ตายทั้งกลม!
ตายทั้งกลม!

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"อรุณี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอดีต

ดิฉันเคยเป็นเด็กอยุธยา อยู่อำเภอบางปะหัน บ้านเดียวกับพระะเอกชื่อดังสรพงศ์ ชาตรี พวกเราส่วนมากมีอาชีพทำไร่ทำนา หรือที่เขายกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ...แต่ทำท่าว่าจะกระดูกหักมา หลายสิบปีแล้ว เพิ่งจะมาลืมตาอ้าปากได้บ้างในปีนี้เอง

เพื่อไม่ให้เสียเวลา ดิฉันขอเล่าเรื่องสยองขวัญสู่กันฟังเลยนะคะ

เรื่องผีๆ สางๆ คิดว่าเป็นธรรมดาของคนต่างจังหวัด ที่ร่ำลือกันว่าผีดุ ทั้งผีที่ตายในสงครามกับพม่า โดยเฉพาะศึกใหญ่ที่เราต้องเสียกรุงเมื่อปี 2310 แม้ว่าจะยืนหยัดต่อสู้ข้าศึกได้ถึงปีกว่าๆ แต่ก็เป็นพ่ายแพ้ในที่สุด

ผู้ใหญ่หลายๆ คนเชื่อว่าทหารและชาวบ้านที่ล้มตายในสงครามโหดมีหลายหมื่นคน...ดวงวิญญาณที่ เจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานยังสิงสู่อยู่ที่เดิม ไม่ยอมไปผุดไปเกิด คล้ายจะคอยจ้องมองดูลูกหลานรุ่นหลังๆ ว่าจะสำนึกถึงความเจ็บปวดในอดีตหรือไม่?

สมัยนั้นดิฉันเพิ่งจะสิบขวบเศษ ในหมู่บ้านของเราประมาณ 30 หลังคาเรือนได้ล้วนแต่อยู่กันอย่างสงบสุขตามสภาพ ปีไหนฝนฟ้าบริบูรณ์ก็พอจะยิ้มได้ แต่ถ้าฝนแล้งน้ำท่วมก็แย่หน่อย บ้านเรือนปลูกอยู่ติดๆ กัน ใครเดือดร้อนก็ช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้

ปีที่เกิดเหตุขนหัวลุก มีสาเหตุมาจากเมียน้าเข้มหรือน้าชบาตั้งท้องลูกคนแรกค่ะ!

น้าเข้มจัดการตัดไม้มากองไว้หน้าบ้านสำหรับเมียอยู่ไฟ เพื่อนบ้านก็ช่วยเอาหนามไผ่และหนามพุทรามากั้นรั้วเพื่อป้องกันผีกระสือ เมื่อถึงกำหนดคลอด ยายเอี่ยมหมอตำแยก็ถูกตามตัวมาที่บ้านน้าเข้ม ผู้หญิงเพื่อนบ้านสามสี่คนก็ไปช่วยเหลือ ไม่ว่าต้มน้ำร้อน ช่วยข่มท้องและช่วยแบ่งกันเป็นที่วุ่นวาย

แม่ดิฉันก็ไปช่วยเขาด้วย แล้วมาเล่าว่าเกิดเหตุสยองจนขนลุกไปตามๆ กัน ขนาดยายเอี่ยมที่ทำคลอดเด็กในหมู่บ้านมาหลายสิบคนยังหน้าซีดเซียวเหมือนจะ เป็นลม

เด็กคลอดยากคลอดเย็นเหลือกำลังค่ะ!

น้าเข้มยืน อัดควันยาใบตองอยู่หน้าห้อง เสียงน้าชบาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังออกมาไม่ขาดระยะ ครั้นจะโผล่เข้าไปดูด้วยความห่วงใยก็ถูกไล่ออกมา...แต่เสียงร้องโอดโอยสลับ กับเสียงร้องไห้ ทำให้น้าเข้มต้องผลุนผลันลงไปเรือนไปที่ร้านเหล้าเจ๊กซ้ง สั่งเหล้าขาวมาดับอารมณ์ที่เร่าร้อนเต็มที

เด็กไม่ยอมออกค่ะ น้าชบาเบ่งจนหมดแรงไม่รู้กี่ครั้ง ป้าแจ่มกับแม่ดิฉันช่วยข่มท้อง แสนสงสารน้าชบาที่โหนตัวหน้าตาบิดเบี้ยว เจ็บปวดจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มหน้า

"เด็กคงตายในท้องแล้วละ" ยายเอี่ยมบอกเสียงแหบปร่า แทบไม่ขาดคำก็สะดุ้งเฮือก อ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพนั้นได้เต็มตา

คุณพระช่วย! เด็กในท้องยื่นขาออกมาข้างหนึ่ง แล้วกดกลับเข้าไป ครู่หนึ่งก็ยืนขาอีกข้างออกมาคล้ายจะยั่วเย้าหรือหลอกหลอน...ขาเล็กๆ ที่เขียวคล้ำจนน่าใจหาย ครั้นยึดขาไว้ได้เดี๋ยวเดียวก็หดกลับเข้าไปข้างใน

พร้อมๆ กันนั้น น้าชบาร้องกรี๊ดสุดเสียงแล้วคอพับลงมา แน่นิ่งไปในบัดดล!

ตายทั้งแม่ทั้งลูก...หรือตายทั้งกลมนั่นแหละค่ะ บรื๋อออ...

น้า เข้มเสียใจแทบเป็นบ้า พังกองฟืนสำหรับให้เมียอยู่ไฟก็ถูกพังทลายเกลื่อนกลาด เมาเหล้าจนหัวราน้ำ ญาติๆ กับเพื่อนบ้านต้องจัดการงานศพให้ ส่วนน้าเข้มต้องบอกว่าสิ้นสภาพจริงๆ ค่ะ

ปีศาจน้าชบากับลูกขึ้นจากหลุมมาปรากฏตัวหลังจากนั้นไม่กี่วัน

ยายเอี่ยมหมอตำแยเดินกลับบ้านตอนโพล้เพล้ ต้องผ่านป่าช้าเป็นประจำ ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยมีอะไรผิดปกติ แต่ค่ำนั้นมีเสียงเด็กร้องอุแว้ๆ มาเข้าหูจนยายเอี่ยมขนลุกซ่า ก่อนจะนึกออกว่าอะไรเป็นอะไรก็ได้ยินเสียงเพลงกล่อมลูกดังแว่วมาจากหลุมศพ ใต้ต้นตะเคียน!

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น? หมอตำแยที่เพิ่งเห็นเด็กผียื่นขาข้างนั้นข้างนี้ออกมาจากท้องแม่ ทั้งๆ ที่ตายจนตัวเขียวไปแล้ว! ยายเอี่ยมวิ่งเตลิดเหมือนคนบ้าในพริบตา

ต่อมาก็มีคนเห็นน้าชบานั่งอุ้มลูกอยู่บนกิ่งตะเคียน ก้มหน้าผมยาวสยายลงมาจ้องมอง เล่นเอาร้องจ้า เผ่นกระเจิงไปตามๆ กัน

ดิฉันฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งคืนหนึ่งก็ได้ยินเสียงอ้อแอ้เพราะความมึนเมาของน้าเข้มดังมาจาก บ้านชั้นบน พูดคุยกับน้าชบาพลางหัวเราะชอบอกชอบใจไปด้วย

แค่นั้นก็น่ากลัวพออยู่แล้วนะคะ พ่อแม่ดิฉันก็ได้ยินเหมือนกัน...เราเชื่อว่าน้าเข้าเพ้อเพราะพิษเหล้า แต่เสียงเด็กแดงๆ ร้อนอุแว้ๆ ตามด้วยเสียงเพลงกล่อมลูก ผสมกับเสียงหัวเราะร่าของน้าเข้มก็ทำให้ดิฉันผวาเข้ากอดแม่...แม่ที่น้ำตา ไหลพรากด้วยความกลัวสุดขีด

เสียงสยองเกิดขึ้นบ่อยมาก ไม่แต่เฉพาะบ้านเรานะคะ คนบ้านอื่นๆ แถวนั้นก็ได้ยินกันทุกคน...กว่าปีศาจน้าชบากับลูกจะหายไปก็เล่นเอาพวกเราแทบ จะเป็นบ้าไปตามๆ กัน!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEl5TURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB5TWc9PQ==



Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 19:25:13 น.
Counter : 733 Pageviews.

2 comment
ลูกปีศาจ
ลูกปีศาจ

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นพคุณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากราชเทวี

สามี ภรรยาคู่หนึ่งชื่อเทพกับกานดา อยู่บ้านติดกับผมในซอยกิ่งเพชร ราชเทวีนี่เอง ทั้งสองเพิ่งจะมีบุตรชายคนแรกชื่อต้อม..เมื่อแกอายุได้เพียง 5-6 เดือนก็มีเรื่องน่าสยองอุบัติขึ้น

พ่อแม่ของเทพเป็นคนเก่าแก่ใน ย่านนั้น เมื่อลูกชายกับลูกสะใภ้ไปทำงาน สองตายายก็รับหน้าที่ดูแลหลานคนแรกอย่างเต็มอกเต็มใจ..ไม่มีใครนึกหวาดระแวง มาก่อนว่าทารกอ้วนขาว หน้าตาน่ารักผู้นี้จะเป็นสาเหตุของเรื่องขนหัวลุกทั้งหมด

ตายาย เลี้ยงหลานแบบคนโบราณ คือบดกล้วยบดข้าวให้กิน ผูกเปลให้นอนในห้องรับแขก เชื่อว่านอนเปลจะทำให้เด็กหลับได้นานกว่านอนบนเบาะ เหนือเปลมีปลาตะเพียนใบลานสีสวยพวงใหญ่ ยายจะไกวเปลกล่อมหลานที่นอนดูดนมขวด มองปลาตะเพียนแกว่งไกวตาแจ๋ว จนกระทั่งนอนหลับไป

บ้านนี้มีคนรับใช้เก่าแก่ชื่อน้าชื้น ทำหน้าที่ปัดกวาด ซักรีด ล้างถ้วยชาม รวมทั้งไปจ่ายตลาดและทำกับข้าวเบ็ดเสร็จ ไม่ต้องเลี้ยงเด็กเพราะตายายทั้งรักและหลงจนไม่อยากให้ใครมาแตะต้องหลาน ชายอยู่แล้ว

เมื่อหลานหลับ ตายายก็จะช่วยกันทำงานบ้านนิดๆ หน่อยๆ วันหนึ่งเสียงยายก็ร้องลั่นบ้านว่า..ตาต้อมตกเปล!

วัน นั้นตาออกไปเดินซื้อของกินของใช้ที่ตลาดพอดี น้าชื้นเพิ่งจะรีดผ้าเสร็จได้เวลาทำกับข้าวมื้อเย็น ครั้นวิ่งมาดูก็เห็นตาต้อมนอนคว่ำหน้าอยู่บนเสื่อน้ำมัน คอยังไม่แข็งพอจะชันหัวขึ้นมาได้ ใบ หน้าเอียงอยู่กับพื้น..แต่ไม่มีเสียงร้องไห้แม้แต่นิดเดียว

ไม่มีใครไกวเปล ตาต้อมจะตกลงมาได้ยังไง?

ถ้าตกเปลจริงๆ ก็ต้องร้องงอหายแน่ๆ แต่นี่แกส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในลำคอเท่านั้น

ยาย ที่ลงมาจากชั้นบนรีบคว้าหลานขึ้นมากอดจูบ สำรวจเนื้อตัวก็ไม่พบร่องรอยฟกช้ำ..เมื่อตากลับมารู้เรื่องก็บ่นไม่ขาดปาก แต่กำชับว่าอย่าบอกพ่อแม่ตาต้อมให้รู้เด็ดขาด

วันต่อๆ มา ตาต้อมก็ลงจากเปลตอนไม่มีคนเห็น แถมไปนอนอยู่แถวประตูห้องบ้าง ใกล้กับหน้าต่างที่เปิดโล่งบ้าง..คราวนี้เกือบจะชันคอได้แล้ว แต่ตายายก็ตกใจว่าหลานเป็นอะไรไป จนต้องเล่าความจริงให้พ่อแม่เด็กฟัง

ทุกๆ คนต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น?

ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างก็ซุบซิบกันว่าตาต้อมไม่ใช่เด็กธรรมดา อาจจะเป็นเด็กผู้วิเศษหรือไม่ก็เป็นเด็กผี!

ผม เองถึงแม้จะอยู่บ้านใกล้ๆ กันก็จริง แต่เท่าที่รับรู้ก็คือ "เขาเล่าว่า" ทั้งนั้น..จนกระทั่งตอนเย็นวันหนึ่ง ผมออกไปซื้ออาหารญี่ปุ่นใกล้ๆ ซอยพญานาค ขากลับเดินผ่านบ้านที่ลือกันว่ามีเด็กประหลาดอยู่พอดี ว่าจะเดินเลยไปแล้วก็พอดีมีเสียงเรียกชื่อให้แวะมาก่อน

สองผัว เมียคือลุงม่วงกับป้าแย้มกำลังคุยกับตายายของเด็กชาย ต้อมอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน ทุกคนล้วนหน้าตาซีดเซียว..ผมเองก็เสียววาบไปทั้งไขสันหลังเช่นกัน เมื่อได้รับรู้ว่าออกมานอนคว่ำนอกเปลอีกแล้ว ตอนที่น้าชื้นไปจ่ายตลอดพอดี

ตายายอุ้มหลานลงเปลอีกครั้ง กล่อมจนหลับแล้วออกมาอยู่นอกบ้านเพราะใจคอไม่ค่อยดี ลุงม่วงกับป้าแย้มแวะมาเยี่ยมเลยพลอยรับรู้ไปด้วย

ขณะ ที่ผมกำลังงุนงงอยู่นั้น น้าชื้นก็หิ้วตะกร้ากับข้าวเข้ามา..ผมหันไปเห็นแกหยุดชะงัก อ้าปากค้าง ปล่อยตะกร้าหลุดมือจนข้าวของกระจายเกลื่อน นัยน์ตาเปิดโพลงจ้องมองไปที่หน้าต่าง..พวกเราจึงมองตามสายตานั้นไป

นรก เป็นพยาน! ตาต้อมนั่นเองที่ยืนเกาะหน้าต่างจ้องมองเราตาแป๋ว เสียงใครร้องเฮ้ย! เด็กเพิ่งสอนคลานจะมายืนเกาะหน้าต่างได้ยังไง? ผมเผ่นเข้าไปเป็นคนแรกก็เห็นตาต้อมนอนหลับอยู่ในเปลที่แกว่งเบาๆ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาไกวเปลเห่กล่อมอยู่ไม่มีผิดเลย!

เออ..หรือผู้ไม่มีร่างกายนั่นเองที่อุ้มตาต้อมไปยืนที่หน้าต่างเมื่อครู่ก่อน?

คน อื่นๆ ตามหลังมา ท่าทางเงอะงะ หน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน..ตายายที่เคยรักหลานเป็นชีวิตจิตใจยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ตาต้อม ด้วยซ้ำ แต่น้าชื้นร้องกรี๊ด..ชี้มือเร่าๆ ไปที่เปลนั้น..เมื่อมองตามสายตาแกไปก็เห็นตาต้อมนอนลืมตาโพลงเบิกค้างจนตก ตะลึงไปตามๆ กัน

ครับ..เด็กชายประหลาดไม่มีลมหายใจแล้ว พ่อแม่กลับมารู้ข่าวก็ไม่ได้แสดงว่าประหลาดใจอะไร นอกจากสบตากันแล้วก็ถอนใจยาว

หลัง จากเผาศพตาต้อมแล้ว เทพกับกานดาจึงได้เล่าให้ฟังว่าตอนดึกๆ เคยเห็นตาต้อมลงไปคลานอยู่รอบเตียง ส่งเสียงหัวเราะคิกคักน่าขนหัวลุก..พอรู้ว่ามีคนเห็นก็รีบฟุบตัวลงนอนคว่ำ จนพ่อแม่แทบจะเป็นบ้าตาย

ไม่มีใครรู้ว่าความจริงคืออะไรแน่ จะว่าภูตผีปีศาจก็ไม่มีใครเห็น เมื่อตาต้อมตายไปแล้ว บ้านนั้นก็เป็นปกติสุขตามเดิม..ได้ข่าวว่าเทพไปทำหมันหลังจากนั้นไม่นาน คนอื่นๆ อาจจะลืมเรื่องนี้หมดแล้ว แต่ผมยังจำได้ติดหูติดตา นึกขึ้นมาทีไรขนหัวลุกทุกทีครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEl4TURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB5TVE9PQ==



Create Date : 21 สิงหาคม 2551
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 19:55:35 น.
Counter : 625 Pageviews.

0 comment
เล่าเรื่องผี!
เล่าเรื่องผี!

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นิศากร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากยานนาวา

เด็กๆ แทบทุกคนล้วนแต่ชอบฟังเรื่องผีกันทั้งนั้นแหละค่ะ เวลาฟังก็นั่งล้อมวงเบียดกันแจ นึกถึงภาพที่พวกผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟังไปด้วย หนูกับเพื่อนๆ พูดตรงกันว่ารู้สึกสยองปนหลอนยังไงก็บอกไม่ถูก

ยิ่งเป็นเวลาเย็นๆ ใกล้พลบค่ำยิ่งได้บรรยากาศชะมัด เพราะบ้านหนูอยู่ใกล้วัดจันทร์ ยานนาวาด้วยแล้ว เขาว่าที่นั่นผีดุอย่าบอกใครเชียว

ถึงจะไม่เคยโดนผีหลอกมาก่อน แต่พวกเราก็กลัวผีค่ะ!

คนที่เล่าเรื่องผีเก่งที่สุดก็คือลุงเหลือ บ้านแกอยู่ในซอยหลังตลาด มีตึกแถวเรียงรายทั้งสองฝั่ง ลุงเหลือกับป้าเนียมเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยหนุ่มสาว มีลูกชายคนเดียวชื่อพี่หนึ่งก็ไปเป็นโรบินฮู้ดอยู่อเมริกาหลายปี จนได้สัญชาติเรียบร้อย มีการงานทำรายได้ดี ส่งเงินมาให้พ่อแม่ใช้เป็นประจำ ทำให้ลุงกับป้ามีเงินใช้สอยอย่างคล่องมือ

พี่หนึ่งมาเยี่ยมบ้านปีละครั้ง มาทีไรก็จะพาพ่อแม่กับพวกหนูไปหาของอร่อยๆ กินกัน แถมใจดีพาเข้าห้างสรรพสินค้า บอกว่าไม่รู้จะซื้ออะไรมาฝาก เพราะไม่รู้ว่าใครอยากได้อะไรบ้าง? โดยเฉพาะที่เมืองไทยก็มีทุกอย่างเหมือนอเมริกาอยู่แล้ว

"ตอนนี้เชิญสาวๆ ช็อปปิ้งตามใจชอบ...นึกว่าเป็นของฝากก็แล้วกัน!"

เพราะเหตุนี้แหละค่ะ หนูกับเพื่อนๆ ถึงสนิทกับป้าและลุง จนไปมาหาสู่กันเหมือนญาติ แถมได้ฟังเรื่องผีสนุกๆ อีกต่างหาก

เรื่องผีที่ลุงเหลือเล่าให้ฟัง ล้วนแต่น่าสยองทั้งนั้นเลย แกยืนยันว่าเจอะเจอมากับตัวเองทั้งนั้น เพื่อนหนูชื่อแป๋วกับนิดหน่อยชอบถามแกบ่อยๆ ว่า

"ลุงกลัวผีไหมคะ? เวลาโดนผีหลอกลุงทำยังไง?"

"ไม่กลัว! โธ่...คนเราไม่ช้าก็ต้องกลายเป็นผีทุกคน แล้วจะกลัวผีไปทำไม?"

เรื่องผีที่ลุงเหลือเล่าหนูติดอกติดใจมากก็คือเรื่องผียายเขียว คนใกล้ๆ บ้านนี่เองแกเป็นแม่ค้าขายผลไม้อยู่หน้าตลาด ปากจัดเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าใครๆ ก็กลัวปากยายเขียวทั้งนั้น...แกตายเพราะปอดบวม ถือว่าเจ็บไข้ตายธรรมดา แต่ผียายเขียวดุเหลือเชื่อค่ะ

ลุงเหลือเล่าว่าโดนผียายเขียวหลอกตั้งแต่คืนแรกที่สวดศพ เพื่อนบ้านไปฟังสวดหนาตา ลุงเหลืออยู่คุยกับหลวงตาเปิ่นจนเกือบสองทุ่มจึงได้ลากลับบ้าน

ยายเขียวแกตามลุงเหลือมาติดๆ ที่รู้เพราะหมาเห่าหอนเยือกเย็นผิดปกติ ยอดไม้ก็ส่งเสียงซู่ซ่าไม่หยุดหย่อน...ลุงเหลือหันไปมองก็จำได้ว่ายายเขียว เดินตามมาจากศาลา แกก็กวักมือเรียก...จะตามมาส่งข้าหรือยายเขียว? มาซีน่า จะมัวรีรออยู่ทำไม?

ผียายเขียวก็พลันหยุดชะงัก มีเสียงสะอึกสะอื้นดังแว่วมาตามสายลมเยือกเย็น น่าวังเวงใจสิ้นดี แต่ลุงเหลือไม่กลัวผีก็ร้องบอกไปว่า

"อย่ามัวร้องห่มร้องไห้อยู่เลย ยายเขียว แกตายแล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรือ? ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ ข้าจะทำบุญกรวดน้ำไปให้...อีกไม่ช้าข้าก็จะไปอยู่กับแกที่เมืองผีแล้ว"

ครู่หนึ่ง เสียงสะอื้นก็เงียบหาย ร่างตะคุ่มๆ ของยายเขียวก็หันหลังกลับ...เดิมก้มหน้ากลับไปยังศาลาที่ตั้งศพตามเดิม

คืนสุดท้าย ลุงเหลือก็ไปฟังสวดศพยายเขียวอีกครั้ง!

ขณะเดินออกจากศาลาเป็นคนสุดท้าย ผียายเขียวก็ตามมาเหมือนเดิม

ลุงเหลือเล่าว่ามีรูปร่างหน้าตาเหมือนยังมีชีวิตอยู่ สะอึกสะอื้นเบาๆ น่าขนหัวลุก...แกบอกให้กลับก็ไม่ยอม ลุงเหลือนึกอะไรขึ้นมาได้ก็ปลอบว่า

"ไหนๆ แกก็ตายไปแล้ว ยายเขียวเอ๊ย! ไม่ต้องไปกลัวผีสางที่ไหนอีกต่อไป มันทำอะไรแกไม่ได้หรอก...พรุ่งนี้ลูกเต้าเขาก็จะเผาแกแล้ว แต่ไม่ต้องกลัวฟืนกลัวไฟว่าจะเร่าร้อนอะไร...ร่างกายน่ะไม่ใช่ของแก แค่อาศัยเขาอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น วิญญาณแกก็จงไปหาแดนเกิดเอาตามบุญตามกรรม ขอให้แกไปสู่ที่ชอบๆ ทีเถอะ"

จนกระทั่งวันเผา ลุงเหลือกับป้าเนียมออกจากวัดมาถึงบ้านในตอนเย็น...รู้สึกว่ามีกลิ่นสาบๆ สางๆ ล่องลอยติดตามมาจนป้าเนียมจ้ำอ้าว แต่ลุงเหลือพูดดังๆ ออกไปว่า

" ยายเขียว! ไหนๆ แกก็เหลือแต่วิญญาณแล้ว อย่าไปอาลัยอาวรณ์อะไรอีกเลย...เรื่องราวอะไรก็ขออโหสิต่อกัน แกจงไปผุดไปเกิดในชาติภพที่ดีๆ กว่าชาตินี้เถอะ"

ตอนนั้น เวลากำลังพลบค่ำพอดี แป๋วถามว่าผียายเขียวหายไปหรือเปล่า? ลุงเหลือก็ถอนใจยาว บอกว่ายังอยู่ เพราะเคยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนบ้านฟังหลายคนตอนที่เผาศพยายเขียวได้ไม่นาน ...ระหว่างเล่าก็มีคนเห็นยายเขียวมานั่งฟังอยู่ด้วย เล่นเอาวงแตกกระเจิงไปในพริบตา

หนูเองกับเพื่อนๆ กระเถิบเข้าเบียดกันไม่รู้ตัว ตั้งแต่นั้นเราไม่กล้าไปฟังเรื่องผีจากลุงเหลืออีกเลย จนกระทั่งแกตายไปแล้ว...กลัวว่าจะเห็นยายเขียวเข้ามานั่งฟังด้วย ไม่อยากช็อกตายคาที่ค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEl3TURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB5TUE9PQ==



Create Date : 20 สิงหาคม 2551
Last Update : 20 สิงหาคม 2551 20:04:09 น.
Counter : 654 Pageviews.

0 comment
บ้านผีเฮี้ยน
บ้านผีเฮี้ยน

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ต๊ะ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรังสิต

คืนนั้นเป็นคืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม และผมจะไม่มีวันลืมแน่ๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยแม้แต่นิดเดียว!

บ้านผมอยู่ยานนาวา พ่อแม่ชอบพูดชมผมให้คนอื่นๆ ฟังเสมอว่าผมเป็นเด็กเอาถ่าน ได้เรื่องได้ราว เป็นธุระให้พ่อแม่ได้ทุกเรื่อง...แหม! ก็เด็กจบจากรามนี่ครับ ตอนอยู่โรงเรียนก็เป็นหัวหน้าลูกเสือ หัวหน้าห้อง พอเข้ามามหาวิทยาลัยอยู่ปีสองก็เป็นหัวหน้าชมรม นิสัยผมชอบช่วยเหลือคนอื่นครับ

...และนี่เอง คือที่มาของคืนสยองคืนนั้น!

ลุงวีระ-เพื่อนของพ่ออยากได้คนไปนอนเฝ้าบ้านให้คืนหนึ่ง เพราะจะต้องไปทำธุระกับป้าน้อยที่ต่างจังหวัด ที่บ้านก็ไม่มีใครเลย อยู่กันแค่สองคนตายาย ลูกๆ แต่งงานแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว

แหม! เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป บ้านของลุงวีระอยู่รังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยของผมพอดี ไม่ลำบากหรอก ผมจะไปเฝ้าบ้านให้หนึ่งวันกับหนึ่งคืน พอรุ่งขึ้นวันจันทร์ผมก็ไปเรียน ลุงวีระจะกลับมาราวๆ บ่าย ทุกอย่างลงล็อกพอดิบพอดีไม่มีปัญหา

เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผมสะพายเป้ไปถึงบ้านลุงวีระ และได้พบกันก่อนจะออกเดินทาง ป้าน้อยจัดห้องให้ผมนอนที่ชั้นบน เป็นห้องนอนเดิมของลูกสาวคนโตน่ะเอง

คุณป้าเตรียมของกินใส่ตู้เย็นไว้เพียบ ส่วนคุณลุงบอกให้ผมทำตัวตามสบาย ดูทีวี ฟังเครื่องเสียง เล่นคอมพิวเตอร์ได้ทุกอย่าง...บ้านนี้ไม่ใหญ่โตอะไรนักเพราะเป็นหมู่บ้าน แต่แปลกมากที่บ้านข้างๆ รอบๆ นั้นไม่มีคนอาศัย มันปิดไว้เฉยๆ บางหลังมีป้ายประกาศขาย บ้างก็มีประกาศให้เช่า...เป็นเพราะอย่างนี้กระมัง คุณลุงถึงต้องหาคนมาเฝ้าบ้านเพราะมันดูเปลี่ยวเอาการ...ขโมยขโจรคงจะชุมน่า ดู!

ตอนกลางวันน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง แต่ก็สบายเชียวละ ผมเอาเนื้อออกมาย่างกับเตาอเนกประสงค์ กินคนเดียวอย่างเอร็ดอร่อย แล้วเอางานที่อาจารย์สั่งเป็นการบ้านมาทำ โดยใช้เน็ตของคุณลุง...พอตกกลางคืนกลายเป็นคนละเรื่องเลยครับ

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่อบอุ่นน่าสบายนั้นจางหายไปพร้อมๆ กับแสงตะวันละแวกบ้านลุงวีระ...คือรอบๆ ตัวผมมันช่างวังเวงเหมือนอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด!

งานของผมยังไม่เสร็จ ต้องค้นคว้าในเน็ตต่อไปอย่างมีสมาธิ แล้วพักกินมื้อเย็นราวๆ ทุ่มเศษ จากนั้นก็เปิดเน็ตทำงานต่อ

ราวสองทุ่มกว่า ผมได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนมีคนจำนวนมากคุยกันอยู่ที่บ้านข้างๆ ก็เลยเปิดม่านดู...รอบๆ ตัวมีแต่ความมืด จะสว่างเฉพาะแสงไฟถนนเท่านั้น แล้วเสียงพวกนั้นมาจากไหนนะ? ช่างเถอะ...อยากทำงานให้เสร็จเร็วๆ จะได้เข้านอน สักห้าทุ่มสองยามก็ยังดี

ยิ่งดึก ผมยิ่งรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างวุ่นวายอยู่รอบๆ ตัว บางทีก็เหมือนมีใครมายืนมองนอกหน้าต่าง ตอนแรกยังผวา นึกว่าขโมยมันดอดเข้ามา...ผมชักกลัวแล้วนะ

สี่ทุ่มครึ่ง ผมได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากข้างบ้านนี่เอง!

เมื่อเดินไปดูก็พบว่า บ้านหลังนั้นมืดตึ๊ดตื๋อเหมือนเดิม...แต่แล้วผมก็เห็นสิ่งประหลาด...ขณะที่ กำลังจะหันหลังกลับก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านที่มืดๆ นั้น ไม่ใช่ออกนอกประตูรั้วนะครับ แต่ออกมายืนที่ระเบียงชั้นสองพอดี

เขาใส่เสื้อกล้ามขาวๆ ไฟถนนส่องให้เห็นว่าอายุราวสี่สิบกว่าๆ ร่างท้วม ผมบาง...เขายืนเหม่อลอย ถอนใจ...แล้วก็หันหน้ามาทางผม

คุณพระช่วย! เขามีท่าทางว่ามองเห็นผมด้วย นั่นไง! เขาโบกมือให้ ผมยกมือโบกตอบอย่างใจลอยยังไงไม่รู้...เหมือนถูกสะกดจิตยังไงยังงั้น!

จากนั้นก็ไม่มีสมาธิทำงานแล้วครับ ผมเข้านอน ปิดม่านหน้าต่างหมด เปิดแอร์และเปิดไฟหัวเตียงไว้ รู้สึกหนาวเยือกๆ บอกไม่ถูก แว่วเสียงเหมือนผู้ชายร้องไห้จากบ้านข้างๆ น่าขนลุกชะมัด...คืนนั้นผมฝันร้าย เห็นแต่ภูตผีปีศาจจนสะดุ้งผวา หลับๆ ตื่นๆ ไปทั้งคืน!

รุ่งขึ้นไปมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ถามว่าทำไมขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า ผมเลยเล่าสิ่งที่พบมาให้ฟัง...

ไม่น่าเชื่อเลยครับ รุ่นน้องคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม พูดถึงชื่อหมู่บ้านนั้นขึ้นมา พอผมบอกว่าใช่ เขาก็เล่าว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้เอง เมื่อหลายเดือนก่อนมีบ้านหลังหนึ่งจัดงานเลี้ยง แต่พอตกค่ำ เจ้าของบ้านก็ทะเลาะกับเมียแล้วผูกคอตายกลางดึกคืนนั้นเอง

ตั้งแต่นั้นผีก็ดุมาก คนข้างบ้านต่างกลัวผี หลายคนเห็นกับตาว่าคนที่ตายนั้นออกมายืนที่ระเบียง...หลายบ้านถึงกับย้ายหนี ! ฟังแล้วเข่าอ่อนเลย...ถ้างั้นผมก็เจอเข้าแล้วเต็มๆ

ทุกวันนี้ ผมยังมีนิสัยชอบช่วยคนอื่นอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณลุงวีระขอให้ไปเฝ้าบ้านอีก ผมเห็นทีจะต้องปฏิเสธละครับ...เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEU1TURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB4T1E9PQ==



Create Date : 19 สิงหาคม 2551
Last Update : 19 สิงหาคม 2551 19:47:54 น.
Counter : 743 Pageviews.

2 comment
ห้องสยองขวัญ
ห้องสยองขวัญ

"ใบหนาด"

ขนหัวลุก



ติรส เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมผีสิง

เมื่อ สองปีที่แล้ว ดิฉันกับสามีไปบางแสนตามคำชวนของเพื่อนๆ ตอนนั้นลูกคนแรกของเราอายุเพิ่งได้สองขวบเท่านั้นเอง เรากระเตงแกไปด้วย มีโปรแกรมว่าจะพักในโรงแรมสามคืน แต่คืนแรกก็ต้องเผ่นกระเจิงแล้วค่ะ

คืน นั้น หลังกินอาหารมื้อเย็นกับเพื่อนร่วมรุ่นของสามีเกือบสิบคน ดิฉันก็ขอตัวพาลูกกลับโรงแรมก่อนเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย ส่วนสามีก็ไปเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ ดิฉันบอกว่าไม่ต้องห่วง

อันที่ จริงก็รู้สึกกังวลไม่ใช่น้อย เพราะอะไรรู้ไหมคะ? คือโรง แรมที่เราพักอยู่นี้มันมีอะไรไม่ค่อยชอบมาพากล...พอย่างเข้าไปก็รู้สึกได้ ทันที!

มันเป็นห้องที่สวยน่าอยู่ มีเตียงคู่ขนาดควีนไซซ์ มีโต๊ะหัวเตียงคั่นกลาง

เมื่อ เปิดประตูห้องจะเห็นว่าทางขวามือเป็นห้องน้ำ ซ้ายมือเป็นตู้เสื้อผ้าบานเลื่อนและมันเปิดอ้าอยู่ พอก้าวเข้าไปในห้องดิฉันเกือบสะดุ้ง เพราะเห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนผมยาวอยู่ในตู้เสื้อผ้านั่น ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็หายไป

อาจจะตาฝาดไปเองก็ได้! แต่แล้วก็มีลมพัดวูบมาจากด้านในของห้อง ซึ่งแปลกมาก...หน้าต่างห้องยังปิดสนิทเพราะเป็นห้องแอร์ ลมจะพัดมาจากไหน? ถ้าจะพัดก็ควรจะพัดจากข้างนอกเข้าไปซีคะ ดิฉันขนหัวลุกซู่และรู้สึกหนาวเยือก ทั้งๆ ที่อากาศร้อนออกขนาดนั้น

อย่าง ไรก็ตาม ดิฉันไม่ได้ปริปากบ่นหรือบอกอะไรกับสามี เพราะ กลัวเขาจะไม่สบายใจ ตัวเองก็คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก เราอาจจะเพ้อ เจ้อ ตาฝาดไปเองก็ได้

ตลอด วันดิฉันลืมเรื่องนั้นไปแล้ว มานึกได้อีกทีตอนสามีขับรถมาส่งที่โรงแรม...ดิฉันอุ้มลูกไปที่เคาน์เตอร์ ขอกุญแจห้องแล้วขึ้นลิฟต์ไปชั้นสาม ตรงไปยังห้องพัก

มานึกถึงภาพสยองได้ตอนนั้นเอง!

ตอน กำลังเปิดประตู ดิฉันก็นึกเสียวๆ ว่าจะเห็นอะไรที่น่ากลัวอีก ใจสั่นเลยล่ะค่ะ พอประตูห้องเปิด ภายในห้องมืดและมีกลิ่นอับๆ จางๆ ดิฉันรีบเสียบแผ่นกุญแจลงในช่องที่ทำให้ไฟเปิด แอร์เปิด... เฮ้อ! ค่อยยังชั่วหน่อย

ดิฉันหยอกล้อกับลูกแล้วพาแกเข้าห้อง ปิดล็อกประตูอย่างดี สามีบอกว่าถ้ากลับมาจะโทร.ขึ้นมาบอกก่อน เพื่อให้ดิฉันเปิดประตูรับ

ไฟในห้องตามโรงแรมนี่ ถึงเราจะเปิดหมดทุกดวงมันก็ยังไม่สว่างอยู่ดี!

ดิฉัน รู้สึกอึดอัดและหวาดระแวงหน่อยๆ เพราะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่อยู่กับเราในห้องนี้...ช่างเถอะ! ดิฉันทำเป็นไม่ใส่ใจ แล้วเดินไปเปิดทีวีเพื่อเอาเสียงเป็นเพื่อน ดีนะคะที่ทีวีมีการ์ตูน ลูกชายดิฉันเลยดูเพลิน ตัวเองเข้าไปอาบน้ำโดยเปิดประตูห้องทิ้งไว้

ขณะที่รีบอาบน้ำเพราะห่วงลูกนั้น ดิฉันได้ยินแกคุยกับใครก็ไม่รู้ คล้ายกับว่ามีคนมาถามอะไรแก แล้วแกก็ตอบเขาอย่างเอียงอาย...

ดิฉัน ใจหายวาบ หยุดชะงักมือที่กำลังฟอกสบู่ นิ่งฟังจนแน่ใจว่าลูกกำลังคุยอยู่กับใครบางคนจริงๆ ดิฉันรีบล้างตัว แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวกระ โจมอก ผลุนผลันออกมาทันที...ลูกนั่งอยู่บนเตียง แกหันขวับมามองก่อนที่จะหันกลับไปมองใครบางคนที่ดิฉันมองไม่เห็นตัว!

" หนูคุยกับใครลูก?" ดิฉันพยายามพูดด้วยเสียงหัวเราะๆ ลูกไม่ตอบ แต่ยิ้มกว้างเชียวล่ะ...รีบแต่งตัวอุ้มลูกมานอนที่หมอน กอดกกแกไว้จนแกหลับไป นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม ดิฉันชักง่วงๆ คงจะเป็นฤทธิ์ยาแก้แพ้ที่กินเมื่อครู่ก่อน...

เคลิ้มหลับไปทั้งที่ ทีวียังเปิดอยู่ แต่อึดใจต่อมาดิฉันก็ตื่นขึ้น และมองไปที่ทีวีที่มีเสียงแปลกๆ น่าสะดุดใจ...ภาพในจอเป็นละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดาราก็ไม่รู้จัก

อะไร กันนั่น? ผู้หญิงบนจอยืนหันหน้าให้กล้อง ด้านหลังเป็นทะเล...ผู้หญิงคนนั้นมีบางอย่างที่คุ้นตา...แล้วดิฉันก็ต้อง สะดุ้ง ใจ หายวาบ...นี่มันเป็นผู้หญิงที่ดิฉันเห็นแว่บเดียวเพียงเสี้ยววินาที...

เธอคือคนที่ยืนอยู่ในตู้เสื้อผ้านี่นา!

ดิฉันคว้ารีโมตปิดทีวีทันที! ลุกขึ้นนั่ง เหงื่อแตกท่วมตัว และรีบโทร.หาสามีมือไม้สั่น บอกว่าให้กลับด่วน

สามี ดิฉันน่ารักจริงๆ ค่ะ เขาผละจากเพื่อนๆ แล้วตรงกลับโรงแรม ทันที เพราะเขาบอกว่าตกใจที่เสียงดิฉันสั่นเหลือเกิน เมื่อเขามาถึงก็พบว่าดิฉันนอนกอดลูกและสั่นไปทั้งตัว

แม้จะดึกดื่นปานใด สามีก็ขอย้ายห้องได้สำเร็จ...

วัน รุ่งขึ้นเขาก็ขอแยกจากเพื่อนๆ และบึ่งรถกลับกรุงเทพฯ ทันที ดิฉันจับไข้สูงปรี๊ด..เป็นอยู่สามวันกว่าจะหาย ภาพใบหน้าผู้หญิงผมยาวคนนั้นติดหูติดตาอย่างไม่รู้ลืมเลือน

และนี่คือประสบการณ์ผีหลอกที่น่ากลัวที่สุด เท่าที่ดิฉันได้เจอะเจอมา!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEU0TURnMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdPQzB4T0E9PQ==



Create Date : 18 สิงหาคม 2551
Last Update : 18 สิงหาคม 2551 19:42:10 น.
Counter : 669 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend