|
|
|
โรคที่ต้องระวังในภาวะน้ำท่วม ... โดย DrCarebear Samitivej
นำมาจากของคุณหมอ ในเฟสบุ๊ก นะครับ .. ถ้าใครสนใจอ่านฉบับเต็ม มีรูปภาพประกอบสวยงาม ก็แวะไปได้ที่
//www.facebook.com/note.php?note_id=159491650750574&id=153027324709017&ref=share
โรคที่ต้องระวังในภาวะน้ำท่วม
โดย DrCarebear Samitivej
ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2010 เวลา 20:44 น.
ในภาวะน้ำท่วมอาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่อไปนี้เพิ่มมากขึ้น ได้แก่
* โรคติดต่อเนื่องจากน้ำไม่สะอาด ได้แก่ ไทฟอยด์ อหิวาห์ โรคฉี่หนู และไวรัสตับอักเสบ เอ
* โรคติดต่อเนื่องจากมีแมลงเป็นพาหะ ได้แก่ ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก * อุบัติเหตุ และการบาดเจ็บต่าง ๆ เช่นการจมน้ำ
โรคติดต่อเนื่องจากน้ำไม่สะอาด Water-borne diseases
ภาวะน้ำท่วม จะสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในชุมชนใหญ่ หรือขาดแคลนน้ำสะอาด เนื่องจากน้ำดื่มที่ไม่สะอาดและติดเชื้อ น้ำที่ไม่สะอาดอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังอักเสบ แผลติดเชื้อ ตาอักเสบ หรือการติดเชื้อทางเดินอาหาร
เชื้อโรคที่สามารถติดต่อทางน้ำได้แก่
1. เชื้อไวรัส เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบ A หรือเชื้อโปลิโอ 2. เชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อ อหิวาต์ ไทฟอยต์ เชื้อ Coliform ที่ทำให้มีอาการท้องเสีย 3. เชื้อโปรโตซัว เช่น cryptosporidiosum, amebae, giardia
ส่วนใหญ่แล้วการติดต่อเชื้อโรคจะมาจากการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด แต่มีบางโรคที่สามารถระบาดได้มากโดยการติดต่อทางการสัมผัสทางผิวหนังเช่น โรคฉี่หนู leptospirosis ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อผ่านทางผิวหนังหรือเยื่อของร่าง กายที่สัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนจากฉี่หนูหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ติด เชื้อ แบบที่เคยมีการระบาดในประเทศไทยในปี 2000
Leptospirosis หรือโรคฉี่หนู
เป็นโรคติดเชิ้อที่เกิดจากเชื้อชื่อ leptospira ซึ่งหากติดเชื้อคนไข้จะมีอาการไข้สูง ปวดหัวมาก ปวดเมื่อยตามตัว ถ้าเป็นรุนแรงอาจจะมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ตับวาย ไตวาย หรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
ผู้ได้รับเชื้ออาจจะมีอาการหลังได้รับเชื้อ 2 – 4 วันอาการที่เริ่มต้นอาจจะมีไข้เฉียบพลัน ระยะแรกจะมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดหัว ปวดตามตัว คลื่นไส้ และท้องเสีย อาการอาจจะดีขึ้นได้เอง และจะกลับมามีอาการอีกรอบและรุนแรงขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา อาการจะมีได้ตั้งแต่ไม่กี่วันจนถึงเป็นเดือน บางคนอาจจะหายได้เอง แต่ใช้เวลาเป็นเดือน แต่ถ้ามีอาการรุนแรงอาจจะถึงแก่ชีวิตได้
การรักษาคือการให้ยาแก้อักเสบเช่น Doxycycline หรือ penicillin ฉีดเข้าเส้นเลือด
ดังนั้นหากมีไข้ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและให้การรักษา
ไวรัสตับอักเสบ A
เป็น โรคที่มีอาการอักเสบของตับ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ A จากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน ระยะฟักตัวประมาณ 15-45 วันก่อนจะมีอาการ
อาการเริ่มต้นจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ ไข้ต่ำ ๆ อุจจาระสีซีด และปัสสาวะสีเข้ม มีอาการตัวเหลืองตาเหลืองดีซ่าน
แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อยืนยันการติดเชื้อ และให้การรักษาโดยการพัก ให้น้ำเกลือ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และอาหารมัน การพักฟื้นอาจจะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน สำหรับไวรัสตับอักเสบ A สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน
การป้องกันโรคติดเชื้อที่มาจากน้ำ
ส่วนใหญ่แล้วโรคกลุ่มนี้จะมาจาการปนเปื้อนของอาหารและน้ำ ดังนั้นการป้องกันคือการพยายามดื่มน้ำที่สะอาด และต้องพยายามดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ
* ดื่มน้ำที่สะอาด * ใช้น้ำที่ต้มสุก หรือผ่านคลอรีน * ถ้ามีอาการท้องเสียขาดน้ำ ควรดื่มน้ำเกลือแร่เสริม * หากมีอาการไข้ หรืออาการผิดปกติควรพบแพทย์ * สามารถใช้ยาลดไข้ บรรเทาอาการไข้ได้ * ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาด * ทำความสะอาดอาหารและปรุงอาหารให้สุกทุกครั้ง
โรคติดต่อที่เกิดขึ้นจากแมลงเป็นพาหะ Vector-borne diseases
ภาวะน้ำท่วมจะทำให้แมลงที่เป็นพาหะของโรคต่าง ๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่นยุงลาย ทำให้เสี่ยงต่อการระบาดของไข้เลือดออก หรือในป่า มียุงก้นป่อง ที่ทำให้เกิดไข้มาลาเรียซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหลังจากการเกิดน้ำท่วมประมาณ 6 สัปดาห์
สำหรับเรื่องไข้เลือดออก สามารถอ่านรายละเอียดได้ในบทความที่หมอหมีเคยเขียน
ตาม link นี้นะครับ //www.facebook.com/note.php?note_id=150783751621364
โรคอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในภาวะน้ำท่วม
* เรื่อง ของอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการจมน้ำ หรืออุบัติเหตุการบาดเจ็บอื่น ๆ ถ้ามีบาดแผลอย่าลืมฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก และรับยาแก้อักเสบเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
* ภาวะอุณหภูมิในร่างกาย ต่ำผิดปกติ hypothermia มักจะพบในเด็กเล็ก ถ้าติดอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ๆ และทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น
We Care
Dr.Carebear Samitivej
Create Date : 25 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 25 ตุลาคม 2553 20:08:25 น. |
|
7 comments
|
Counter : 2272 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:24:31 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:29:59 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:36:32 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:37:37 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 4 ตุลาคม 2554 เวลา:16:19:26 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 4 ตุลาคม 2554 เวลา:16:22:14 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 13 ตุลาคม 2554 เวลา:14:03:05 น. |
|
|
|
| |
|
|
หมอหมู |
|
|
|
Location :
กำแพงเพชร Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]
|
ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ
ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )
หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ) นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ
ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ
นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )
ปล.
ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com
ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..
|
|
|
แนะผู้ประสบภัยน้ำท่วม ระวังปลิง
โดยเฉพาะจุดที่น้ำท่วมสูง ชี้ให้ใส่กางเกงใน กางเกงขายาว
โฆษกกระทรวง สาธารณสุข เตือนผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะในจุดที่มีน้ำท่วมขังสูงระดับเอว โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ชอบลงเล่นน้ำท่วม ระวังปลิงไชเข้ารูทวารหนัก อวัยวะเพศ และรูปัสสาวะ หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำ ควรแต่งกายให้มิดชิด สวมกางเกงในและกางเกงขายาว รัดข้อเท้า ป้องกันปลิงดูดเลือด
จาก กรณีที่มีข่าวผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ตำบลบางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี ถูกปลิงควายขนาดใหญ่กัดและดูดเลือดที่ขา ขณะเดินลุยน้ำท่วมสูงประมาณต้นขา นั้น วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2553) นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงน้ำท่วม มักพบปลิงได้บ่อยๆ โดยปกติปลิงมักจะอาศัยอยู่ในน้ำนิ่ง ตามแหล่งหนองน้ำ ลำธารทั่วๆไป แต่พอมีน้ำท่วมปลิงก็จะไหลไปตามน้ำท่วมได้ ดังนั้นจึงขอเตือนประชาชนทุกพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะเด็กๆ ไม่ควรลงเล่นน้ำท่วม เพราะอาจถูกปลิงไชเข้าตามอวัยวะต่างๆ เช่นรูทวารหนัก ช่องคลอด รูปัสสาวะได้
นาย แพทย์สุพรรณกล่าวต่อว่า ปลิงเป็นสัตว์ที่ดูดเลือดสัตว์อื่นรวมทั้งเลือดคนเป็นอาหาร โดยจะจับแรงสั่นสะเทือนของสิ่งที่อยู่ในน้ำ แล้วตามไปเกาะที่ผิวหนัง แล้วค่อยๆไต่หาที่ซ่อนตัว จากนั้นจะกัดและดูดเลือด พร้อมปล่อยสาร 2 ชนิด ได้แก่ สารฮีสตามีน (Histamine) ช่วยกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว และสารฮีรูดีน (Hirudin) มี คุณสมบัติต้านทานการแข็งตัวของเลือด ทำให้คนที่ถูกกัดเลือดไหลไม่หยุด และเสียเลือดเรื่อยๆ โดยมีการศึกษาทางห้องปฏิบัติการพบว่า ปลิงสามารถอดอาหารได้นานถึง 5 เดือน และหากปลิงไชเข้าไปในลำไส้ใหญ่ และทะลุลำไส้ จะทำให้ช่องท้องอักเสบ แต่พบได้น้อยมาก นอกจากนี้ มีรายงานพบปลิงเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ และทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วในภายหลังด้วย
นาย แพทย์สุพรรณกล่าวต่อไปว่า ในการป้องกันปลิงที่มากับน้ำท่วม หากเป็นไปได้ขอให้ผู้ประสบภัยเดินทางโดยเรือ แต่หากไม่มีเรือและจำเป็นต้องเดินลุยน้ำ โดยเฉพาะจุดที่มีน้ำท่วมสูงระดับเอวขึ้นไป ขอให้แต่งตัวให้มิดชิด ควรใส่กางเกงใน สวมกางเกงขายาว และสวมถุงพลาสติกหุ้มเท้าและหุ้มปลายขากางเกงทั้ง 2 ข้าง แล้วรัดด้วยเชือกหรือยาง เพื่อป้องกันไม่ให้ปลิงเข้าไปในกางเกงได้
ทั้ง นี้ ปลิงมี 2 ชนิดคือ ปลิงควายและปลิงเข็ม โดยปลิงเข็มนั้น จะเข้าทางตา รูจมูก หรือปากได้ จากการดื่มน้ำหรือล้างหน้าในลำธารที่มีปลิงอยู่ ปลิงจะเข้าสู่หลอดคอ หลอดอาหารหรือหลอดลมได้อย่างรวดเร็ว อาการที่ปรากฏคือ มีเลือดกำเดาออก ไอหรืออาเจียนเป็นเลือด ทำให้เสียเลือดมาก ถ้าหากปลิงอยู่ในโพรงจมูกอาจทำให้ปวดศีรษะเป็นเวลานาน ถ้าอยู่ในกล่องเสียงจะทำให้ไอเป็นเลือด หายใจไม่ออก นอกจากนี้ปลิงยังอาจเข้าไปทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือท่อปัสสาวะของคนที่ลงอาบน้ำในลำธารได้
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
Update:01-11-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่