โทรศัพท์ซอย 7
โทรศัพท์ซอย 7

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ธงเอก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโทรศัพท์สยอง

ผมเป็นสมาชิกในหมู่บ้านซีเมนต์ไทย ริมคลองประปานี่เองครับ

ถ้าใครนั่งรถผ่านแล้วมองเข้าไปแบบผาดๆ เผินๆ คงจะนึกว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ของจริงน่ะกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเชื่อ มีบ้านช่องห้องหอมากมายหลายร้อยหลังคาเรือนเชียวละครับ เผลอๆอาจจะถึงพันก็เป็นได้

ข้างในแบ่งแยกออกเป็นหลายสิบซอย เพราะตู้โทรศัพท์สาธารณะก็มีตั้งสิบกว่าตู้เข้าไปแล้ว เมื่อก่อนโทรศัพท์ยังเป็นของสูงสุดเอื้อมสำหรับชาวบ้านร้านช่องทั่วๆ ไป เขาเล่ากันว่าขอกันเป็นปียังไม่อยากจะได้ ต้องจ่ายพิเศษกันห้า-หกพันจนถึงหมื่นกว่าก็ยังมี กว่าจะได้โทรศัพท์มาใช้ซักเครื่องหนึ่งน่ะ

เดี๋ยวนี้แม่ค้าส้มตำหรือซาเล้งยังพกมือถือกันเกร่อ เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ เดินไปพูดโทรศัพท์ไป ใครเอามาแจกฟรีๆ ยังไม่อยากได้ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มน่ะซีครับ

วันดีคืนดีผมก็โดนผีหลอกเพราะโทรศัพท์ทำพิษเข้าให้!

สาเหตุเพราะผมใช้บริการแบบเติมเงิน ไม่อยากฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ ซื้อบัตรทีละสามร้อยบาทก็ใช้กันลืมเชียวละ

วันนั้นตรงกับวันเสาร์ เพื่อนฝูงฮัลโลกันเกรียวกราวเป็นพิเศษ ส่วนมากน่ะใช้มือถือกันแบบไร้สาระนะครับ เพราะเขาโปรโมชั่นกันเรื่องโทร.ถูกโทร.ฟรี ทำให้โทร.กันไม่ยั้ง อยู่ว่างๆ ก็กดหาเพื่อนซะงั้น เดี๋ยวคนนั้นกริ๊งมา เดี๋ยวเรากริ๊งไปหาคนนั้น บางคนก็เพิ่งเจอกันที่บริษัทเมื่อวานหยกๆ

คุยไปคุยมา...อ้าว? มีคนโทร.เข้ามาตอนเผลอไปกินข้าวมั่ง เข้าห้องน้ำมั่ง หรือดูทีวีเพลินๆ ก็ต้องโทร.กลับ ไม่อยากโดนต่อว่าทีหลังว่าทำไมไม่รับสาย หรือไม่โทร.กลับไป...

สรุปว่า เงินหมดครับ!

โทร.ไปหาใครไม่ได้ มือถือก็ไม่แตกต่างกับไม้ตีพริก ตอนนั้นสามทุ่มกว่าแล้ว คิดว่าพรุ่งนี้จะออกไปซื้อบัตรเติมเงินซะที ...แต่มีเพื่อนซี้กัน 2-3 คนโทร.มาแล้วไม่ได้รับสาย จะรอให้โทร.มาอีกทีก็ไม่โทร. แล้วจะทำยังไงดี?

หมุนไปหมุนมาก็นึกถึงโทรศัพท์สาธารณะขึ้นมาได้!

ตู้ใกล้ๆ บ้านก็ปากซอย 7 นี่เอง...หมู่บ้านผมเขาจัดซอยเป็นเลขคู่-เลขคี่ นะครับ ผมนุ่งกางเกงขาสั้น คว้าเสื้อยืดมาสวม หยิบเหรียญห้าติดมือมา 2 เหรียญ ลากรองเท้าแตะออกจากบ้าน...เจ้ากรรม! ลมแรงพัดอู้ๆ ฟ้ามืดครึ้ม ส่งเสียงครืนๆ มาแต่ไกล เป็นสัญญาณว่าพระพิรุณจะซัดจั๊กๆมาเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว

ผมสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ตู้โทรศัพท์ นึกภาวนาว่าขอให้โทร.ติดเร็วๆ จะได้บอกข่าวเรื่องมือถือเงินหมดให้รับรู้ อยากจ้อนักก็เชิญเป็นฝ่ายแจงแวงมาหาข้าพเจ้าละกัน

ผีสางๆ มีคนใช้โทรศัพท์อยู่พอดี!

ให้มันได้ยังงี้ซีน่า ผู้ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ นุ่งขาสั้น สวมทีเชิ้ตสีขาวเหมือนผม แต่เดาะหมวกแก๊ปด้วย...พอเหลือบมาเห็นผมเท่านั้นแหละ รีบหันหลังให้ทันที...พูดพลางหัวเราะพลางเหมือนจะชอบอกชอบใจก็แกล้งให้ผมยืนรอได้งั้นแหละเอ้า

ถอนใจเฮือกใหญ่ ว่าจะเคาะประตูเรียกก็ใช่ที่ เราเองก็ใช่ว่ามีธุระร้อนรนถึงกับคอขาดบาดตาย ...ข้อสำคัญคือพี่แกตัวสูงใหญ่เหลือกำลัง

เสียงพูดปนหัวเราะอักๆ ดังแว่วออกมา กวนชิบ...ลมยิ่งพัดแรง ยอดไม้ส่งเสียงซู่ซ่า นานๆ จะมีรถยนต์แล่นผ่านไปมาซักคัน ...ถ้าฝนซัดจั๊กๆ ลงมาจะทำยังไง? ผมเองก็ไม่ได้คว้าร่มติดมือมาด้วยเพราะนึกไม่ถึง มองดูหมอนั่นในตู้ก็ไม่เห็นมีร่มเหมือนกัน

โธ่! ผมลืมตู้โทรศัพท์ที่ซอย 10 ได้ไงเนี่ย?

วิ่งข้ามถนนมุ่งหน้าไปตามทางเลี้ยวซ้าย ตู้โทรศัพท์โดดเด่นอยู่ในแสงไฟ แถมว่างเปล่าพอดี...ไม่ง้อลื้อก็ได้วะ! ผมนึกขณะหันไปมองอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะอ้าปากค้าง ยืนตะลึงงันอยู่กับที่ในบัดดลนั่นเอง!

ตู้โทรศัพท์ว่างเปล่า...ไม่มีชายร่างใหญ่หรือใครอยู่ในนั้นแม้แต่คนเดียว

"เฮ้ย! อะไรกัน..." ผมยังงงงันเหมือนโดนอะไรประเคนเข้ากลางแสกหน้า เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ฟ้าแลบวาบ ก่อนลั่นเปรี้ยงสะเทือนแก้วหู เล่นเอาผมสะดุ้งโหยงเพราะแสงฟ้าแลบทำให้เห็นชายร่างยักษ์นั่นกำลังยืนหัวเราะร่วนอยู่ในตู้โทรศัพท์ตามเดิม

นัยน์ตาผมอาจจะพร่าพรายเพราะแสงฟ้าแลบก็เป็นได้ ยอมือขึ้นขยี้ตาแล้วจ้องมองไปอีกครั้ง...นรกเป็นพยาน! ไม่มีใครอยู่ในตู้โทรศัพท์ปากซอย 7 เลย นอกจากความว่างเปล่า ผมเดินแข้งขาสั่นกลับไปดูให้แน่ใจ แต่ก็ไม่มีใครจริงๆ

เอียงซ้ายเอียงขวามองก็ไม่เห็น แต่อึดใจเดียวไม่มีทางที่จะหายไปไหนได้แน่ๆ ยกเว้นแต่จะเป็นผู้ไม่มีร่างกาย...ผมเผ่นอ้าวเข้าบ้าน เลิกคิดโทรศัพท์อีกต่อไป ขนหัวลุกครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEl4TURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB5TVE9PQ==



Create Date : 21 เมษายน 2551
Last Update : 21 เมษายน 2551 19:57:27 น.
Counter : 734 Pageviews.

0 comment
วิญญาณร้องไห้
วิญญาณร้องไห้

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"แพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากงานศพเพื่อนรัก

ความรักคือความทุกข์ เสียงหัวเราะที่มักจะลงเอยด้วยหยาดน้ำตา! ยกเว้นแต่จะยอมรับความจริง อย่างที่พระบรมศาสดาได้ตรัสไว้เมื่อเกือบสามพันปีก่อนว่า...คนเราย่อมพลัดพรากจากสิ่งที่รักเสมอไป!

ดนยา-เพื่อนรักของดิฉันเองคือบทพิสูจน์คำว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" ได้เป็นอย่างดีค่ะ

เพราะความรักนั่นเองที่ทำให้ดนยาต้องจบชีวิตในช่วงอายุต้น 20 ปี...วัยที่ผู้หญิงเรากำลังสะสวย เปล่งปลั่ง เต็มไปด้วยเลือดฝาดและความกระตือรือร้น ใบหน้าและแววตาแจ่มใสเปรียบเหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบานรับน้ำค้างและแสงแดดอย่างเต็มที่

โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ความฝันทั้งปวงกำลังจะกลายเป็นความจริง ความสำเร็จสมหวังกำลังรอคอยอยู่ข้างหน้า ชีวิตที่มีแต่เสียงหัวเราะเริงร่าสดใส...ไม่มีใครคาดเดาได้หรอกว่า มันจะลงเอยด้วยน้ำตา...และสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตอันเป็นที่รักยิ่งของตนเอง

ดนยาก็เช่นกัน!

พวกเราเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายแล้ว การฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ล้วนแต่น่าตื่นเต้น โลกนี้เปิดกว้างขึ้นไปอีก มีผู้คนมากมายที่ได้รับความสำเร็จในอาชีพ เป็นตัวอย่างและสร้างกำลังใจให้ดียิ่ง

ดนยากับเพื่อนๆ ไปฝึกงานที่โฮเต็ลหรูหราระดับ 4 ดาวแถวถนนสุขุมวิทนี่เอง

เชษฐ์คือคนรักที่เรียนต่างสถาบัน แต่คอยพะเน้าพะนอดนยาแทบทุกอย่าง รวมทั้งการขับรถมอเตอร์ไซค์ไปรับ-ส่งทั้งตอนเช้าและตอนเย็น

ดนยาสะสวย อ่อนหวาน ร่าเริง เข้ากับคนง่าย รอยยิ้มอันสดใสและเปิดเผยของเธอเป็นเสน่ห์รุนแรง แม้แต่กับคนเพศเดียวกัน พวกเรายอมรับว่าดนยาเป็นคนสวยที่สุดและเสน่ห์แรงที่สุดในกลุ่ม...เชษฐ์เคยบอกว่าไม่เคยรักใครมาก่อน แต่เมื่อเห็นหน้าและรอยยิ้มของดนยาครั้งแรกก็หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น

คนทั้งสองรักใคร่กัน...แต่สังเกตว่าความรักของเชษฐ์มากมายจนออกนอกหน้ายิ่งกว่าความรักของดนยา!

ระยะหลังๆ ได้ข่าวว่าคนรักคู่นี้เริ่มมีปากมีเสียงกันบ่อยครั้ง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดนยาคนสวยมีหนุ่มๆ มาใกล้ชิดติดพัน ตั้งแต่รุ่นเดียวกันจนถึงรุ่นพี่และรุ่นน้ารุ่นอา บางคนอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ความสนิทสนมและการหัวเราะต่อกระซิกระหว่างดนยากับผู้ชายอื่นๆ เปรียบเหมือนหนามยอกอกเชษฐ์ ผู้จริงจังกับชีวิตจนเกินไป

ข่าวสุดท้ายก็คือ...เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งจากสุขุมวิทไปถึงบ้านที่สะพานขาว ดนยาท้าเลิก เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สติขาดผึง...เชษฐ์กระชากปืนพกออกมายิงใส่หน้าอกเธอ 5 นัดซ้อนๆ ก่อนจะหันปากกระบอกปืนมาจ่อขมับตัวเอง...แล้วลั่นไก!

โศกนาฏกรรมรุนแรงและโหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะนึกฝัน...แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป ช่วยกันนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี

ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปฟังสวดพระอภิธรรมตั้งแต่คืนแรก รู้สึกสลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ทั้งในบรรยากาศเยือกเย็น ทั้งภาพของแม่ดนยากอดลูกๆร้องไห้ พ่อของเธอนัยน์ตาแดงก่ำนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น...เหม่อมองรูปถ่ายของลูกสาวที่ยิ้มระรื่นอยู่หน้าโลง กำลังมองตอบมาด้วยสายตาสดใสเหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่

...มองตามสายตานั้นไป นัยน์ตาเราสบสานกันนิ่งๆ เหมือนโลกหยุดหมุน และกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ แสงไฟในศาลาสวดพระอภิธรรมคงจะเป็นสาเหตุให้ดิฉันตาพร่า...มองเห็นริมฝีปากของดนยาในภาพถ่ายเผยอยิ้มมากขึ้น...มากขึ้นทุกที!

"ลาก่อน...ลาก่อน..."

ดิฉันขนลุกซ่า อ้าปากค้าง ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินไปในบัดดล หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะกระทบโพรงอก แต่นัยน์ตายังลืมโพลง จ้องมองภาพถ่ายของเพื่อนรักผู้จากไปตลอดกาล

คุณพระช่วย! ในแสงไฟเหลืองรัวเหมือนเป็นภาพในความฝัน ดิฉันเห็นดนยาในภาพถ่ายกะพริบตาครั้งหนึ่ง...แววตาของเธอแสนเศร้าราวกับจะสำนึกในชะตากรรม...ความเป็นจริงว่า เดี๋ยวนี้เธอสิ้นลมหายใจเสียแล้ว วิญญาณล่องลอยออกจากร่าง...ได้แต่หันกลับมาดูด้วยความโหยหา อาลัยอาวรณ์อย่างสุดแสน แต่ไม่อาจจะเรียกร้องชีวิตให้กลับคืนมาได้อีกเลย!

ร่างกายที่แน่นิ่งอยู่ในโลงศพย่อมไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ ไม่ช้าก็จะถูกไฟแผดเผาให้มอดไหม้เหลือแต่เถ้าถ่าน...จากดินสู่ดิน จากเถ้าสู่เถ้า และจากธุลีกลับคืนสู่ธุลีตามเดิม

ดิฉันกระเดือกน้ำลายอย่างลำบากยากเย็น กระซิบซาบอยู่ว่า...ลาก่อนเพื่อนรัก ขอให้ไปสู่ภพหน้าอย่างเป็นสุขๆ เถิด! น้ำตาดิฉันไหลรินลงมาตามร่องแก้มเงียบๆ ขณะนั้นเอง!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEU0TURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB4T0E9PQ==



Create Date : 18 เมษายน 2551
Last Update : 18 เมษายน 2551 19:28:09 น.
Counter : 680 Pageviews.

0 comment
สงกรานต์สยอง
สงกรานต์สยอง

คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ออฟ" เล่าประสบการณ์การขนหัวลุกในวันสงกรานต์

ผมเคยเป็นเด็กหนองแค จังหวัดสระบุรีมาก่อน ชีวิตตอนนั้นสนุกมากครับ ทั้งกินและเล่น เที่ยวเตร่ สนุกสนานไปวันๆ ตามประสาเด็ก ไม่ต้องมีภาระหนักอึ้งเหมือนพวกผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวทั้งหลายแหล่

ยิ่งอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพงอย่างทุกวันนี้ ล้วนแต่บอกว่าต้องนอนลืมตาโพลง ใช้แขนก่ายหน้าผากอย่างเดียวยังไม่พอเลย คุณเอ๋ย

หลายๆ คนหน้าตาซีดเซียวไปตามๆ กัน เพราะหาเงินไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ยิ่งใครมีลูกเต้าในวัยเรียน ต้องเตรียมกลุ้มใจไว้สำหรับเดือนหน้า...ได้เวลาเปิดเทอมอีกแล้ว ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ต้องควักกระเป๋าเป็นมัน...ข้อสำคัญก็คือควักจนหมดกระเป๋าก็ยังไม่จ่ายนี่ซี!

สมัยเด็กผมมีเพื่อนเยอะแยะ ทั้งรุ่นเดียวกันกับรุ่นใหญ่ ไล่ไปตั้งแต่หินกอง เขาขาด ประตูป่า บ้านแพะจนถึงบ้านปากเพรียวโน่นแน่ะ หลายๆคนก็ไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯ แต่พอถึงตรุษสงกรานต์ก็กลับมาเยี่ยมบ้านกัน

รุ่นพี่ที่สนิทๆ กันก็มีพี่ทวน, พี่สน, พี่กุน...พวกนี้กำลังวัยรุ่นครับ ล้วนแต่ไปเรียนต่อกรุงเทพฯ กันทุกคน ใฝ่ฝันจะเป็นนายอำเภอ เป็นนายตำรวจนายทหารกันทั้งนั้นแหละ

พวกรุ่นพี่มักหาโอกาสกลับบ้านบ่อยๆ ไม่ว่าปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์หรือออกพรรษา เพราะระยะทางไม่ไกลนัก การเดินทางก็สะดวก นั่งบ.ข.ส.แค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว

สงกรานต์ปีนั้น ผมกับเจ้ากี่เพื่อนรักก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!

พวกเราแต่งตัวสีสันฉูดฉาดน่าตื่นตาตื่นใจ พวกผู้หญิงล้วนแต่สวยๆ ทั้งนั้น บางคนก็เดาะชุดไทยเดิม ห่มสไบสีสดไปทำบุญกันแต่เช้า สรงน้ำพระเสร็จก็ก่อพระทราย หรือขนทรายเข้าวัดตามความเชื่อที่ว่า คนเราย่ำทรายออกนอกวัดทั้งปีก็ควรจะขนทรายกลับเข้าวัดเป็นการชดใช้...ไม่งั้นจะเป็นบาปติดตัวถึงกับตกนรกแน่ะครับ

ต่อจากนั้นก็มีการเล่นสาดน้ำระหว่างหนุ่มๆ สาวๆ สนุกสนานครึกครื้น เสียงหัวเราะดังก้องไปในอากาศอบอ้าวเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด

ไหนจะเสียงร้องวี้ดว้ายกระตู้วู้น่าตื่นเต้นชะมัด พวกสาวๆ ที่ใส่เสื้อบางๆ โดนน้ำสาดจนแนบเนื้อ ต้องคอยดึงเสื้อให้ห่างตัวไว้เรื่อยๆ เล่นเอาพวกผมต้องวิ่งตามดูกันเป็นพรวน ถึงจะแค่สิบกว่าขวบก็เถอะเอ้า!

หนุ่มสาวบางคู่เขาถูกชะตากันก็ไม่เป็นอันสาดน้ำคนอื่นล่ะ ตักน้ำวิ่งไปสาดกันไปมาเหมือนทั้งงานมีอยู่แค่สองคนเท่านั้นเอง...จะไม่ให้เด็กๆ อย่างพวกผมอยากโตเร็วๆ ได้ไงครับ

อ้าว? พี่กุนหิ้วกระเป๋าเดินเลี้ยวมาทางหลังตลาดพอดี...

