร

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"อนุพันธ์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเด็กปีศาจ

เรื่องน่ากลัวนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุได้ 13 ปี มีชีวิตที่สุขสมบูรณ์เพราะพ่อเป็นสถาปนิกที่มีฐานะมั่นคง ผมมีน้าแท้ๆ ชื่อน้าพน บ้านอยู่ในซอยเดียวกัน ห่างไปแค่ไม่กี่หลัง แต่ชีวิตความเป็นอยู่แทบจะตรงข้ามกับบ้านผมราวฟ้ากับดิน

น้าพนเป็นลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่งได้เงินเดือนไม่สูงนัก แต่ต้องใช้จ่ายมากมายเพราะน้าพนมีลูกๆ ถึง 4 คนแน่ะครับ...คนโตเพิ่งจะอยู่ ป.6 ส่วนคนเล็กกำลังจะเข้าอนุบาล 1

ชะตาชีวิตของคนเราก็เล่นตลกแปลกๆ นะคุณ ทีพ่อผมร่ำรวยมากๆ กลับมีลูกคนเดียว คือผมนี่แหละ ส่วนบ้านน้าพนจนแทบตาย มีลูกยังกับกระต่าย 4 คน ยังไม่พอ ลูกคนที่ 5 กำลังจะลืมตาดูโลกเร็วๆ นี้ คนที่เป็นห่วงเป็นใยและสงสารน้าพนมากที่สุดก็คือยายของผมเอง!

คุณยายอยู่บ้านเดียวกับผม ดูแลผมเวลาที่พ่อแม่ต้องออกไปทำงาน ท่านใจดี ทำอาหารอร่อยมาก แม่จะให้เงินเอาไว้จับจ่ายใช้สอย แต่คุณยายเก็บเงินไม่อยู่หรอกครับ...ไม่ใช่ว่าเอาไปฟุ่มเฟือยอะไร แต่เงินที่ได้มาน่ะ คุณยายเอาไปให้บ้านน้าพนซะเกือบหมด

ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่รู้เรื่องของผู้ใหญ่เท่าไรนัก แต่ก็ได้ยินแม่ต่อว่าต่อขานคุณยายที่หมดเปลืองไปกับครอบครัวน้าพน!

ที่จริงแม่ผมก็ดูแลน้องชายอยู่แล้วละครับ ไม่ใช่ว่าจะใจไม้ไส้ระกำซะที่ไหน แต่ก็ดูเหมือนน้าพนจะไม่พอซะที พอผมโตขึ้นถึงได้รู้ว่าปัญหาจริงๆ อยู่ที่น้าตุ๊ เมียน้าพนนั่นเอง! เธอไม่ได้ทำงาน อยู่กับบ้านเฉยๆ เพราะไม่ได้จ้างคนรับใช้ เธอเลี้ยงลูกเอง ทำงานบ้านเอง

ในความเป็นจริง น้าตุ๊เป็นผู้หญิงอวบขาว สวย ตาโต ช่างแต่งตัว แม้จะไม่ได้ออกไปไหนก็ตาม ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมบ้านนั้นกับคุณยาย ก็มักจะเห็นเธอนอนไขว่ห้างอ่านนิยายอย่างสบายอารมณ์ ลูกๆ ก็เล่นกันมอมแมม ไอ้ที่ไปโรงเรียนก็เดินไปเองกลับเอง ไม่เห็นเธอไปรับไปส่ง ส่วนกับข้าวกับปลาน่ะ คุณยายจัดปิ่นโตไปให้ทุกวัน

คิดแล้ววันๆ น้าตุ๊แทบไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว!

ท้องน้าตุ๊ใหญ่มาก และใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ในที่สุดก็ถึงกำหนดคลอด...

ลูกคนที่ 5 เป็นผู้หญิง ตัวใหญ่มาก น้าตุ๊เบ่งไม่ออก หมอต้องผ่าแต่ปรากฏว่าเด็กตายครับ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น คุณยายเล่าว่าศพเด็กน่ะตัวเขียว มีเลือดออกจากจมูกและปาก ตาลืมค้าง คออ่อนคอพับเหมือนกับว่ามันหักจนหมุนได้รอบ

เด็กตายไปแล้ว และไม่มีการสอบสวนว่าเพราะอะไร หรือใครต้องรับผิดชอบ...น้าตุ๊เสียใจนิดหน่อย ผมไม่เห็นเธอร้องไห้ฟูมฟายอะไรนัก กลับสบายดีด้วยซ้ำ เธออยู่โรงพยาบาลตั้งสัปดาห์ โดยมีแม่ผมออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แถมยังให้ลออ-เด็กรับใช้ของเราคนหนึ่งไปดูแลที่บ้านน้าพนด้วย

คราวนี้น้าตุ๊ยิ่งสบาย เป็นคุณนายชี้นิ้วไปเลยละครับ แต่ไม่กี่วันคนของเราก็เผ่นกลับ ไมใช่เพราะน้าตุ๊...แต่เพราะลูกที่ตายไปแล้วของน้าตุ๊ต่างหากล่ะ! ลออเล่าปากคอสั่นว่า ในบ้านที่มืดสลัวของน้าตุ๊น่ะ มีเสียงทารกลึกลับมาร้องอุแว้ๆ ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ

บ้านน้าตุ๊ปิดม่าน ปิดหน้าต่าง เพราะน้าตุ๊กลัวแดดจะส่องเข้าไปทำลายผิวของเธอ บ้านนั้นจึงมักอับชื้นเสมอๆ ยิ่งหลังคลอด แทนที่จะเปิดให้อากาศระบายถ่ายเท น้าตุ๊ยิ่งปิดทึบกว่าเดิมด้วยซ้ำ อ้างว่าเธอหนาวสะท้าน

เมื่อกลับมาอยู่บ้าน น้าตุ๊ก็โดนผีลูกตัวเองหลอกหลอนเช่นกัน...นอนหลับฝันหวานยามบ่ายอยู่ดีๆ เกิดมีเสียงทารกร้องครวญคราง ทีแรกเธอนึกว่าแมว แต่มันเป็นเสียงทารกจริงๆ มาร้องอยู่ทั้งวัน!

น้าตุ๊เองก็เริ่มกลัว รวมไปถึงลูกๆ ทั้ง 4 คนนั่นด้วย

ลูกพี่ลูกน้องของผมที่ชื่อพลอยเล่าว่า...คนทั้งบ้านแทบไม่ได้หลับได้นอนเลยเพราะเสียงร้องประหลาดนั่น เด็กทุกคนนั่งกอดกันกลมแม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืน! ส่วนพิม-ลูกคนเล็กสุดอายุ 3 ขวบกว่า พูดอย่างไร้เดียงสาว่าเห็นน้องคลานไปมาอยู่ทั่วบ้านและน้องที่ว่านี่มีขนาดตัวโตเท่าแม่แน่ะ!

ฟังแล้วผมขนหัวลุกเลยครับ ไม่กล้าไปบ้านนั้นอีก...บอกตรงๆ ว่า พอเข้าไปมันจะมีกลิ่นแปลกๆ น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

น้าตุ๊อาการหนักกว่าเพื่อน ทำท่าเหมือนคนประสาทเสีย สะดุ้งผวาง่าย...ไม่นานเธอก็ไม่สบาย เป็นไข้หนักโดยไม่ทราบสาเหตุ ต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาล อยู่ได้ 2 สัปดาห์ก็เสียชีวิต! คุณหมอบอกว่าติดเชื้อ แต่พวกเราพูดกันว่าลูกที่ตายมาเอาไป เพราะตั้งแต่นั้นบ้านก็สงบ ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกเลย

ทุกวันนี้ลูกๆ ของน้าพนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีอาชีพการงานมั่นคง น้าพนตายไปหลายปีแล้ว บ้านนั้นก็ขายและมีคนอื่นมาอยู่...เหลือไว้แต่ความหลังสุดสยองครับ

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEk1TURVMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB5T1E9PQ==



Create Date : 29 พฤษภาคม 2551
Last Update : 29 พฤษภาคม 2551 20:01:03 น.
Counter : 709 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend