โรคตาแห้ง น้ำตาเทียม ... นำมาฝาก
6 อาการ สัญญาณโรคตาแห้ง https://www.bumrungrad.com/th/Infographic/6-signs-dry-eyes-diagnosis-causes 1. คันตา แสบตา ระคายเคืองตา 2. รู้สึกเหมือนมีฝุ่นอยู่ในตา 3. แพ้แสง แพ้ลม 4. บริเวณตาขาวมีสีแดงจากการอักเสบ 5. ตามัวในบางขณะ 6. รู้สึกไม่สบายตาเมื่อตื่นนอน "ตาแห้ง" สุขภาพตาโดย ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย All About Eye by RCOPT https://www.facebook.com/AllAboutEyebyRCOPT/posts/959051797545393:0 "ตาแห้ง" อีกภาวะที่พบได้บ่อยทางจักษุวิทยาโดยเฉพาะยุคที่ต้องทำงานผ่านหน้าจอกันทั้งวัน มาเรียนรู้กันเพิ่มเติมจาก บทความนี้โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต ตาแห้ง(Dryeye หรือ Xerophthalmia) เป็นภาวะที่ฟิล์มน้ำตา หรือTear film ที่ฉาบอยู่บริเวณผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตา (Ocularsurface) มีจำนวนหรือคุณภาพไม่เพียงพอที่จะหล่อลื่นผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตาจึงก่อให้ผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตาเกิดการระคายเคืองจึงก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง ระคายเคืองตา ไม่สบายตา ในภาวะปกติฟิล์มน้ำตาที่ผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตามีด้วยกัน 3 ชั้นจากชั้นนอกสุดไปถึงชั้นในสุด ได้แก่ 1. ชั้นไขมัน สร้างจากต่อมที่เรียกว่า Meibomian gland ที่อยู่ภายในเปลือกตา/หนังตา 2. ชั้นสารน้ำ สร้างจากต่อมน้ำตาที่เรียกว่า Lacrimal gland 3. ชั้นน้ำเมือก สร้างจากเซลล์ที่เรียกว่า Goblet cell ในเยื่อบุตาและในกระจกตา ทั้งนี้ -หากน้ำตาชั้นไขมันบกพร่อง มักเกิดจากโรคของเปลือกตา/หนังตาที่มีการเสียหายของต่อม Meibomian gland (เช่น ผู้ป่วยโรค Rosacea/โรคผิวหนังชนิดหนึ่งโรคเปลือกตา/หนังตาอักเสบเรื้อรัง) ซึ่งเรียกว่า ภาวะต่อม Meibomian ไม่ทำงาน (Meibomian gland dysfunction เรียกย่อว่าภาวะ MGD) - หากชั้นสารน้ำบกพร่อง จะเกิดภาวะ Keratoconjunctivitis sicca เรียกย่อว่า ภาวะ KCS เช่น ในโรค Sjogren (โรคโอโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเองชนิดหนึ่งซึ่งมีผลให้ต่อมต่างๆที่มีหน้าที่สร้างสารหล่อลื่น/สารน้ำเสียหายทำงานได้น้อยลง จึงส่งผลให้เกิดภาวะเนื้อเยื่อต่างๆแห้งผิดปกติ) ภาวะต่อมน้ำตาไม่ทำงาน,ภาวะตาปิดไม่สนิทจากอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า, ตลอดจนโรคเอดส์ - หากขาดน้ำเมือก มักพบใน ภาวะลูกตาได้รับภยันตรายจากสารเคมี,โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง, ภาวะขาดวิตามินเอ,โรคริดสีดวงตาเรื้อรัง ตลอดจนจากการแพ้ยาต่างๆที่ทำให้เกิดความผิดปกติของผิวหนังรอบๆตาร่วมกับเยื่อบุตา (เช่น โรคสะตีเวนส์จอห์นสัน/Stevens Johnsonsyndrome) ** ตาแห้งมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร? สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของตาแห้งได้แก่ - มีการสร้างน้ำตาน้อยกว่าปกติ จากพยาธิสภาพของต่อมต่างๆที่สร้างน้ำตา(อ่านเพิ่มเติมในบทความ กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา หัวข้อกายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบน้ำตา) - ส่วนประกอบของน้ำตาผิดปกติ เนื่องจากน้ำตาระเหยเร็วกว่าปกติ ทำให้น้ำตาค่อนข้าง Hypertonic /มีความเข้มข้นมากเกินไป(บางคนใช้คำว่า เค็มเกินไป = too salt) น้ำตาชนิดนี้จะทำลายปลายประสาทที่มาเลี้ยงเยื่อบุตาและกระจกตาทำให้ทำงานไม่ได้สมดุล จึงมีการสร้างน้ำตาน้อยลง - อายุมากขึ้น เซลล์ต่อมน้ำตาจะเสื่อมเช่นเดียวกับเซลล์ทุกชนิดของร่างกายการสร้างน้ำตาจึงน้อยลง - เป็นโรคเบาหวาน เพราะจะส่งผลให้เกิดการอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อของเซลล์ต่อมน้ำตาจึงสร้างน้ำตาลดลง - ทำ เลสิก (Lasik) มา ซึ่งการทำ เลสิกจะมีการตัดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกระจกตา (Corneal nerve) ทำให้ไม่มีตัวกระตุ้นให้สร้างน้ำตาทำให้การสร้างน้ำตา ลดลงชั่วคราวช่วง 1-6 เดือนแรกหลังจากนั้นการสร้างน้ำตาก็จะกลับมา - ใช้คอนแทคเลนส์/เลนส์สัมผัส (Contact lens) พบได้ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ที่มีภาวะตาแห้ง - ตาที่ได้รับอุบัติเหตุทำให้หนังตา ไม่แนบกับผิวลูกตา น้ำตาจึงระเหยได้ง่ายตาจึงแห้งง่าย - การใช้ยาบางชนิดประจำ เช่น ยาหยอดตารักษาต้อหินยารับประทานที่มีฤทธิ์ต้านการทำงานของระบบประสาท (Anticholinergic drug) รวมทั้งประสาทต่อมน้ำตา จึงลดการสร้างน้ำตา เช่น ยาลดความดันโลหิตยาคลายเครียด ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยารักษาโรคพาร์กินสัน (Parkinsondisease) ยาบรรเทาโรคหวัด ยารักษาโรคภูมิแพ้ในกลุ่มแอนติฮีสตามีน (Antihistamine)เป็นต้น ** ตาแห้งมีอาการอย่างไร? อาการที่เข้ากับโรคตาแห้งได้แก่ -มีความรู้สึกฝืดในตาเหมือนไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง -ระคายเคืองตา -ไม่สบายตา เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา -ตาพร่า แพ้แสง -ตามัวลง อาจเห็นภาพๆเดียวซ้อนเป็น 2 ภาพได้ ทั้งนี้อาการต่างๆที่กล่าวข้างต้น จะเป็นมากขึ้นเมื่อใช้สายตามากขึ้น เช่น อ่านหนังสือขับรถ ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หรือ ดูทีวี อยู่ในสิ่งแวดล้อมบางภาวะ เช่นที่มีลมพัดแรง อยู่บนเครื่องบิน อยู่ในห้องแอร์ เป็นต้น ***แพทย์วินิจฉัยภาวะตาแห้งได้อย่างไร? แพทย์วินิจฉัยภาวะตาแห้งได้จาก จากอาการและประวัติที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นในหัวข้อสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง ตรวจบริเวณใบหน้ารอบๆดวงตาเพื่อดูโรคต่างๆที่อาจเป็นสาเหตุ เช่น -ลักษณะของโรค Rosacea -ภาวะหนังตาที่ผิดปกติ -ขนตาที่เขี่ยผิวลูกตา -ดูขอบหนังตาเพื่อดูรูเปิดของต่อม Meibomian -ดูผิวกระจกตาที่ไม่เรียบ -ร่วมกับเมือกที่ผิวลูกตามีลักษณะผิวปกติ ซึ่งในรายที่เป็นรุนแรงผิวกระจกตาจะขรุขระบางลง จนบางรายมีรอยทะลุของกระจกตาได้อาจมีการตรวจเฉพาะพิเศษอื่นๆเพิ่มเติม เช่น เพื่อดูคุณภาพของน้ำตา เป็นต้นทั้งนี้ขึ้นกับ อาการผู้ป่วย สาเหตุ และดุลพินิจของจักษุแพทย์ **ตาแห้งมีผลเสียอย่างไร? ภาวะตาแห้งนอกจากก่อให้เกิดอาการไม่สบายตา แสบตา เคืองตา ตาสู้แสงไม่ได้ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่แล้ว อาจก่อให้เกิดพยาธิสภาพอย่างอื่น เช่น -กระจกตาถลอก ผิวกระจกตาอาจหลุดลอกออกมา ยิ่งก่อให้เกิดความเจ็บ ปวดมากขึ้นอีกทั้งมีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่ายขึ้นด้วย เช่น เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้นเนื้อเยื่อชั้นเนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) ของเยื่อตาและของกระจกตามีการเปลี่ยนแปลง (Squamous metaplasia) ผิวลูกตาจะดูไม่สดใสกระจกตาเป็นแผล เกิดเป็นจุดๆทั่วไป (Punctale keratitis) ซึ่งทำให้เจ็บตาตาสู้แสงไม่ได้ -กระจกตาเป็นแผล ติดเชื้อต่างๆได้ง่าย (Corneal ulcer) -มีหลอดเลือดเกิดใหม่เข้ามายังกระจกตา (Corneal neovascularization)ทำให้กระจกตาขุ่นขาว ไม่ใส ทำให้ตาแดง และตาพร่ามัวลง -เมื่อเป็นตาแห้งแบบที่รุนแรงนานๆเข้า กระจกตาจะเกิดเป็นแผลเป็น บางลงและบางรายถึงขั้นกระจกตาทะลุได้ ***รักษาภาวะตาแห้งอย่างไร? แนวทางการรักษาภาวะตาแห้งมักจะแนะนำทำเป็นขั้นๆไป คือ 1. ปรับสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆหลีกเลี่ยงสถานที่มีฝุ่นละออง ควันบุหรี่ ที่เป่าผมไม่ให้ใกล้ตา หลีกเลี่ยงการใช้พัดลมหรือ อยู่ในห้องแอร์นานๆ หากจำเป็นต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ควรจัดโต๊ะและเครื่องคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการใช้แว่นตาที่เหมาะสม 2. รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น เปลือกตา/หนังตาอักเสบ ทำให้มีการทำลายต่อม Meibomianซึ่งหากมีภาวะหนังตาอักเสบ ควรรักษาความสะอาดขอบตาลดการใช้ยาต่างๆที่ทำให้มีการสร้างน้ำตาน้อยลง ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เป็นต้น 3. การชดเชยน้ำตา ด้วย ใช้น้ำตาเทียมซึ่งอาจเป็นรูปของน้ำใส เป็นเจล หรือ ขี้ผึ้ง - แบบน้ำใสใช้ง่าย ไม่ทำให้ตามัว แต่ต้องหยอดบ่อย เพราะยาหมดอย่างรวดเร็ว - แบบเจล หรือ ขี้ผึ้งอยู่ในตาได้นานกว่า แต่อาจเหนียวเหนอะหนะทำให้ตามัวลงมักนิยมใช้ก่อนนอน น้ำตาเทียมชนิดใสมี 2 แบบ คือ - ชนิดมีสารกันเสีย มักบรรจุในรูปแบบเป็นขวด สามารถใช้ได้นานถึงประมาณ 1 เดือน - ชนิดรูปแบบที่เป็นกะเปาะ ไม่มีสารกันเสีย จึงใช้ได้ไม่เกิน 24 ชม. มักทำในรูปกะเปาะพลาสติกเล็กๆ มีน้ำตาเทียมอยู่ 4-8 หยด ในกรณีตาแห้งมากต้องใช้น้ำตาเทียมบ่อยเกินวันละ4 ครั้ง ควรใช้แบบไม่มีสารกันเสีย หากใช้แบบมีสารกันเสียวันละหลายๆหยดตัวสารกันเสียอาจทำอันตรายต่อผิวกระจกตาได้ 4. ใช้ยาที่เป็นสารน้ำเหลืองจากเลือด (Serum) ของตัวเราเองเรียกว่า Autologus serum ในปัจจุบันพบว่าการใช้น้ำเหลืองจากเลือดของเราเองอาจช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆของลูกตาและต่อมน้ำตาเพราะมีสารต่อต้านเชื้อโรคตลอดจนสารเร่งการฟื้นตัวกลับคืนสู่ปกติของเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น 5. ใช้เครื่องช่วยที่เรียกว่า Moist chamber เป็นวัสดุคล้ายแว่นตาเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลูกตา(ไม่เป็นที่นิยม และยังไม่มีจำหน่ายในบ้านเรา) ภาวะตาแห้งขาดความสมดุลของผิวตา มักจะก่อให้เกิดการอักเสบแบบไม่ติดเชื้อได้จึงอาจต้องให้ยาหยอดตาในกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อได้ซึ่งต้องใช้อย่างระมัดระวัง ภายใต้การดูแลและควบคุมของแพทย์ 6. ปัจจุบันมีการใช้ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (Immunosuppressant) บางชนิด เช่น ยา Cyclosporine ชนิดหยอดเพื่อลดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อของเนื้อเยื่อของลูกตาและของต่อมน้ำตา เป็นต้น 7. อาหารที่มี โอเมกา 3 (Omega 3 fatty acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยลดการอักเสบ ในบางคนอาจช่วยให้ภาวะตาแห้งดีขึ้นได้การพยายามลดการระเหยของน้ำตาด้วยวิธีผ่าตัดหรือ ปรับกายวิภาคของเนื้อ เยื่อส่วนต่างๆของตา เช่น 8. การอุดท่อระบายน้ำตา (Punctual plug) เป็นการอุดบริเวณช่องทางที่ไหลออกของน้ำตา(Punctum) ลงสู่โพรงจมูก ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร (Punctal cautery) ใช้จี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตาซึ่งเป็นการอุดบริเวณไหลออกของน้ำตาแบบถาวรไปเลย 9. ปัจจุบันมีการใช้คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษที่เรียก Scleral lens ซึ่งมีความโค้งที่แตกต่างจากคอนแทคเลนส์ธรรมดาทำให้อุ้มน้ำตาอยู่ได้มากขึ้น 10.การเย็บเปลือกตา/หนังตา บน-ล่าง เข้าหากันบางส่วน (Tarsorrhaphy)ในผู้ป่วยบางรายที่มีความผิดปกติของเปลือกตา/หนังตา ***ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร? การดูแลตนเองคือ เมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันควรพบจักษุแพทย์ แต่ถ้ามีตามัว เห็นภาพไม่ชัดเจน ควรต้องรีบพบจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมงเสมอ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่ชัดเจนเพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ เมื่อทราบว่าเป็นภาวะตาแห้ง การดูแลตนเอง การพบจักษุแพทย์ คือ -ปฏิบัติตามจักษุแพทย์ และพยาบาลแนะนำ -ใช้น้ำตาเทียมอย่างถูกต้องตามจักษุแพทย์/แพทย์แนะนำ -ป้องกัน รักษา ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง -ปรับพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดภาวะตาแห้ง เช่น ในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์รู้ จักใช้แว่นตาเพื่อป้องกันแสงแดด ฝุ่นละออง และเลิกสูบบุหรี่ เป็นต้น -สังเกตการใช้ยาควบคุมโรคอื่นๆ และการใช้ยาต่างๆ ว่า มีผลต่อภาวะตาแห้งหรือไม่ เพื่อแจ้ง แพทย์ พยาบาล เภสัชกร เพื่ออาจปรับเปลี่ยนยา -รู้จักวิธีที่ถูกต้องในการใช้คอนแทคเลนส์ เมื่อต้องใช้คอนแทคเลนส์ -กินอาหารมีประโยชน์5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน (จำกัด แป้ง หวาน เค็ม ไขมัน กินผัก ผลไม้เพิ่มขึ้น) เพื่อลดโอกาสเซลล์ต่างๆรวมทั้งเซลล์ของลูกตา และต่อมน้ำตาเสื่อมก่อนวัย -กินอาหารมีโอเมกา 3 อย่างพอเพียงถึงแม้การศึกษาต่างๆยังไม่ชัดเจนว่ามีประโยชน์ในการรักษาหรือป้องกันภาวะตาแห้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเพราะยังไม่พบโทษจากสารอาหารชนิดนี้ อาหารที่มีโอเมกา 3 สูงเช่น ปลาทะเล (เช่น trout, salmon, tuna, cod, mackerel, herring) และไข่ที่ผสม โอเมกา 3 -พบจักษุแพทย์ก่อนนัด หรือ รีบพบจักษุแพทย์ เมื่อมีอาการผิดปกติทางตาต่อเนื่องและไม่ดีขึ้นหลังการรักษา โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาทางสายตา หรือ ตามัวลง ***ป้องกันตาแห้งได้อย่างไร? -การป้องกันภาวะตาแห้ง คือ การหลีกเลี่ยง งด เลิก และการป้องกัน รักษาควบคุม สิ่งต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง ดังกล่าวแล้วในหัวข้อสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวแล้วในหัวข้อ การดูแลตนเอง ที่สำคัญคือ -กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวันร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำ เสมอเพื่อป้องกันโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของภาวะตาแห้ง -รู้วิธีที่ถูกต้องในการใช้คอนแทคเลนส์เมื่อจะใช้คอนแทคเลนส์ -เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ -รู้วิธีที่ถูกต้องในการใช้งานคอมพิวเตอร์ -รู้จักใช้แว่นตาเพื่อปกป้องลูกตา .................................... ตาแห้ง(Dryeye) ศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต วว.จักษุวิทยา //haamor.com/th/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87/ ภาวะตาแห้ง https://www.bumrungrad.com/th/vision-eye-examination-surgery-center-bangkok-thailand/conditions/dry-eyes
"น้ำตาเทียม"Artificialtear https://www.facebook.com/AllAboutEyebyRCOPT/posts/953569194760320:0 ศ.พ.ญ.สกาวรัตน์คุณาวิศรุต เวลาตาแห้งแสบเคือง นอกจากปรับพฤติกรรม การรักษาลำดับแรกๆที่หมอตาเลือกใช้ก็คือ 'น้ำตาเทียม'ครับ มีกี่แบบ? ส่วนประกอบคืออะไร?และเลือกใช้อย่างไรบ้าง? มาทำความรู้จักเพิ่มเติมได้จากบทความนี้ครับ ปัจจุบันน้ำตาเทียมเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายช่วยหล่อลื่นและเคลือบผิวตาได้ดี โดยเฉพาะทุกวันนี้ที่มีมลภาวะ ฝุ่นสิ่งระคายเคือง ผู้ใช้คอมพิวเตอร์หรือใช้สายตามากๆเป็นเหตุให้ตาแห้งก่อให้เกิดอาการระคายเคืองนัยน์ตาได้ง่ายขึ้นการใช้น้ำตาเทียมจึงช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ได้น้ำตาเทียมในปัจจุบันมีการปรับปรุงเพิ่มคุณลักษณะบางอย่างเพื่อประสิทธิผลในการรักษา สะดวกในการใช้ มีคุณสมบัติใกล้เคียงน้ำตาธรรมชาติอันจะทำให้ไม่แสบเวลาหยอด *ส่วนประกอบของน้ำตาเทียมที่สำคัญได้แก่ 1.สาร polymerเป็นตัวหลัก เพิ่มความชุ่มชื้น ในขณะเดียวกันมีความหนืดมากกว่าน้ำเพื่อให้คงอยู่ที่ผิวตาระยะเวลาหนึ่ง และโดยทั่วไปสารที่หนืดมากจะอยู่ในตาได้นานกว่า ตัวอย่างของสารในกลุ่มนี้ ได้แก่ - HydroxypropylMethylcellulose (HPMC) ได้แก่ น้ำตาเทียมที่มีชื่อทางการค้าต่างเช่น Natear, Opsil tear, Tear Natural II เป็นต้น - Carboxy Methylcellulose(CMC) ได้แก่ น้ำตาเทียมที่มีชื่อทางการค้า เช่น CellufreshMD, Optisil เป็นต้น - Polyethylene glycol (PEG)ได้แก่ Systane Ultra - Hyaluronic acid ได้แก่ น้ำตาเทียมที่มีชื่อทางการค้า Hialid, Vislube - Castor oil น้ำมันละหุ่งละลายได้ดีในชั้นไขมัน ลดการระเหยของน้ำตา เช่น Endura 2. Buffer เป็นสารที่ปรับน้ำตาเทียมให้มีph ที่เหมาะสมอันจะช่วยคงสภาพของสมบัติของน้ำตาเทียมให้คงอยู่ได้แก่ Bicarbonate , Phosphate , Citrate Lactate เป็นต้น 3.ส่วนประกอบที่ทำให้น้ำตาเทียมมีคุณสมบัติใกล้เคียงธรรมชาติตลอดจนมีเกลือแร่ที่ให้อาการแก่กระจกตา ได้แก่ Glycine , Calcium chloride , Maynesiumchloride , Sodium Chloride เป็นต้น 4.สารกันเสีย (Preservative)เช่นเดียวกับยาหยอดตาทั่วไปที่มีการใช้หลายๆ ครั้งที่ต้องเติมไว้เพื่อทั้งคงสภาพน้ำตาเทียมไว้ ชะลอการเสื่อมลงทางชีววิทยา (biodegradation)พร้อมทั้งทำให้ปราศจากเชื้ออยู่ได้นาน 1 เดือน หลังเปิดขวด (สารตัวนี้ไม่จำเป็นต้องมีในน้ำตาเทียมที่ใช้ครั้งเดียวหรือไม่เกิน 1 วัน ) สารกันเสียที่มีอยู่ในยาหยอดตาได้แก่ 4.1 Detergent เป็นสารไปรบกวนสารlipid ของผนังเซลล์ bacteria ได้แก่ Benzalkoniumchloride (BAK), chlorobutana , Polyguad, PHMD 4.2 Oxidising agent เมื่อสารนี้ผ่าน cell membrane จะไปเปลี่ยน DNAและส่วนประกอบของไขมันของแบคทีเรีย ทำลายส่วนต่างๆ ภายใน ได้แก่ Stabilizeoxychlorocomplex , Sodium perborate 4.3 Ionic buffer in boricacid , Zinc Sorbitol เป็นต้น *รูปแบบของน้ำตาเทียม 1.เป็นขวดใช้ได้หลายครั้ง ใช้ได้ภายใน 1 เดือน หลังเปิดขวดรูปแบบนี้มีสารกันเสียอยู่ในน้ำยาด้วยเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค(ส่วนมากเป็น BAK)ทำให้คงตัวได้นาน เหมาะกับคนที่หยอดไม่บ่อย วันละไม่เกิน 4 ครั้งและใช้ในระยะไม่นานมาก เพราะสารกันเสียไม่ค่อยอ่อนโยนกับผิวกระจกตามากนัก 2.แบบเป็นขวดเหมือนกัน ใช้ได้ 1 เดือน หลังเปิดขวด แต่ใช้สารกันเสียรุ่นใหม่ที่สามารถสลายได้เมื่อเจอแสงหรือเอนไซด์ในน้ำตา (เช่น sodium perborate หรือ Purite)ซึ่งก็จะอ่อนโยนกับผิวกระจกตากว่าน้ำตาแบบดั้งเดิมแต่ราคาก็จะแพงกว่าบ้าง 3.เป็นกระเปาะหรือเป็นหลอดเล็กๆ เป็นแบบที่ไม่มีสารกันบูดเลยเพราะฉะนั้นไม่ควรใช้เกิน 1 วัน เพราะอาจปนเปื้อนไม่สะอาดได้ หลังเปิดฝาบิดมาหยอด1-2 หยด แล้วสามารถปิดฝากลับลงไปได้ แล้วใช้ซ้ำได้บ่อยๆเหมาะกับคนที่ตาแห้งมากที่ต้องหยอดตาบ่อยๆมากกว่าวันละ 6 ครั้งต่อวัน 4.น้ำตาเทียมในรูปเจลหรือขี้ผึ้ง อยู่ในรูปนี้มีความหนืดมากอยู่ในตาได้นานกว่าแต่ทำให้เหนอะหนะ ตาพร่ามัวหลังหยอด นิยมใช้ก่อนนอนมากกว่า *วิธีใช้ หากตาไม่แห้งมากอาการไม่มากใช้น้ำตาเทียมแบบขวดซึ่งใช้ได้ใน 1 เดือน ประหยัดค่าใช้จ่ายจะพิจารณาใช้ชนิดวันต่อวัน ในกรณี 1.มีปัญหาตาแห้ง ขนาดปานกลางถึงแห้งมาก ที่คาดว่าจะต้องหยอดน้ำตาเทียมมากกว่าวันละ 6ครั้ง 2.มีโรคหรือปัญหาของผิวเยื่อบุตา (ocular surface) เช่น เป็นโรค StevenJohnson ได้รับอุบัติเหตุจากสารเคมี เป็นต้น 3.เป็นต้อหินเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่คาดว่าหรือต้องใช้ยาหยอดหลายตัว 4.หลังผ่าตัดตาใหม่ๆ ไม่อยากให้สารกันเสียรบกวนการหายของแผลผ่าตัด 5.มีเยื่อบุผิวที่ผิดปกติอยู่เดิม
Create Date : 25 พฤษภาคม 2559 |
| |
|
Last Update : 25 พฤษภาคม 2559 0:54:57 น. |
| |
Counter : 12462 Pageviews. |
| |
|
|