พวกสาวๆ รุ่นเดียวกันกรูเข้าไปสาดน้ำหนุ่มกรุงเทพฯ จนเปียกโชกทั้งตัว ผมกับไอ้กี่ถือขันน้ำวิ่งเข้าไปหา ไม่ใช่สาดน้ำพี่กุนหรอกครับ แต่ไปถามว่าพี่ๆ คนอื่นล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรือ? พี่กุนยิ้มฟันขาว บอกว่าพวกเพื่อนๆ ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว นัดหมายว่าจะมาพบกันที่หนองแคนี่แหละ

"ขอตัวไปบ้านก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะมาเล่นสงกรานต์กับพวกลื้อให้ชุ่มใจ"

พี่กุนบอกกล่าวก่อนจะจ้ำอ้าวไปบ้าน พวกผมเล่นสาดน้ำกันดะมาจนถึงหน้าตลาด สงกรานต์สนุกไปถึงริมถนนใหญ่ ใครมีน้ำก็สาดใส่ไม่เลือกผู้คนหรือรถรา มอเตอร์ไซค์บางคนต้องบึ่งหนี...เพิ่งมารู้ทีหลังว่าโดนสาดแรงๆ อาจจะทำให้รถคว่ำได้

รถบ.ข.ส.จอดส่งผู้โดยสาร พี่ทวนกับพี่สนเดินหิ้วกระเป๋าเข้ามา...กว่าจะถึงพวกผมก็เปียกโชกกันหมดแล้วครับ ผมถามว่าทำไมไม่มาพร้อมๆ กับพี่กุนล่ะ พี่ทวนหันมองพี่สนก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่

"ไอ้กุนโดนรถชนที่หน้าหมอชิต ตอนนี้อาการหนักอยู่ที่โรงพยาบาล พวกข้าก็เกือบจะมาไม่ได้เหมือนกัน เป็นห่วงเพื่อนน่ะซีวะ...เดี๋ยวจะไปส่งข่าวให้พ่อแม่มันรู้"

"ฮ้า?!" ผมตะโกนซะดังลั่น "พี่กุนเพิ่งมาถึงหยกๆ เมื่อตะกี้ยังคุยกับพวกผมอยู่เลย บอกว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเล่นสงกรานต์ให้ชุ่ม...ไม่เชื่อถามไอ้กี่หรือใครๆ ดูก็ได้"

พี่ทวนกับพี่สนหน้าขาวซีด ผมเอ่ยชื่อสาวๆ ที่รุมสาดน้ำพี่กุน คือพี่ไหมกับพี่มะลิพี่สมรเป็นพยานสำคัญ แถมต่อว่ารุ่นพี่ทั้งสองว่ามาพูดใส่ร้ายพี่กุน...ไม่เชื่อตามไปดูที่บ้านด้วยกัน ถามพ่อแม่แกเลยว่าพี่กุนกลับบ้านหรือเปล่า?

ปรากฏว่าไปถึงบ้านพี่กุนเห็นแต่ลุงกับป้ากำลังลงบันไดหน้าดำคร่ำเครียดมาพอดี...ได้ความว่ามีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแจ้งข่าวเรื่องลูกชายโดนรถชนอาการสาหัส รีบร้อนจะไปกรุงเทพฯ เพื่อดูแลพี่กุน...เล่นเอาผมกับไอ้กี่เข่าอ่อนยวบ...เมื่อตะกี้เราเห็นอะไรกันแน่?

พี่กุนนอนไม่ได้สติอยู่ราว 5-6 วันก็สิ้นใจอย่างสงบ...ที่ผมเห็นเป็นพี่กุนน่ะคือวิญญาณหรือเจตภูตกันแน่ครับ? แต่นึกถึงหน้าตาพี่กุนวันนั้นแล้วผมยังขนลุกทุกที! บรื๋อส์....

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOekUzTURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB4Tnc9PQ==



Create Date : 17 เมษายน 2551
Last Update : 17 เมษายน 2551 23:09:23 น.
Counter : 577 Pageviews.

0 comment
ห้องอุบาทว์
ห้องอุบาทว์

คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ป้าเพ็ญ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหอพักสุดหรูที่รังสิต

ทีน่าเป็นหลานสาวของดิฉัน เมื่อสองปีก่อนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ต้องไปเรียนไกลถึงรังสิตโน่นแน่ะ ทางออกทางที่หนึ่ง ที่ทำให้ทีน่าเดินทางไปเรียนได้สะดวก ไม่ถึงกับเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเกินไปก็คือ ต้องไปอยู่ในหอ!

ความจริงมีทางเลือกอีกทาง คือมาอยู่บ้านดิฉันแถวดอนเมือง ทว่าทีน่าไม่เอา เธอบอกว่าไหนๆ ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นแล้ว ก็ขอไปอยู่หอดีกว่า จะมาอยู่กับป้า คือดิฉัน ก็บอกว่าเกรงใจ...อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยค่ะ จริงๆ แล้วแม่สาวน้อยเธอดีใจจนออกนอกหน้าที่จะได้อยู่หอ เธออยากใช้ชีวิตอิสระตามลำพังแบบนี้มานานแล้ว...แหม! ก็วัยรุ่นนี่คะ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เรียนอินเตอร์ซะด้วย เธออยากเปรี้ยว แต่ถ้าอยู่บ้านกับพ่อแม่มันก็เปรี้ยวไม่ออก

คราวนี้ละ ถึงทีทีน่าบ้างแล้ว มันส์เจ้าค่ะ! แม่ของเธอ น้องสาวดิฉันน่ะหน้าหงิกหน้างอ ร้องไห้มาสองพักสามพักแล้ว เธอไม่อยากให้ลูกจากอกเธอไปไหนเลย!

ทีแรกน่ะเธอยอมอุทิศตน วางแผนขับรถจากพุทธมณฑลไปรับส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยทุกวี่ทุกวัน เล่นเอาแม่หนูทีน่าขนลุกเกรียว เธอกลัวเพื่อนจะล้อว่ามีคุณแม่มาคุมน่ะซิคะ มันจะไปสนุกอะไรล่ะ ถ้าชีวิตมีผู้ใหญ่ตามไปดูทุกกระดิก เธอไม่คิดหรอกว่าแม่รักและห่วงใยขนาดไหน! นี่คือตัวอย่างหนึ่งของช่องว่างระหว่างวัยไงคะ

เผลอๆ เธอกลับโกรธว่าแม่ไม่ไว้ใจไปโน่น!

สรุปแล้วทีน่าก็ได้อยู่หอสมใจนึก...หอที่ว่าอยู่ใกล้ที่เรียน แถมยังสวยสมราคาที่แพงลิบ ทันสมัย สวยน่าอยู่เหมือนห้องในโรงแรมชั้นหนึ่ง มีทั้งยามและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน ถ้าไม่ได้เป็นระดับคุณหนู พ่อแม่รวยก็ไม่มีหวังได้อยู่หรอกค่ะ

ทีน่าชื่นมื่นมาก เธอหมายตาหอแห่งนี้ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่าจะเช่าได้ เพราะมันมีห้องไม่มากและเต็มตลอด...เคราะห์ดีนะที่เผอิญมีห้องว่างราวกับรอเธออยู่ห้องหนึ่ง

ห้องนี้อยู่ชั้น 3 ด้านในริมสุด มีเตียงขนาดควีนไซซ์ ตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำในตัว ตกแต่งงดงามเรียบร้อย สะอาดสะอ้านและหอมกรุ่น...

ทว่าวันที่ไปส่งทีน่าเข้าหอพักนั้น พอก้าวเข้าไปดิฉันรู้สึกวาบๆ พิกล กวาดตาไปรอบห้อง...มันดูสวยจริงอยู่ แต่มีบางสิ่งบางอย่างในอากาศในห้องนั้น มันทำให้รู้สึกอึดอัด ทั้งไม่สบายใจและหวาดๆ พิลึก

"ทีน่า ถ้ามีอะไรก็โทร.บอกป้านะลูก จะให้มานอนเป็นเพื่อนก็ได้นะ" ดิฉันห่วงหลาน แต่ทีน่าหน้ารื่นเชียว บอกว่าไม่เป็นไรทีน่าอยู่ได้ ชอบมากๆ

แต่คืนแรกหล่อนก็โทร.มากลางดึกสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความพิศวงสงสัย

"ป้าแจ่มขา ทีน่าเจอสำลีสองก้อนอยู่บนเตียง มันเป็นก้อนกลมๆ ป้านๆ แน่นๆ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเห็นจะได้ แล้วมีคราบอะไรไม่รู้ กรังๆ สีเหลืองๆ แดงคล้ำๆ มันคืออะไรคะ? มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงไม่รู้ซิ"

ดิฉันใจหายวูบ นึกถึงสำลีที่เขาใช้อุดจมูกศพ กันน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาแต่ไม่ได้บอกทีน่าอย่างที่ใจคิดหรอกค่ะ เพียงแต่ให้เธอทิ้งตะกร้าซะ ไม่ต้องคิดมาก

ทีน่าทิ้งไป แต่อีก 2-3 วันมันก็โผล่มาอีก!

ดิฉันไปหาทีน่าที่หอในเย็นหนึ่ง หน้าเธอหมองๆ ไม่สดชื่น ดิฉันลูบหน้าผากเธอถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? เธอบอกว่าไม่เป็นไร แต่นอนน้อย นอนไม่หลับเพราะมันเหมือนมีใครอยู่ด้วยในห้องนี้ตลอดเวลา ยิ่งพอตอนดึกๆ ใครคนนั้นมายืนค้ำอยู่ที่หัวเตียง ชะโงกหน้ามาจ้อง แต่พอลืมตามองก็ไม่เห็นอะไร

ทีน่าเริ่มรู้สึกกลัวผีและบอกว่าวันไหนว่างๆให้ดิฉันไปนอนเป็นเพื่อนก็ ได้...

ยังไม่ทันไรก็เกิดเรื่องร้ายแรง คืนนั้นเธอโทร.มาหาตอนตีสองกว่าๆ อย่างคนขวัญเสียสุดขีด ขอให้ไปช่วยรับเธอหน่อย...ดิฉันตกใจ ลุกขึ้นขับรถออกไปหาหลานทั้งชุดนอน...คือชุดนอนดิฉันไม่ได้น่าเกลียดหรอกค่ะ มันเป็นชุดเสื้อกางเกงลายการ์ตูนน่ารักเชียวละ

พอไปถึงหอ ปรากฏว่าทีน่าอยู่กับคนดูแลและแม่บ้าน...ตัวสั่นเหมือนลูกนกตกน้ำ

เรื่องของเรื่องก็คือ เธอนอนอยู่ดีๆ เปิดไฟหัวเตียงไว้ จู่ๆ เตียงก็ยวบเหมือนมีอะไรหนักๆ หล่นลงมาเป็นท่อนยาวตลอดเตียง พอลืมตาดูปรากฏว่าเป็นศพผู้หญิงนอนหงาย หลับตาปากดำ มีสำลีอุดจมูก ตัวแข็งทื่อ...กลิ่นน้ำยาอาบศพฉุนคลุ้ง!

ทีน่าสติแตก ทั้งกรีดร้องทั้งเผ่นหนีไม่คิดชีวิต คนดูแลหอกับแม่บ้านเวรดึกที่นั่งดูทีวีอยู่ด้วยกันชั้นล่าง ต้องช่วยกันปลอบเธอ และให้เธอโทร.จากเครื่องที่โต๊ะมาหาดิฉัน...

ปรากฏว่าห้องนั้นเคยมีนักศึกษาสาวมาอยู่ และเธอไปตายด้วยอุบัติเหตุ ไม่ได้ตายที่หอนะคะ ตายที่อื่นๆ แต่นัยว่าเธอชอบห้องนี้มากเลยยังผูกพัน ห่วงหา คงจะห่วงเรียนด้วย รักชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วย เธอเลยยังอยู่ที่นี่...

ตกลงทีน่าย้ายของมาอยู่บ้านดิฉันจนบัดนี้เลยค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOekUyTURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB4Tmc9PQ==



Create Date : 16 เมษายน 2551
Last Update : 16 เมษายน 2551 23:28:52 น.
Counter : 672 Pageviews.

0 comment
คืนสยองขวัญ
คืนสยองขวัญ

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ทิดทุม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อออกไปตีกบ

สมัยเด็กผมอยู่อำเภอเสนา อยุธยานี่เอง หลวงพ่อปานท่านโด่งดังทางคาถาอาคมแค่ไหน ใครๆ ก็ย่อมรู้จักกันดีทั่วบ้านทั่วเมือง เอ่ยถึงเรื่องหลวงพ่อปานสั่งให้ชาวบ้านทำขนมจีนเลี้ยงเปรตกลางวันแสกๆ ดังระเบิดอย่าบอกใคร

พวกผมเด็กๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่ากับการเล่นสนุกไปวันๆ วันไหนฝนตกหนัก คืนนั้นก็เป็นอันว่ายกโขยงออกไปตีกบกันครึกครื้นไป

คืนนั้น นักล่ากบก็มุ่งหน้าออกท้องทุ่งอันเฉอะแฉะ สะพายข้องถือไฟฉายส่องวูบวาบ...ตอนออกจากหมู่บ้านน่ะยกโขยงกันมาหนาตาละครับ แต่ไม่ช้าก็แยกย้ายกันไปตามเสียงร้องอ๊บๆ อ๊บๆ ฟังแล้วยั่วน้ำลายพิลึก

ท้องฟ้าหนาทึบ บางครั้งก็มีแสงแลบวูบวาบ คำรามครืนครัน ถึงจะคุ้นๆ ก็ไม่วายเสียวสันหลังว่าจะโดนผ่าโครมครามน่ะซี มีหวังดำปี๋เหมือนตอตะโกเชียวละคุณเอ๋ย บรื๋อส์....

ลมทุ่งพัดกรูเกรียวเล่นเอาหนาวสะท้าน แต่เสียงกบร้องคือมนต์ขลังที่ทำให้หายหนาวหายกลัวไปจนหมดสิ้น มองไปรอบๆ ตัวก็เห็นแต่แสงไฟวูบๆ วาบๆ กับทิวไม้ปลายนาที่ดูมืดทะมึน ต้นตาลยืนโด่เด่ ลมพัดมากระทบใบแก่ๆ เกิดเสียงแกรกกรากน่าขนลุกไม่หยอก

"ฮะแอ้ม! ได้กบเยอะมั้ยวะ?"

เสียงกระแอมใกล้ๆ หูทำให้ผมสะดุ้งโหยง หันขวับไปเจอะไอ้จุกแปลกหน้าเปลือยอกผอมๆ กำลังจ้องมองเขม็ง...จังหวะนั้นเองที่ทำให้ผมลื่นพรวด หงายหลังลงไปตีแปลงกับพื้นดินเฉอะแฉะ มองเห็นดาวสะพรั่งฟ้าทันที ที่เขาว่า "เห็นดาว" น่ะมันเป็นยังงี้นี่เอง!

ผมหลับตา กลืนน้ำลาย...สงสัยว่าตัวเองจะมีปัญญาลุกขึ้นมาได้หรือเปล่าละหนอ?

คล้ายๆ กับจะเคลิ้มหลับไปเนิ่นนานเชียวละครับ ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อเห็นเจ้าจุกเอื้อมมือมาฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นมาปัดดินโคลนออกจากเนื้อตัว...มันบอกว่าไปพักที่บ้านข้าก่อน! ยายข้าใจดีโว้ย ไปเถอะ...

ผมเดินตามเด็กแปลกหน้าต้อยๆ ไปตามคันนาเหมือนถูกสะกด ครู่เดียวก็มาถึงกระท่อมเก่าแก่โย้เย้อยู่ตรงหน้า...พอก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ ตามหลังเจ้าจุกไปก็ถึงกับตะลึงงันคาที่

หญิงเฒ่าร่างร้ายเหมือนแม่มดในนิทานกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมกระท่อม แสงสว่างจากตะเกียงกระป๋องนมสะบัดเปลววูบวาบตามสายลม ทำให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่น จมูกงุ้ม ปากยุบ แก้มบุ๋มเพราะไม่มีฟันฟางเหลืออยู่เลย ผมเผ้าสีขาวโพลนเป็นกระเซิงดูสกปรกสิ้นดี พอๆ กับสภาพในกระท่อมที่มีแต่กระเบื้องถ้วย กะลาแตก กับผ้าขี้ริ้ว 2-3 ผืนกองอีเหละเขละขละน่าขยะแขยงเต็มที

กลิ่นเหม็นหืนระคนกับสาบๆ สางๆ อวลกรุ่นมาเข้าจมูกจนผมต้องทำเสียงฟุดฟิดก่อนจะหันไปพบนัยน์ตาลุกวาว จมอยู่ในเบ้าของแม่มดจำแลงคนนั้น กำลังจ้องมาเขม็ง

"เอ็งพาเพื่อนมาหายายหรือไอ้จุก?" จู่ๆ เสียงแหบแห้งก็ดังโพล่ง แล้วแกก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะแหบโหย "ดีวะ! เหอๆๆ ไอ้นิลก็จะมาหาข้าคืนนี้พอดี"

แทบจะไม่ขาดคำ ไอ้จุกก็ผวาไปที่หน้าต่างแบบใช้ไม้ค้ำ ชี้มือชี้ไม้ไปกลางทุ่งแล้วหันมาร้องว่า...นั่นไง! น้านิลมาแล้ว! เล่นเอาผมต้องแล่นออกไปชะโงกหน้ามองดูมั่ง

...ท่ามกลางความมืดสลัวของราตรี ผมเห็นใครคนหนึ่งเดินนำหน้าพร้อมกับชูคบไฟลุกโชน...ข้างหลังมีชายกลุ่มหนึ่งราว 4-5 คนกำลังเดินตาม ท่าทางเหมือนกับหอบหิ้วอะไรมาด้วย...ยายเฒ่าลุกพรวดพราดขึ้นด้วยท่าทางปราดเปรียว เดินเหมือนกระโดดไปที่หน้ากระท่อม

"มาแล้วโว้ย! ไอ้นิลมาแล้ว คราวนี้มึงจะหนีไปไหนพ้น เหอๆๆ"

จนกระทั่งชายกลุ่มนั้นมาถึง ผมมองเห็นเต็มตาก็ตะลึงไป!

คุณพระช่วย! ชายร่างใหญ่กำยำที่ถือคบนำหน้านุ่งผ้าหยักรั้งผืนเดียว คนอื่นๆ ก็เช่นกัน...แต่ว่าพวกมันกำลังช่วยกันหามโลงผีขึ้นมาบนกระท่อมอย่างหน้าตาเฉย ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเต้นแร้งเต้นกาของยายเฒ่า...ยกมันขึ้นมาโว้ย! ยกไอ้นิลขึ้นมาหาข้าเร็วๆ เหอๆๆ

โครม! โลงศพทิ้งโครมลงบนพื้นจนกระท่อมแทบพัง ชายพวกนั้นผละออกไปนั่งพิงฝา ท่าทางเหน็ดเหนื่อยน่าดู ส่วนผมอ้าปากค้าง ตะลึงงันอยู่ว่าพวกมันจะหามโลงผีมาทำไม?

และแล้ว...คำตอบก็มาถึง เมื่อยายเฒ่ารูปร่างกาลีปราดเข้าไปกระชากฝาโลงจนหล่นโครมคราม ผมผงะหน้าเมื่อเห็นศพของชายหนึ่งลุกทะลึ่งตึงตังขึ้นมานั่ง...ใบหน้าเละเทะเปรอะเลือดน่าสยดสยอง จนผมต้องผงะหน้าหนี แต่ยายเฒ่ากลับหัวเราะร่า...เงื้อมือขึ้นสูงจนเห็นมีดขาววับ จ้วงแทงเข้าที่ทรวงอกของศพเจ้านิลไม่ยับยั้ง!

"โอ๊ย!..." ผมแผดร้องสุดขีดคลั่ง กระโจนพรวดออกจากกระท่อมอุบาทว์ในพริบตา ไอ้จุกเผ่นเข้าขวางแต่ผมก็ชนมันกระเด็นไป...วิ่งเตลิดลุ้มลุกคลุกคลานไม่คิดชีวิต จนล้มฮวบลงเป็นครั้งสุดท้าย...

ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมยังนอนจมโคลนอยู่ที่เดิม ฟ้าแลบวาบจนเห็นตาลยืนเด่นอยู่ตรงหน้า...ผมตะลีตะลานลุกมาพร้อมกับไฟฉาย เผ่นอ้าวกลับบ้าน เลิกไปตีกบตั้งแต่นั้นมา!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUxTURRMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB4TlE9PQ==



Create Date : 15 เมษายน 2551
Last Update : 15 เมษายน 2551 21:48:44 น.
Counter : 645 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend