Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

สารพัด " นม " ที่ควรรู้




แฮบต่อมาจากห้องสวนลุม

https://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7284230/L7284230.html

ขอขอบคุณ คุณ ploykarat ไว้ ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ




สารพัดนม ที่คุณแม่ควรรู้



เอามาฝากค่าา

นมนั้นมี ประโยชน์สำหรับลูกน้อยเรามาก แต่นำบางชนิดก็ยังไม่เหมาะกับลูกของเรา เราเลยนำเกร็ดความรู้เกี่ยวกับนมชนิดต่าง ๆ มาให้บรรดาคุณแม่ ๆ ทั้งหลายได้ทราบกัน

นมเป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญได้แก่ โปรตีน ไขมัน น้ำตาลแลคโตส วิตามินและเกลือแร่ นมวัวหรือนมโคซึ่งนิยมนำมาบริโภคมีสารอาหารที่สำคัญได้แก่ น้ำประมาณ 87% น้ำมันเนย (milk fat) 4% น้ำตาลแลคโตส 4% โปรตีน 3% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเคซีน (casein) และเถ้า 0.7% เกลือแร่ที่มีมากในนมคือ แคลเซียมและฟอสฟอรัส นมเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอ ดี และบีสอง


1. นมสดพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurized Milk)

คือนมสดที่ผ่านกรรมวิธีการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 63 องศาเซลเซียส และไม่น้อยกว่า 30 นาที แล้วทำให้เย็นลงทันทีที่อุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส ความร้อนและเวลาที่ใช้นี้พอสำหรับฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคเท่า นั้น แต่ไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์ทั้งหมดในนมได้

ดังนั้นนมพาสเจอร์ไรซ์จึงมีอายุการเก็บรักษาสั้นเพียงประมาณ 7 วัน และต้องเก็บในที่เย็นเท่านั้น (อุณหภูมิต่ำกว่า 8 องศาเซลเซียส ไม่เกิน 10 องศาเซลเซียสตลอดเวลา เพราะหากเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม จะมีจำนวนเชื้อโรคหรือแบคทีเรียเจริญขึ้น ในจำนวนที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้)


2. นมสดสเตอร์รีไรซ์ (Sterilized Milk)

คือนมสดที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 140 องศาเซลเซียส เป็นเวลาไม่เกิน 15 นาที แล้วทำให้เย็นลงทันทีที่อุณหภูมิไม่เกิน 80 องศาเซลเซียส และบรรจุลงในกระป๋องที่ฆ่าเชื้อแล้ว วิธีนี้จะทำลายเชื้อจุลินทรีย์ในนมได้ทั้งหมด แต่จะทำให้วิตามินที่สำคัญบางตัว เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 สูญเสียไปด้วย

ดังนั้นนมสดสเตอร์รีไรซ์จึงไม่เหมาะกับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และห้ามใช้เลี้ยงทารก เพราะจะทำให้เด็กเป็นโรคขาดสารอาหารได้ นมชนิดนี้สามารถเก็บไว้ได้นาน 1-2 ปี เวลาที่ซื้อนมควรสังเกตดูวันที่ผลิตและวันที่หมดอายุของนมให้ดี และหลังจากที่เปิดใช้แล้ว ควรเก็บนมไว้ในที่เย็น เพื่อที่นมจะได้ไม่เสื่อมคุณภาพแล้ว


3. นม ยู เอช ที (U.H.T-Ultra High Temperature Milk)

คือนมสดที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงเพื่อฆ่าจุลินทรีย์ที่มีอยู่ใน น้ำ นมทั้งหมด ระดับความร้อนที่ใช้มีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 133 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-3 วินาที เพื่อรักษากลิ่นและรสชาติของนม รวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในนมให้ยังคงอยู่ สามารถเก็บรักษานมชนิดนี้ได้ที่อุณหภูมิห้องธรรมดาโดยที่ไม่ต้องแช่เย็น และสามารถเก็บรักษานมไว้ได้นานถึง 6 เดือน ดังนั้นการเลือกซื้อควรดูวันผลิตและวันที่หมดอายุของนม เพื่อที่จะได้นมที่ผลิตมาใหม่ๆ เสมอ


4. นมพร่องมันเนย (Low Fat)

คือนมสดที่รีดมาจากแม่วัวและแยกเอามันเนยบางส่วนออก นมพร่องมันเนย เป็นนมที่แยกเอาไขมันส่วนใหญ่ออกไป เหลือไขมันประมาณ 0.05-0.1 ไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก คุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วน


5. นมสดขาดมันเนย (Skim Milk)

คือนมสดที่รีดมาจากแม่วัวและแยกมันเนยออกเกือบหมด หรือที่เรียกว่า หางนม คือนมที่ถูกดึงไขมันออกไปทำเนย น้ำนมที่เหลือเรียกว่านมขาดมันเนย


6. นมเปรี้ยว (Cultured Milk หรือ Yogurt)

เป็นนมที่หมักจากเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์โดยจุลินทรีย์นั้นจะหมักทำ ให้ นมมีค่า pH 0.75-0.8 ของกรดแลคติก และทำให้น้ำตาลแลคโตสที่เป็นองค์ประกอบของนมแตกตัว ทำให้ย่อยง่าย อาจมีการปรุงแต่งสี กลิ่น รส ด้วยความเปรี้ยวของนมนอกจากยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียแล้ว ยังทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคได้หลายชนิด ดังนั้นคนที่ดื่มนมแล้วท้องเสียจึงควรมาดื่มนมเปรี้ยวแทน

นมชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดื่มนมไม่ได้เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อย น้ำตาลแลคโตส (lactose intolerance) สามารถบริโภคนมเปรี้ยวได้ไม่มีปัญหาท้องเสียหรือเกิดก๊าซ เพราะน้ำตาลแลคโตสในนมถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติก

การบริโภคนมเปรี้ยวนอกจากจะได้คุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่ในนมแล้ว นมเปรี้ยวนั้นยังผ่านการฆ่าเชื้อแบบพาสเจอร์ไรซ์ หรือบรรจุแบบปลอดเชื้อ ผู้บริโภคก็จะได้รับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ด้วย เรียกผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ (probiltics) ซึ่งมีข้อมูลยืนยันว่าจุลินทรีย์เหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือช่วยสร้างสภาวะเป็นกรดในทางเดินอาหาร ป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคเจริญและเพิ่มจำนวน นอกจากนั้นสารบางชนิดที่สร้างโดยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ยังมีคุณสมบัติ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้อีกด้วย

แต่ถ้าผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยระบบยูเอชที ผู้บริโภคก็จะได้รับเพียงสารอาหารต่างๆ ที่มีอยู่ในนมเปรี้ยว แต่จะไม่ได้รับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่ยังมีชีวิตเข้าไปด้วย

ถ้ามีการนำนมเปรี้ยวมาเจือจางด้วยน้ำนมพร่องไขมันแต่งด้วยสีหรือกลิ่นต่างๆ หรือเติมน้ำผลไม้เพื่อทำให้เป็นนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม (drinking yogurt) ผู้บริโภคจะได้รับปริมาณโปรตีนลดลง เพราะถูกเจือจางด้วยน้ำ และได้รับน้ำตาลทรายเพราะมีการเติมน้ำตาลเพื่อให้มีรสหวานนำรสเปรี้ยว ปัจจุบันนมเปรี้ยวพร้อมดื่มเป็นผลิตภัณฑ์นมที่ได้รับความนิยมเพราะมีรสชาติ ที่อร่อย


7. นมคืนรูป (Reconstituted Milk หรือ Recombined Milk)

คือนมที่ทำมาจากการนำส่วนประกอบที่สำคัญของนม เช่น นมผงหรือนมผงพร่องมันเนย น้ำมันเนย มารวมกับน้ำ โฮโมจิไนซ์ให้เป็นเนื้อเดียวกัน มีลักษณะคล้ายนมสด ได้เป็นผลิตภัณฑ์นมคืนรูป และนำมาแปรรูปต่อเป็นนมข้นหวานหรือนมข้นจืด อาจมีการใช้ไขมันอื่นแทนน้ำมันเนย เช่นน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม เป็นต้น ได้เป็นนมคืนรูปแปลงไขมันเป็นการลดต้นทุนการผลิต แต่ต้องระบุฉลากให้ผู้บริโภคทราบ


8. นมข้นหวาน (Sweetened Condensed Milk)

เป็น นมที่มีน้ำน้อยกว่าที่มีอยู่ในน้ำนมดิบและมีการเติมน้ำตาลทรายเพื่อให้มี ความหวานมาก มักนิยมใช้ชงเครื่องดื่มต่างๆ ปริมาณน้ำตาลในนมข้นหวานประมาณ 47-56% ทำให้นมข้นหวานไม่เสื่อมเสียง่ายแม้เก็บที่อุณหภูมิห้อง

การผลิตนมข้นนั้นอาจใช้วิธีนำน้ำนมดิบมาระเหยน้ำออกไปบางส่วนหรืออาจใช้นมผง พร่องมันเนยผสมน้ำ เติมน้ำมันเนยหรือน้ำมันพืชแล้วไปผ่านกระบวนการ ทำให้เป็นเนื้อเดียวกันที่เรียกการโฮโมจิไนซ์ (hormogenization) และปรับมาตรฐานให้มีปริมาณน้ำในผลิตภัณฑ์ตามต้องการ ห้ามใช้นมข้นหวานเลี้ยงทารก เพราะนอกจากมีน้ำตาลมากแล้วจะมีสารอาหารอื่นๆ อยู่น้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของทารก


9. นมข้นจืดหรือนมข้นไม่หวาน (Unsweetened Condensed Milk) หรือ นมข้นแปลงไขมันไม่หวาน

มักบรรจุในกระป๋องและฆ่าเชื้อแบบสเตอริไรซ์ เพื่อให้มีอายุการเก็บนาน นมชนิดนี้ใช้สำหรับทำอาหารหรือขนมอบหรือใช้ใส่ในชา กาแฟ เป็นต้น


10. นมผง (Dried or Powder Milk)

เป็นนมที่ผ่านการระเหยเอาน้ำออกด้วยกรรมวิธีต่างๆ จนได้เป็นนมผง เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อาจแบ่งตามปริมาณไขมันเป็นนมผงธรรมดา (มีไขมันไม่น้อยกว่า 26%) นมผงพร่องมันเนย (มีไขมันประมาณ 1.5-26%) และนมผงขาดมันเนย (มีไขมันน้อยกว่า 1.5%) หรืออาจแบ่งตามการใช้เลี้ยงทารก


11. นมผงดัดแปลง (Humanized Milk หรือ Modified Milk)

เป็นนมผงสำหรับใช้เลี้ยงทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน เนื่องจากปริมาณโปรตีนและเกลือแร่ในนมโคผงสูงเกินไปสำหรับทารกจึงต้องมีการดัดแปลงให้มีสารอาหารต่างๆ ใกล้เคียงนมมารดามากที่สุด หรืออาจมีการเสริมสารอาหารบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อทารกให้มากกว่าที่มีปกติ ในนมมารดา ผู้บริโภคจึงควรขอความรู้จากกุมารแพทย์เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้ถูกต้อง


12. นมผงครบส่วน (Whole Milk)

เป็นนมโคที่มีการระเหยน้ำออก โดยไม่ต้องปรับปริมาณโปรตีนและเกลือแร่ให้ลดลง เพราะใช้สำหรับทารกอายุเกิน 6 เดือน และในเด็กโต เมื่อละลายน้ำตามสัดส่วนที่ถูกต้องจะได้คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงน้ำนมวัว


13. เนยแข็ง (cheese)

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม ครีม บัตเตอร์มิลค์ (Butter Milk) หรือเวย์ (Whey) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างมาผสมกับเอ็นไซม์หรือกรด หรือจุลินทรีย์จนเกิดการรวมตัวเป็นก้อน แล้วแยกส่วนที่เป็นน้ำออก นำมาใช้ในลักษณะสดหรือนำไปบ่มให้ได้ที่ก่อนใช้ เนยแข็งเหล่านี้เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีนและแคลเซียม


14. ครีม (cream)

คือไขมันที่ได้จากการปั่นแยกจากน้ำนม และมีไขมันนมเป็นส่วนประกอบสำคัญ มี 3 ประเภทคือ ครีมแท้ ครีมผสม และครีมเทียม นิยมใช้ในเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ขนมอบ เป็นต้น


15. เนย (Butter)

คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากครีมซึ่งผ่านกรรมวิธีการผลิตและอาจเติมวิตามิน หรือสารที่จำเป็นต่อกรรมวิธีการผลิต เช่น เกลือ วิตามินดี และเบต้าแคโรตีน เพื่อปรุงแต่งรสชาติและสี

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการปั่นแยกไขมันนมให้มีน้ำอยู่ในปริมาณต่ำ คือไม่เกิน 16% และมีไขมันไม่น้อยกว่า 80% หากมีการลดความชื้นจนต่ำกว่า 1% จะได้น้ำมันเนย (Butter Oil) ซึ่งนิยมใช้เป็นวัตถุดิบผสมกับนมพร่องไขมันในการทำผลิตภัณฑ์นมคืนรูป เนื่องจากไขมันในนมมีกรดไขมันสายสั้นปริมาณมากทำให้เนยมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่า และหืนได้ง่าย จึงควรเก็บในตู้เย็นถ้าต้องการให้เป็นก้อนและไม่ให้หืนเร็ว


16. ไอศกรีม (Ice Cream)

เป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำ อากาศ โปรตีน น้ำตาล และไขมัน ได้จากการปั่นส่วนประกอบต่างๆ เข้าด้วยกันที่อุณหภูมิต่ำจนน้ำในส่วนประกอบเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง ไขมันที่ใช้ทำอาจเป็นไขมันอื่นๆ แทนน้ำมันเนยได้ มีการเติมสารปรุงแต่ง สี กลิ่นรส และสารอิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier) ช่วยรักษาความคงตัวของอิมัลชั่นและฟองอากาศในไอศกรีม


เป็นยังไงบ้างคะสำหรับเกร็ดความรู้เรื่องนมที่นำมาฝากกัน นมนั้นมันมีประโยชน์ถ้าเลือกรับประทานให้ถูกค่ะ

จากคุณ : ploykarat - [ 3 ธ.ค. 51 21:46:48 ]





ทำอย่างไร ถึงจะตัวสูง ???สูง ไม่สูง เกิดจากอะไร ??? https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-08-2008&group=4&gblog=56

ทำอย่างไร ถึงจะตัวสูง อาหารเสริมความสูง ? เวบดร่าม่าแอดดิก https://drama-addict.com/?p=9106

นมเพิ่มความสูง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคลอสตรุ้ม(Colostrum)เพิ่มความสูงได้ ไม่จริง! อย่าหลงเชื่อ! https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-08-2017&group=4&gblog=131

ผ่าตัดเพิ่มความสูงทางลัดสู่ความสำเร็จหรือเจ็บปวด https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-08-2008&group=4&gblog=58

ผ่าตัดยืดกระดูก ให้สูงขึ้น ดีจริงหรือ ??? https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-08-2008&group=4&gblog=57

สารพัด " นม " ที่ควรรู้ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-12-2008&group=4&gblog=65




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2551   
Last Update : 1 มิถุนายน 2561 20:53:34 น.   
Counter : 6604 Pageviews.  

ข้อควรระวัง ในการใช้ คอนแท็กเลนส์





ข้อควรระวังในการใช้คอนแท็กเลนส์

การใส่คอนแท็กเลนส์ทำให้การส่งผ่านออกซิเจนระหว่างอากาศกับกระจกตาดำลดลง (กระจกตาดำต้องการออกซิเจนจากหน้าสัมผัสกับอากาศภายนอกโดยการละลายของออกซิเจนในน้ำตาผ่านเข้าไป)

ดังนั้น ผู้ใช้คอนแท็กเลนส์บางคนที่มีการสร้างน้ำตาบกพร่อง (ไม่ว่าจะเป็นในแง่ปริมาณ และ/หรือคุณภาพของน้ำตา) ทำให้การส่งผ่านออกซิเจน-น้ำตา-กระจกตาดำลดลง ผลก็คือ กระจกตาดำขาดอากาศหายใจ ทำให้เซลล์เยื่อบุผิวกระจกตาดำซึ่งมีบทบาทในการทำให้กระจกตาดำคงความใสอยู่ได้ตลอดเวลา ลดจำนวนลงไป ภูมิคุ้มกันของตา โดยเฉพาะ บริเวณกระจกตาดำลดลงไป เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น

อัตราของผู้ใช้คอนแท็กเลนส์ โดยดูแลอย่างถูกต้อง (ไม่ใส่ค้างคืน ไม่ขี้เกียจล้าง) อยู่ที่ ๑:๒๐๐:๑ ปี (ใน ๑ ปี คนใช้คอนแท็กเลนส์ อย่างถูกวิธี ๒๐๐ คน จะมี ๑ คน ที่เกิดการติดเชื้อทั้งที่รุนแรงและไม่รุนแรง)

เมื่อมีการติดเชื้ออย่างอ่อนๆ อาจมีอาการเพียงการคัน ระคายเคือง หรือมีน้ำตาไหลเท่านั้น ทำให้ร่างกายพยายามเอาระบบภูมิคุ้มกันมายังกระจกตาดำ (ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงโดยสิ้นเชิง) มากขึ้น หลอดเลือดที่เยื่อบุตาขาวจะขยายตัว ในผู้ที่เกิดการระคายเคืองการแพ้สารที่อยู่ในน้ำยาสารพัดอย่าง มีการขยายตัวของหลอดเลือดนี้ได้บ้างเหมือนกัน บางรายหลอดเลือดถึงกับงอกไปบนกระจกตาดำเลยครับ

ในบางประเทศ ทุกคนที่ใส่คอนแท็กเลนส์ต้องได้รับการตรวจพื้นฐาน ได้แก่ ความโค้งของกระจกตา (คอนแท็กเลนส์มีหลายความโค้ง การเลือกความโค้งให้เหมาะกับตาแต่ละคนก็เป็นเรื่องสำคัญ) ตรวจคุณภาพน้ำตา และโรคตาที่อาจยังไม่แสดงอาการก่อนที่จะเริ่มใส่คอนแท็กเลนส์ และในบางคนอาจได้รับคำแนะนำให้เลือกใช้วิธีแก้ไขสายตาอย่างอื่นแทน ทั้งที่ดูๆ เขาก็เป็นคนปกติ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องตามาก่อน

แต่ในประเทศเราซื้อขายง่ายครับ ซื้อตามร้านแว่นก็ได้แล้ว ถูกผิดก็ลองๆ กันไป...มีปัญหาค่อยหาหมออีกที ไม่ค่อยดีเลยนะครับ

นพ.ณวัฒน์ วัฒนชัย
บทความจาก : นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับ ๓๑๐
www.doctor.or.th email: fdf2pr@doctor.or.th

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

วิธีล้างคอนแทคเลนส์ ก่อนตาติดเชื้อ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


12 มิถุนายน 2558 07:28 น.(แก้ไขล่าสุด 12 มิถุนายน 2558 15:14 น.)
https://www.manager.co.th/QOL/viewnews.aspx?NewsID=9580000066359

โดย...สิรวุฒิ รวีไชยวัฒน์

แม้ปัญหาตาบอดของคนไทยจะมีสาเหตุมาจาก โรคตาต้อกระจก เป็นอันดับ 1 ก็ตาม แต่การใส่คอนแทคเลนส์แบบผิดๆ และไม่ดูแลรักษาคอนแทคเลนส์ให้ดีนั้น ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาติดเชื้อ จนลุกลามจนถึงขั้นต้องสูญเสียดวงตาและการมองเห็นอย่างถาวรได้เช่นกัน

       คราวนี้มาดูกันว่า การใช้งานคอนแทคเลนส์แบบผิดๆ มีอะไรกันบ้าง

นพ.ธีรวีร์ หงส์หยก ประธานคณะอนุกรรมการข่าวสารสัมพันธ์เพื่อประชาชน ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้คนนิยมใส่คอนแทคเลนส์มากขึ้น เพื่อความคล่องตัวที่มากกว่าการสวมแว่น ส่วนวัยรุ่นนิยมใส่คอนแทคเลนส์เพื่อความสวยงาม หรือ แฟชั่น เช่น ใส่คอนแทคเลนส์สีเพื่อเปลี่ยนสีดวงตา การใส่บิ๊กอาย ซึ่งจริงๆ แล้วในสหรัฐอเมริกา ถือว่าการใส่คอนแทคเลนส์ตาโตเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่เมืองไทยยังคงไม่สามารถควบคุมได้ จึงเห็นการขายกันเกลื่อนเมือง ซึ่งเลนส์ที่มีขนาดใหญ่ไม่พอดีกับกระจกตา ซึ่งคอนแทคเลนส์ปกติก็ทำให้ออกซิเจนเข้าไปถึงดวงตายากแล้ว ยิ่งคอนแทคเลนส์สี ซึ่งไม่ทราบว่าใช้สีอะไรมาทำ ก็ยิ่งไปป้องกันไม่ให้ออกซิเจนเข้าถึงดวงตาเข้าไปอีก จึงทำให้ดวงตาอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

       นพ.ธีรวีร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบการใช้คอนแทคเลนส์แบบผิดๆ ทั้งการซื้อคอนแทคเลนส์มือสอง หรือการยืมคอนแทคเลนส์สีของเพื่อนมาใส่ เพราะเห็นว่าสวยดี สิ่งเหล่านี้ไม่สมควรทำ เพราะปกติดวงตาเราจะมีเชื้อแบคทีเรียเกาะอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นอันตราย แต่เมื่อใส่คอนแทคเลนส์เชื้อเหล่านี้ก็จะไปเกาะอยู่ที่คอนแทคเลนส์ ทำให้เมื่อนำของมือสอง หรือของคนอื่นมาสวม อาจได้รับเชื้อติดผ่านทางตาได้ รวมไปถึงการใส่คอนแทคเลนส์แล้วนอนหลับ แม้จะมีการโฆษณาอออกมาว่าคอนแทคเลนส์ชนิดนี้ใส่นอนหลับได้ ก็ไม่ควรทำ เพราะเอื้อต่อการติดเชื้อมากขึ้น หรือแม้แต่การรักษาโรคทางตาบางอย่าง ที่ต้องใส่คอนแทคเลนส์นอน เช่น ใส่คอนแทคเลนส์นอนเพื่อปรับความโค้งของกระจกตา ตื่นเช้ามาถอดออก เพื่อปรับค่าสายตานั้น ก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ด้วยซ้ำ จึงไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำ

       “บางรายติดเชื้อแล้วรักษาได้ก็ดีไป แต่บางคนติดเชื้อแล้วแม้จะรักษาได้ แต่กระจกตาขุ่นมัว ไม่ใสเหมือนเดิม ทำให้มีปัญหาการมองเห็นไปตลอดชีวิต หากจะรักษาก็ต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา แต่ดำเนินการได้ยาก เพราะประเทศไทยยังมีการบริจาคกระจกตาที่น้อยอยู่”

       สำหรับการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ นพ.ธีรวีร์ ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากเก็บรักษาไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกัน

       “ถ้าจำเป็นต้องใช้คอนแทคเลนส์ต้องดูแลรักษาให้ดี ลดโอกาสการที่คอนแทคเลนส์จะสัมผัสกับน้ำ โดยเฉพาะการอาบน้ำ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่แช่น้ำก็จำเป็นต้องถอดออก โดยการใช้คอนแทคเลนส์นั้น ก่อนจับจะต้องล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าสะอาดหรือทิชชูที่ไม่เป็นขุย เมื่อใส่คอนแทคเลนส์แล้วมีอาการตาแห้ง แนะนำว่าควรใช้ยาหยอดตาก่อนใส่คอนแทคเลนส์ หรือระหว่างวันก็ควรถอดคอนแทคเลนส์ก่อนแล้วค่อยหยอดตา แต่หากจะหยอดตาระหว่างใส่คอนแทคเลนส์ก็สามารถทำได้ แต่จะต้องเลือกน้ำยาหยอดตาที่ระบุว่าผสมสารกันบูดแบบสลายได้ หรือไม่ใส่สารกันบูด เพราะจะมีความอ่อนโยนกว่า และป้องกันสารกันบูดไปเกาะกับเลนส์จนเกิดความผิดปกติของดวงตาได้ ทั้งนี้ ยาหยอดตาแบบไม่มีสารกันบูด อายุการใช้งานจะน้อยแค่ 1 วัน เหมาะกับคนที่ตาแห้งมากๆ ต้องหยอดบ่อยๆ”

       นพ.ธีรวีร์ กล่าวว่า ส่วนหลังถอดคอนแทคเลนส์นั้น ให้ล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ แต่ที่พบส่วนมากมักจะแช่ไว้เฉยๆ ในตลับ ซึ่งไม่ถูกต้อง จะต้องมีการถูและล้างระหว่างอุ้งมือและนิ้วมือด้วย จากนั้นจึงค่อยแช่ในน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ในตลับ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า จะฆ่าเชื้อโรคได้มากกว่า ที่สำคัญห้ามล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำเปล่า ส่วนตลับใส่คอนแทคเลนส์ควรใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ทำความสะอาดด้วย และคว่ำไว้ให้แห้ง ห้ามใช้น้ำเปล่าล้างเช่นกัน นอกจากนี้ น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ต้องใช้ของใหม่เสมอ เพราะของเก่าจะมีเชื้อโรคปน ไม่ควรถ่ายใส่ภาชนะอื่นเพื่อพกพาไปข้างนอก เพราะอาจติดเชื้อจากภาชนะอื่นได้ ส่วนคนนานๆ ใส่คอนแทคเลนส์ที ไม่ควรแช่คอนแทคเลนส์นานๆ เพราะน้ำยาล้างจะเสื่อมประสิทธิภาพลง ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ ต้องเปลี่ยนน้ำยาบ่อยๆ หรือใช้แบบรายวันจะดีกว่า

::::::::::::::::::::::::::::











 

Create Date : 03 ธันวาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2560 13:19:29 น.   
Counter : 3742 Pageviews.  

ถ้าพ่อแม่ กรุ๊ป AB ลูกต้องกรุ๊ป AB เท่านั้น ใช่มั้ยครับ กรุ๊ปอื่นได้มั้ย ????

ว่าจะเขียนนานแล้ว ก็ลืมไป ...

พอดี ไปอ่านในกระทู้ มีสมาชิกเขียนไว้ ละเอียดมาก ๆ ก็เลยขอเอาลงไว้เลยละกัน ...

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7185543/L7185543.html

ถ้าพ่อแม่ กรุ๊ป AB ลูกต้องกรุ๊ป AB เท่านั้น ใช่มั้ยครับ กรุ๊ปอื่นได้มั้ย

มีสิทธิ เป็นกรุ๊ปอื่นได้หรือไม่หรือไม่
ก็ต้องไม่เป็น AB ครับ งง มาก ครับ

จากคุณ : ท่านวัช -




ถ้าเราจำไม่ผิด เป็นอย่างภาพคะ

คือ A AB และ B
เพราะ A และ B ต่างเป็นยีนส์เด่น ข่มกันไม่ลงคะทำให้ต้องแสดงออกมาทั้งสอง(ลักษณะนามว่าอะไรนะคะ -*-)

แบบนั้นคะ

ปล.ถ้าไม่ถูกช่วยแก้ไขด้วยคะ ><


จากคุณ : Mi Lady & Mi Lord



ความคิดเห็นที่ 5

ไม่จำเป็นค่ะ ลูกอาจจะมีกรุ๊ปเลือดเป็น A, B หรือ AB ก็ได้ค่ะ
เพราะว่า ในพันธุกรรมของเราจะมียีนส์จากพ่อและแม่
ขึ้นอยู่กะกว่ามันจะจับกันได้ตัวไหน
เพราะงั้นกรุ๊ปเดียวที่ลูกไม่มีสิทธ์เป็นในกรณีคือกรุ๊ปโอค่ะ

อย่างถ้าพ่อเป็นเอบี แม่เป็นกรุ๊ปเอ
อย่างงี้ลูกก็มีโอกาส เป็นกรุ๊ป เอ หรือ เอบี เท่านั้นค่ะ

อีกกรณีพ่อเอบี แม่กรุ๊ปโอ ลูกจะเป็นกรุ๊ป เอ หรือ บีเท่านั้น
เพราะว่าเอบี เป็นยีน เด่น ส่วน โอ เป็นยีนด้อย
เพราะงั้นเวลามันจับคู่กันยีนส์เด่นจะเป็นตัวเอกค่ะ

แต่ถ้าพ่อและแม่เป็นกรุ๊ปโอ ลูกก็จะเป็นกรุ๊ปโอเท่านั้นค่ะ

**พิมพ์ช้าไปหน่อย มีคนมาตอบไปแล้ว -*-


จากคุณ : trouble maker



ความคิดเห็นที่ 7

พ่อ แม่กรุ๊ปเลือดใด จะมีลูก ที่มีเลือดกรุ๊ปใดได้บ้าง
ให้ นึกภาพว่ายีนส์ ของคนนั้นจะมีสองอันประกบกันเป็นคู่ อันนึงได้จากแม่ อีกอันได้จากพ่อ และจะแยกตัว ออกเป็นสองข้าง ในเซลสืบพันธ์ เพื่อไปจับคู่กับอีกครึ่งหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม

ลักษณะของยีนส์ ในกรุ๊ปเลือดต่างๆ (โดยยีนส์นั้นเป็นตัวกำหนดให้ร่างกายสร้าง Antigen นั้นๆบนผิวเม็ดเลือดแดง)
Group A = มียีนส์ AO หรือ AA
Group B = มียีนส์ BO หรือ BB
Group AB = มียีนส์AB
Group O = มียีนส์ OO

ทีนี้มาดู ว่า พ่อ กับแม่ แม่กรุ๊ปใด ให้ลูก กรุ๊ปใด ได้บ้าง

กรณีที่ 1 ทั้งสองฝ่าย group A เหมือนกัน จะเป็นได้ดังนี้
ถ้าพ่อแม่เป็น AA+ AA ลูกจะเป็น AA ร้อยเปอร์เซนต์ (Group A ทั้งหมด)
ถ้าพ่อแม่เป็น A0 +AA ลูกจะเป็น AO กับ AA อย่างล่ะครึ่ง( แต่ก็เป็น Gr A ทั้งหมด)
ถ้าพ่อแม่เป็น A0 + AO ลูกจะเป็น AO 50% กับ AA กับ OO อย่างล่ะ 25% (เป็น Gr A 75% กับ O 25%)

ใน ทางปฏิบัติ คนกรุ๊ป A เราไม่ทราบหรอกครับ ว่ามันเป็น AA หรือ AO แต่จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ลูกก็จะมีโอกาสเป็นได้แค่ Gr A หรือ O เท่านั้น
กรณีที่ 2 ทั้งสองฝ่ายกรุ๊ป B เหมือนกัน
ก็ จะเหมือนกับ กรณีของ A ข้างบน แต่เปลี่ยนเป็น จาก A เป็น B เท่านั้น

กรณีนี้ จะได้ลูกแค่ Gr B และ O เท่านั้น
กรณีที่ 3 ทั้งสองฝ่ายเป็น AB เหมือนกัน จะเป็นดังนี้
AB+AB จะได้ ลูก AB 50% กับ AA และ BB อย่างล่ะ 25%

กรณีนี้จะได้ลูก Gr AB 50% และ A กับ B อย่างล่ะ 25% ไม่มีกรุ๊ป O เลย
กรณีที่ 4 ทั้งสองฝ่ายกรุ๊ป O เหมือนกัน จะได้ ดังนี้
OO+OO จะได้ลูก เป็น OO 100%

กรณีนี้จะได้แต่ลูกกรุ๊ป O เท่านั้น ไม่มีกรุ๊ปอื่นปน
กรณีที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง Group A อีกฝ่ายกรุ๊ป B จะเป็นได้ดังนี้
AA + BB = ลูกได้ AB ร้อยเปอร์เซ็นต์(Gr AB ทั้งหมด)
AO + BB = ลูกได้ AB ครึ่งนึง กับ BO ครึ่งนึง (Gr AB กับ Gr B อย่างล่ะครึ่ง)
AA + BO = ลูกได้ AB กับ AO อย่างล่ะครึ่ง (Gr AB กับ Gr A อย่างล่ะครึ่ง)
AO+BO = ลูกได้ AB ,AO, BO, OO อย่างล่ะ 25% ( มีได้ทุกกรุ๊ป อย่างล่ะ 25% )

กรณีนี้ จะเห็นได้ว่า ถ้าพ่อแม่ คนนึง Gr A อีกคน B จะมีลูกได้ ทุกกรุ๊ปเลย
กรณี 6 ฝ่ายหนึ่งกรุ๊ป A อีกฝ่าย AB จะเป็นได้ดังนี้
AA + AB จะได้ลูก AA และ AB อย่างล่ะครึ่ง(ได้ลูกกรุ๊ป A และ AB อย่างล่ะครึ่ง)
AO +AB จะได้ลูก AA ,AO, AB, BO อย่างละ 25% (ได้ลูกกรุ๊ป A 50% และ กรุ๊ปAB กับ กรุ๊ป B อย่างล่ะ 25%)

กรณีนี้จะเห็นว่า ถ้า ฝ่ายหนึ่งเป็น A อีกฝ่ายเป็น AB จะได้ลูก กรุ๊ป A ,AB, B ได้ แต่ ไม่มีทางเป็น Gr O
กรณีที่ 7 ฝ่ายหนึ่ง AB อีกฝ่าย B จะเป็นได้ดังนี้
AB + BB จะได้ลูก BB และ AB อย่างล่ะครึ่ง(ได้ลูกกรุ๊ป A และ AB อย่างล่ะครึ่ง)
AB +BO จะได้ลูก BB ,BO, AB, AO อย่างละ 25% (ได้ลูกกรุ๊ป B 50% และ กรุ๊ปAB กับ กรุ๊ป A อย่างล่ะ 25%)

กรณีนี้จะเห็นว่า ถ้า ฝ่ายหนึ่งเป็น AB อีกฝ่ายเป็น B จะได้ลูก กรุ๊ป A ,AB, B ได้ แต่ ไม่มีทางเป็น Gr O เหมือนกัน กับกรณีที่ 4
กรณีที่ 8 ฝ่ายหนึ่ง Gr AB อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้
AB + OO จะได้ AO กับ BO

กรณีนี้จะได้ลูก กรุ๊ป A กับ B ไม่มี AB และ O
กรณีที่ 9 ฝ่ายหนึ่ง Gr A อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้
AA + OO ได้ AO ทั้งหมด (กรุ๊ป A ทุกคน)
AO + OO ได้ AO กับ OO อย่างละ50% (

กรณีนี้จะได้ลูก Gr A กับ O อย่างล่ะครึ่ง ไม่มี กรุ๊ป B กับ AB
กรณีที่ 10 ฝ่ายหนึ่ง Gr B อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้
BB + OO ได้ BO ทั้งหมด (กรุ๊ป B ทุกคน)
BO + OO ได้ BO กับ OO อย่างละ50%

กรณีนี้จะได้ลูก Gr B กับ O อย่างล่ะครึ่ง ไม่มี กรุ๊ป A กับ AB

สรุปจากสิบกรณี ข้างบนมาให้ดูง่ายๆคือ



คนหมู่เลือด A +A = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,O

คนหมู่เลือด B+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด B,O

คนหมู่เลือด AB+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B (ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)

คนหมู่เลือด O+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด O เท่านั้น

คนหมู่เลือด A+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด เป็นได้ทุกกรุ๊ป

คนหมู่เลือด A+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B(ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)

คนหมู่เลือด B+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B(ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)

คนหมู่เลือด AB+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด ได้ A หรือ B

คนหมู่เลือด A+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ O

คนหมู่เลือด B+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด B หรือ O

คนหมู่เลือด A+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A.,B,AB,O


จากคุณ : ozbygirl


ขอบคุณทุก ๆ ท่านด้วยคร๊าบบบบบบบบบบบ




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2551 12:17:24 น.   
Counter : 10556 Pageviews.  

มะเร็งตับ มะเร็งขั้วตับ เป็นยังไง มายังไง (โรคที่สังคมและคนสนใจในช่วงนี้ ?)

มีสมาชิก ให้ห้องสวนลุม นำมาลงไว้ ผมก็ขอนำมาลงต่ออีกที ...




มะเร็งขั้วตับ เป็นยังไง มายังไง (โรคที่สังคมและคนสนใจในช่วงนี้ ?)

โดย นายแพทย์ วีรวุฒิ อิ่มสำราญ
รองผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ศัลยแพทย์ตับ ตับอ่อนและทางเดินน้ำดี

มะเร็งขั้วตับ กำลังเป็นที่สนใจของสังคม
หลายคนเกิดความสงสัยและตั้งคำถามถึงเจ้ามะเร็งชนิดนี้กันมากว่า
มีที่มาที่ไปอย่างไร
ไม่ค่อยคุ้นหูกับโรคมะเร็งชนิดนี้ ส่วนใหญ่มักได้ยินแต่มะเร็งตับ

จึงถือโอกาสนี้เอาเรื่องมะเร็งขั้วตับมาเล่าสู่กันฟัง

มะเร็งขั้วตับ ไม่ได้เป็นโรคใหม่ที่เพิ่งค้นพบแต่อย่างใด
เพียงแต่บอกตำแหน่งของก้อนมะเร็งให้ชัดเจนลงไปมากขึ้นว่า
มันอยู่บริเวณขั้วตับ

คำถามที่ตามมาของคนอยากรู้อยากเห็นก็คือว่า
แล้วตรงตำแหน่งขั้วตับกับตำแหน่งอื่นๆ ในตับ
มันแตกต่างกันอย่างไร
ส่งผลอย่างไรต่อการรักษา
รักษายากง่ายอย่างไร

ตรงนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะมีผลต่อเวลาที่ผู้ป่วยจะมีชีวิตเหลืออยู่โดยตรง

ถ้าจะแบ่งตำแหน่งของก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นที่ตับ
ให้เข้าใจและเห็นภาพได้ง่ายขึ้น อาจแบ่งเป็น 3 ตำแหน่งหลัก คือ
ที่ผิวตับ
ในเนื้อตับ
และตำแหน่งที่เรากำลังสนใจอยู่ตอนนี้คือ ที่ขั้วตับ

คำถามที่ตามมาก็คือ
ตำแหน่งไหนรักษายากที่สุด
ตำแหน่งไหนอันตรายที่สุด
ตำแหน่งไหนส่งผลที่ตามมา ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงเร็วที่สุด

ถ้าพิจารณาเปรียบเทียบ
โดยให้ตัวแปรอื่นๆ ที่สำคัญเหมือนกัน อาทิ
ขนาดของก้อน คุณภาพตับในส่วนที่ไม่เป็นมะเร็ง ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า

บริเวณขั้วตับเป็นตำแหน่งที่อันตรายที่สุด
และส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ
และระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ของผู้ป่วยมากที่สุดเช่นกัน

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น น่าจะเป็นคำถามที่ตามมาติดๆ

ก่อนอื่นอยากให้ผู้อ่านลองหลับตานึกภาพตับ
ที่อยู่ใต้ชายโครงขวาทอดตัวขวางมาถึงตรงกลางใต้ลิ้นปี่

บริเวณพื้นผิวด้านล่างช่วงกึ่งกลางระหว่างลิ้นปี่กับชายโครงขวา
เป็นจุดที่เรียกว่าขั้วตับ

ขนาดของพื้นที่บริเวณขั้วตับประมาณได้กับขนาดของไข่ไก่
เป็นบริเวณที่มีความสำคัญมาก
เนื่องจากเป็นที่รวมของโครงสร้างสำคัญ 3 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 หลอดเลือดแดง
ที่นำเลือดดีมาเลี้ยงตับเช่นเดียวกับอวัยวะทั่วไป

ส่วนที่ 2 หลอดเลือดดำ
ที่นำเลือดดำจากอวัยวะส่วนใหญ่ในช่องท้องผ่านเข้าสู่ตับ
ก่อนกลับเข้าสู่หัวใจ

และส่วนที่ 3 คือท่อน้ำดี
ที่รับน้ำดีที่ถูกสร้างภายในตับลงสู่ลำไส้เล็ก

โดยโครงสร้างทั้ง 3 ส่วนนั้นมีพังผืดหุ้มล้อมรอบ
จึงอยู่เคียงข้างกันตลอดเส้นทาง นับตั้งแต่บริเวณขั้วตับ
จนเข้าสู่ภายในเนื้อตับ

เจ้าสามเกลอที่ว่านี้จะอยู่แนบสนิท
รักใคร่สามัคคีกลมเกลียว ไปไหนไปด้วยกันตลอดทาง
จนถึงระดับเซลล์ตับ

จากการอยู่ใกล้ชิดกันของ 3 โครงสร้างบริเวณขั้วตับเช่นนี้
ส่งผลเสียทำให้การลุกลามของโรคแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
และมีผลต่อการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัดที่จะกล่าวต่อไป

อีกประเด็นหนึ่งที่หลายคนชอบถาม
(เผื่อจะได้รีบสังเกตตัวเองไว้แต่เนิ่นๆ)
คืออาการแรกเริ่มของมะเร็งขั้วตับ

ก่อนจะกล่าวถึงอาการ
จำเป็นต้องกล่าวถึงประเภท
หรือชนิดของมะเร็งที่มักเกิดที่ตำแหน่งขั้วตับเสียก่อน
เนื่องจากอาการจะเป็นอย่างไรนั้น ส่วนใหญ่มักขึ้นกับชนิดของมะเร็ง

ก่อนอื่นต้องขอปูพื้นความรู้เบื้องต้นก่อนว่า
มะเร็งที่เกิดขึ้นที่ตับ
หาได้เกิดขึ้นจากเซลล์ที่อยู่ในตับเพียงอย่างเดียวไม่
ยังเกิดจากเซลล์มะเร็งของอวัยวะอื่นที่กระจายมาที่ตับ

โดยส่วนใหญ่มาทางกระแสเลือด เช่น
มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งรังไข่ ฯลฯ


เรียกได้ว่า มะเร็งของทุกอวัยวะในร่างกาย
สามารถแวะมาพำนักพักพิงที่ตับได้ทั้งสิ้น

จากการที่ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
และมีเลือดมาเลี้ยงมากที่สุด
ไฉนเลยเซลล์มะเร็งจากอวัยวะอื่นๆ จะไม่หลุดมาติดที่ตับได้บ้าง

แต่มะเร็งขั้วตับส่วนใหญ่
ไม่ได้เกิดจากเซลล์มะเร็งที่อวัยวะอื่นแพร่กระจายมา
มะเร็งขั้วตับส่วนใหญ่เกิดจากเซลล์ในเนื้อตับ

ซึ่งแบ่งคร่าวๆ ได้ 2 ประเภทหลัก คือ
มะเร็งเซลล์ตับ และมะเร็งเซลล์ท่อน้ำดี

มะเร็งขั้วตับส่วนใหญ่มักเป็นมะเร็งเซลล์ท่อน้ำดี
มากกว่ามะเร็งเซลล์ตับ

อาการที่ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์
ส่วนใหญ่เป็นอาการตัวเหลืองตาเหลือง อาการปวดท้อง
ซึ่งเป็นอาการหลักของมะเร็งเซลล์ท่อน้ำดี

มากกว่าอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ซึ่งเป็นอาหารหลักของมะเร็งเซลล์ตับ

โดยมะเร็งเซลล์ท่อน้ำดีบริเวณขั้วตับเมื่อผู้ป่วยมีอาการ
ก้อนเนื้อที่พบมักมีขนาดเล็ก เนื่องจากเกิดขึ้นภายในท่อน้ำดีโดยตรง
ก้อนเนื้อขนาดไม่ต้องใหญ่โตมากก็ทำให้เกิดท่อน้ำดีอุดตัน

ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง
และมักมีอาการคันตามตัวร่วมด้วย

อาการปวดท้อง
อาจเกิดจากภาวะน้ำดีคั่งในตับ
หรือจากเซลล์มะเร็งลุกลามไปอวัยวะข้างเคียง

นอกจากนั้น
จากการที่ท่อน้ำดีบริเวณขั้วตับอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับ
หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ
ทำให้ส่วนใหญ่มักมีการลุกลามของมะเร็ง
ไปสู่หลอดเลือดทั้งสองไม่มากก็น้อย
ส่งผลให้เกิดการกระจายของเซลล์มะเร็งไปสู่อวัยวะอื่น
โดยผ่านทางกระแสเลือด
และแน่นอนที่สุด
ทำให้การผ่าตัดเพื่อหวังผลหายขาดมีโอกาสน้อยลง

ในขณะที่มะเร็งเซลล์ตับบริเวณขั้วตับนั้น
โอกาสเกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลืองมักมีน้อยกว่า
ส่วนใหญ่มักพบในก้อนที่มีขนาดใหญ่กว่า
และกดเบียดท่อน้ำดีบริเวณขั้วตับ

การรักษามะเร็งขั้วตับที่เป็นที่ยอมรับว่าให้ผลการรักษาดีที่สุดคือ
การผ่าตัดเอาก้อนเนื้อรวมถึงเนื้อเยื่อปกติโดยรอบออก

เมื่อประมาณ 50 ปีก่อน
มะเร็งขั้วตับถูกจัดเป็นโรคที่ไม่สามารถผ่าตัดออกได้

เนื่องจากผู้ป่วยมักเสียชีวิตบนเตียงผ่าตัดหรือหลังผ่าตัดไม่นาน
เนื่องจากเสียเลือดจำนวนมาก

ในระยะหลัง เมื่อความรู้ทางกายวิภาคของบริเวณขั้วตับดีขึ้น
และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับการพัฒนามากขึ้น
ทำให้การผ่าตัดบริเวณขั้วตับมีความปลอดภัยมากขึ้น
แต่ก็ยังอันตรายกว่าตำแหน่งอื่นๆ ในตับอยู่ดี

ในขณะที่การฉายรังสี
การใช้ยาเคมีบำบัด ได้ผลการรักษาไม่ค่อยดี
เมื่อเทียบกับมะเร็งของอวัยวะอื่น

ประเด็นสำคัญในเรื่องการรักษาอยู่ที่
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ 8 ใน 10 รายเมื่อมาพบแพทย์
ไม่อยู่ในสภาพที่สามารถให้การผ่าตัดเพื่อการหวังผลหายขาดได้

อาจเนื่องจากก้อนมะเร็งที่ลุกลามไปมาก
หรือสภาพร่างกายของผู้ป่วยที่ไม่สามารถทนการผ่าตัดที่ยาวนานได้

ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักได้รับการรักษาแบบประคับประคอง
มีเพียง 2 รายที่เหลือที่สามารถผ่าตัดเอาก้อนออกได้
ทั้งนี้ ขึ้นกับหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ในการผ่าตัดมะเร็งตับ

เนื่องจากการผ่าตัดตับมีอันตรายมากกว่าอวัยวะอื่น
จากการที่ตับเป็นอวัยวะที่มีเลือดมาเลี้ยงมากที่สุด

และที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่ง
ในการผ่าตัดตับที่แตกต่างจากอวัยวะอื่น คือ

การตัดอวัยวะอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่เป็นมะเร็ง
หลายอวัยวะสามารถตัดออกได้เกือบหมดหรือทั้งหมดอวัยวะนั้น

ในขณะที่การตัดเนื้อตับออกมีความพิถีพิถันมากกว่า
เพราะการตัดเนื้อตับออกมากเกินไปเพียงเล็กน้อย
ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตจากภาวะตับวายหลังผ่าตัด
จากการที่เนื้อตับส่วนที่เหลือไม่เพียงพอในการทำงานปกติของร่างกาย

นอกจากนั้น
หากเนื้อตับส่วนที่เหลือมีความผิดปกติจาก
ไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือชนิดซีเรื้อรัง
หรือมีภาวะตับแข็งร่วมด้วย
ยิ่งทำให้โอกาสตัดก้อนมะเร็งออกเพื่อหวังผลหายขาดน้อยลงโดยลำดับ

คำถามที่เกี่ยวกับพยากรณ์โรคหรือผู้ป่วยจะอยู่ได้นานแค่ไหน
เป็นคำถามยอดฮิตอีกคำถามหนึ่ง
ที่แพทย์ผู้ไม่ได้รักษาผู้ป่วยโดยตรงไม่อาจฟันธงได้

ทั้งนี้ เนื่องจากต้องการข้อมูลอีกหลายด้าน อาทิ
ชนิดของมะเร็ง ระยะของโรคมะเร็ง คุณภาพเนื้อตับที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง
และสภาพร่างกายโดยรวม
เช่น โรคประจำตัวอื่นๆ ของผู้ป่วย

มะเร็งตับและท่อน้ำดีเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในเพศชาย
และสาเหตุการตายอันดับหนึ่งในเพศชายของประเทศไทย
ติดต่อกันมาหลายปี

ก่อนจาก
อยากกล่าวถึงศักยภาพด้านการรักษามะเร็งตับของประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย
ความรู้ความสามารถของแพทย์และทีมงาน การฉายรังสี
การใช้ยาเคมีบำบัด การใช้คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ การผ่าตัดมะเร็ง
การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

ผู้ป่วยคงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปรักษาตัวในต่างประเทศ
เว้นเสียแต่ว่ามีเหตุผลอื่นร่วมด้วย

จาก นสพ. มติชนรายวัน
วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11185


จากคุณ : Learn and Live



ความคิดเห็นที่ 1

ถือว่าเป็นความรู้ด้านโรคภัยที่อันตรายมากโรคหนึ่งที่ควรรู้

จะได้ระวังและดูแลร่างกายให้ดี
เพราะการป้องกันน่าจะดีกว่าการรักษา


พี่ชายผมก็เป็นโรคมะเร็งตับ เสียชีวิตหลายปีแล้ว
แต่ไม่ได้สอบถามแพทย์ที่รักษาว่าเกิดที่ส่วนไหน

ตั้งแต่รู้ว่าเป็นโรค ระยะ 3-4
เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน
ใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือน ก็เสียชีวิต

-------------------------------------------------------------------------

สาเหตุหลักของการเกิดมะเร็ง

ความเครียด ที่สะสมทุกวัน ไม่ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น
ควรปล่อย-วางสิ่งที่ต้องการ คาดหวังลงบ้าง ทำจิตใจให้สบาย ๆ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะได้หลั่งสารเอนโดฟิน นั่งสมาธิ ฯลฯ

จะช่วยให้ความเครียดลดลงทุกวัน
และไม่เพิ่มความเครียดในสิ่งที่ไม่จำเป็นลงได้

ทานอาหารที่มีสารพิษ เช่น ทานปลาน้ำจีดแบบดิบ
โดยเฉพาะทางภาคอีสาน เป็นมะเร็งตับมากที่สุดในประเทศไทย
จึงควรเลือกทานอาหารที่สุกใหม่ ๆ จะดีที่สุด

ทานอาหารที่มีเชื้อราอัลฟาท๊อกซินบ่อย ๆ เช่น
ทานถั่วป่น พริกป่น อยู่เป็นประจำ
คนที่มีโอกาสเป็น เช่น ทานก๋วยเตี๋ยวแห้ง ผัดไทย เพราะต้องใส่
ถั่วป่น เพื่อชูรส
(เชื้อราอัลฟาท๊อกซิน ทำลายไม่ได้ที่อุณหภูมิที่ 100 C ต้องสูงกว่านั้น
มากว่า 200 C )

ผมเลิกใส่ถั่วป่น พริกป่น ในอาหาร ก้วยเตี๋ยว ผัดไทย
มานานหลายปีแล้ว ปัจจุบันทานก๋วยเตี๋ยว โดยไม่ใส่เครื่องปรุงเลย


ทานอาหารที่มีสารพิษเป็นประจำ เช่น ล้างผักไม่สะอาด
ทานผักชนิดเดียวกันซ้ำ ๆ กัน ควรเปลี่ยนชนิดของผักที่ทานบ่อย ๆ

มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ทานเหล้า เป็นประจำ
เช่น เมื่อก่อนผมก็สูบบุหรี่ วันละ 1 ซองเป็นอย่างต่ำ
แต่เลิกสูบมาหลายปีแล้ว และหันมาทานอาหารแนวชีวจิต
แมคโครไบโอติก เพื่อช่วยให้ร่างกายรับอาหารดี ๆ ทดแทน
สารพิษที่รับเมื่ออดีต อาจช่วยลดให้การเกิดมะเร็งลดน้อยลง
ผมหวังว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ?

ฯลฯ

ขอให้โชคดี มีสุขภาพแข็งแรงทุกคน และตลอดไปนะครับ

จากคุณ : Learn and Live









 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 12 มิถุนายน 2563 21:23:06 น.   
Counter : 3043 Pageviews.  

ปัญหาดวงตาจากจอคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม)




 


ปัญหาดวงตาจากจอคอมพิวเตอร์

คนที่เล่นอินเทอร์เน็ตประจำ อ่านข้อความบนจอคอมพิวเตอร์ที่มีพื้นหลังสีขาวจะรู้สึกแสบตามาก ควรจะปรับ contrast ให้ลดต่ำลง ปรับสีพื้นหลังเป็นสีเขียวเข้มและสีฟ้า-น้ำเงิน ที่ไม่สดมาก หากเป็นจอคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ดูแล้วรู้สึกจ้า เคืองตามาก ให้ใช้แผ่นกรองแสง

ขณะนั่งอ่านข้อความหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ตาเราจะกะพริบด้วยความถี่น้อยกว่าปกติ (การกะพริบตาปกติจะประมาณ 1 ครั้งทุก 5 วินาที ซึ่งเป็นการเอาน้ำตามาเคลือบด้านหน้าของกระจกตาดำ ให้คงความชื้นเสมอ และเป็นการล้างเอาสิ่งสกปรกออก) หากรู้สึกล้า ปวดตา ควรหยุดพักทันที

การเล่นอินเทอร์เน็ต แต่ละครั้งไม่ควรมากกว่า 45-60 นาที ควรมีช่วงพักไปมองอะไรที่ไกลตาออกไป (มากกว่า 6 ฟุต) ประมาณ 5-10 นาที แล้วค่อยกลับมานั่งหน้าจอกันใหม่ การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ระยะใกล้นานๆ การโฟกัสตาต้องใช้กล้ามเนื้อตามากกว่าการมองไกล ถ้ามองนานๆ บางคน อาจมีการเกร็งค้างของกล้ามเนื้อตา ทำให้มองเห็นระยะไกลมัวไปได้

การจัดวางคอมคอมพิวเตอร์ ก็ควรทำให้ถูกท่าทาง คือ

วางจอในระดับต่ำกว่าสายตาเล็กน้อย และไม่ต่ำไปกว่าระดับราวนม (ระดับของกึ่งกลางจอภาพ)

ในขณะที่คีย์บอร์ด ควรอยู่ระดับราวนมถึงระดับเอว

ระยะห่างจากหน้าจอประมาณ 1 ฟุต





นพ.ณวัฒน์ วัฒนชัย


-------------------------------------------------------------------



นักเขียนรับเชิญ : พญ.จุฑาไล ตันฑเทิดธรรม
Fri, 01/12/2538 - 00:00 — somsak


การใช้คอมพิวเตอร์กับสายตา


การใช้คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เราอาจใช้คอมพิว-
เตอร์ในการบันทึกข้อมูล ต้นหาข้อมูลและอื่น ๆ สำหรับเด็กมักใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม ซึ่งเด็กบางคนก็เล่นติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง

เนื่องจากมีการใช้คอมพิวเตอร์กันอย่างแพร่หลาย จึงมีคำถามมากมายว่าการใช้คอมพิวเตอร์มีอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ มีอันตรายต่อสายตา หรือมีผลทำให้เกิดโรคตา หรือมีอันตรายต่ออวัยวะส่วนอื่น ๆ หรือไม่ คำถามนี้คงยากที่จะให้คำตอบที่แน่ชัดลงไปร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัด แต่มีข้อมูลบางอย่างซึ่งคิดว่าน่าจะรู้ไว้

มีผู้ทำการทดลองในผู้ที่ใช้จอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานกว่าหรือเท่า กับ 2 ชั่วโมง พบว่าจะมีอาการผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น มีสายตาพร่ามัวเป็นพัก ๆ รู้สึกตาแห้ง แสบตา ตาสู้แสงไม่ได้ ปรับภาพในระยะใกล้ไกลได้ไม่ดี ปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดไหล่ อย่างไรก็ตามคนที่ทำงานใกล้ ๆ เช่น อ่านหนังสือเป็นเวลานาน ๆ แม้ไม่ใช้จอคอมพิวเตอร์ก็อาจมีอาการเหล่านี้ได้

ทำไมคนที่ใช้สายตาในระยะใกล้ จึงมีอาการปวดตา ไม่สบายตา ทั้งนี้ เนื่องจากการทำงานที่ใช้สายตาในระยะใกล้ จำเป็นต้องอาศัยการหดเกร็งของกล้ามเนื้อตา เมื่อมีการใช้กล้ามเนื้อเป็นเวลานานก็มีการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตา เช่นเดียวกับการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อแขนขาเวลาที่เราวิ่งนาน ๆ การเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตาจะแสดงออกมาในรูปของการปวดตา เมื่อยตา อยากจะหลับตา
นอกจากนี้ ในคนปกติจะมีการกะพริบตาเป็นระยะ ๆ เพื่อให้น้ำตากระจายหล่อเลี้ยงทั่วลูกตา แต่ในเวลาที่เราทำงาน เช่น อ่านหนังสือ หรือดูจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะน้อยลง ทำให้น้ำตาระเหย
ออกไปมากกว่าปกติ ลูกตามีน้ำหล่อเลี้ยงตาน้อยกว่าปกติทำให้กระจกตาแห้ง เราจึงรู้สึกแสบตา รู้สึกว่าตาแห้งหลับตาได้ลำบาก หรือในรายที่เป็นมาก ๆ อาจเกิดแผลขนาดเล็ก ๆ ที่กระจกตาได้ ปัญหาเรื่องน้ำตานี้หากเป็นสาวสำนักงานที่ใส่คอนแทคเลนส์ จะมีปัญหานี้มากกว่าคนที่ไม่ใส่คอนแทคเลนส์ เพราะการใส่คอนแทคเลนส์ต้องอาศัยน้ำตาเป็นอย่างมาก

การใช้สายตาในระยะใกล้เป็นเวลานาน ๆ ไม่ได้มีผลต่อเรื่องสายตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีผลต่อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายด้วย เช่น กล้ามเนื้อคอ ไหล่ หลัง หากท่าทางที่ใช้นั่งทำงานไม่ถูกต้อง เช่น นั่งหลังงอ เอียงคอ หรือเอียงไหล่ ก็ทำให้มีอาการได้ง่ายขึ้น และมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้มีอาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ หรือแม้แต่ปวดศีรษะได้

จะเห็นว่าการนั่งทำงานระยะใกล้เป็นเวลานานจะทำให้มีอาการผิดปกติได้ ทั้งในผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์และไม่ใช้ ได้มีผู้ทำการทดลองว่า ใน 2 กลุ่มนี้จะมีอาการผิดปกติแตกต่างกันหรือไม่ ผลปรากฏว่า อาการเมื่อยล้า ปวดหัวไหล่ อาการเมื่อยตา ปวดคอ ปวดหลัง และเคืองตา พบในผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า แต่อาการอย่างอื่น เช่น ตาแดง ปรับสภาพใกล้ไม่ชัด ไม่แตกต่างกันใน 2 กลุ่มนี้


หากการใช้จอคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดอาการเหล่านี้จริง อะไรคือ สาเหตุ
จากการศึกษาในสัตว์ทดลองโดยให้สัตว์ทดลองอยู่ในบริเวณใกล้กับจอภาพ คอมพิวเตอร์เป็นเวลา นาน ๆ พบว่าเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนไฮโปทาลามัสลดลง เขามีความเชื่อว่าคลื่นไฟฟ้าที่กระจายออกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสาเหตุ ที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนนี้ลดลง ทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งมีผลต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งด้านอารมณ์ จิตใจ และการทำงานของ
อวัยวะต่าง ๆ นอกจากสมมติฐานนี้แล้วยังมีผู้เสนอว่าอาจเกิดจากคลื่นไฟฟ้า ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของเซลล์ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดความผิดปกติ


ดูเพิ่มที่ลิงค์นะครับ
ที่มา:
//www.doctor.or.th/node/4007
//www.doctor.or.th/node/1640












 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551   
Last Update : 3 กันยายน 2564 15:14:10 น.   
Counter : 5990 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]