Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

ยาคุมกำเนิด แบบเม็ด แบบฉีด ยาคุมฉุกเฉิน ยาเลื่อนประจำเดือน

 
ยาคุมกำเนิด แบบเม็ด

ประจำเดือนของผู้หญิงถูกควบคุมด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ เอสโตรเจน และ โปรเจสเตอโรน ซึ่งทำให้เกิดการเจริญของเยื่อบุมดลูก เพื่อเตรียมมดลูกให้เหมาะสมต่อการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสม เมื่อมีเพศสัมพันธ์และเกิดการปฏิสนธิระหว่างตัวอสุจิของเพศชายและไข่ของเพศหญิง ไข่ที่ถูกผสมแล้วจะเดินทางมาฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูกที่ถูกเตรียมไว้อย่างเหมาะสม หากไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น เยื่อบุโพรงมดลูกดังกล่าวจะหลุดลอกออกมาเป็นระดูหรือประจำเดือน

ฮอร์โมนสังเคราะห์ในยาเม็ดคุมกำเนิดจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยป้องกันการเจริญและการสุกของไข่ทำให้ ไม่มีไข่ตก ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียวเชื้ออสุจิจึงไม่สามารถผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกได้ และทำให้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อตัวไม่เหมาะต่อการเจริญของตัวอ่อน


ประเภทของยาเม็ดคุมกำเนิด

• ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม

ยาแต่ละเม็ดมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน เป็นส่วนประกอบ มีทั้งชนิด 21 , 22 และ28 เม็ด ยาชนิด 28 เม็ดนั้น ตัวยา 7 เม็ดที่เพิ่มขึ้นจะไม่มีตัวยาฮอร์โมนแต่จะเป็นวิตามินหรือธาตุเหล็ก ยาเม็ดคุมกำเนิดในกลุ่มนี้ยังแบ่งย่อยเป็นอีก 2 ชนิด คือ

1. ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนระดับเดียว ยาทุกเม็ดมีปริมาณตัวยาฮอร์โมนรวมเท่ากัน ปัจจุบันนิยมใช้ชนิดที่มีปริมาณเอสโตรเจนต่ำ ๆ คือ 20-30 ไมโครกรัม ส่วนโปรเจสเตอโรน ที่ใช้มีหลายชนิด

2. ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนหลายระดับ ยาเม็ดคุมกำเนิดนี้จะมีปริมาณยาแตกต่างกันเป็นหลายระดับเพื่อเลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดตามธรรมชาติซึ่งจะมีผลให้อาการข้างเคียงต่าง ๆ ของยาลดลง


• ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเฉพาะโปรเจสเตอโรน

เป็นยาที่มีฮอร์โมนในขนาดน้อยจัดทำเป็นแผง 28 เม็ดมีตัวยาเหมือนกัน ยานี้มีประโยชน์ ในผู้ที่ไม่สามารถทนอาการข้างเคียงของฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ แต่ว่าประสิทธิภาพการคุมกำเนิดจะต่ำกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม
 

ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังร่วมเพศ ( ยาคุมฉุกเฉิน )

ยากลุ่มนี้มีทั้งแบบตัวยาฮอร์โมนชนิดเดียวขนาดสูง และชนิดฮอร์โมนรวม แต่เนื่องจากมีฮอร์โมนขนาดสูงมาก จึงมีอาการข้างเคียงสูงกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดกลุ่มอื่น ๆ ผู้ใช้จะมี อาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างมาก มีเลือดออกผิดปกติ และ มีอันตรายต่อร่างกายสูง เช่น ยาบางตัวในกลุ่มนี้มีข้อจำกัด ไม่ควรใช้เกินเดือนละ 4 เม็ด ไม่ควรใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ

นอกจากนี้จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 75 % เท่านั้น ( ต่ำกว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม ซึ่งจะป้องกันได้ถึง 90-95% ) จึงเหมาะที่จะใช้ในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ไม่บ่อย เช่น สัปดาห์ละครั้ง หรือ ในกรณีถูกข่มขืน


ภาวะที่เป็นข้อห้ามและข้อควรระวังในการใช้ยา

มะเร็งของอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน และ/หรือ เต้านม

โรคตับ โรคของถุงน้ำดี

มีเลือดออกจากโพรงมดลูกที่ไม่ทราบสาเหตุ มีระดูน้อย หรือขาดระดู

โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง

ตั้งครรภ์ หรือ สงสัยว่าตั้งครรภ์

ปวดศีรษะบ่อย ปวดศีรษะแบบไมเกรน โรคลมชัก โรคเบาหวาน

อายุมากกว่า 40 ปี หรืออายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไปที่อ้วนมาก มีไขมันในเลือดสูง หรือสูบบุหรี่จัด


ผลข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิด

- อาการคลื่นไส้อาเจียน มักพบในช่วงแรกของการใช้ยา และแก้ไขโดยให้กินยาเม็ดคุมกำเนิดหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน แต่ถ้ามีอาการมากหรือเป็นอยู่นาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนชนิดยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ถ้าใช้ยามานานแล้วและในระยะแรกไม่มีอาการ ก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุต่อไป

- เลือดออกกะปริบกะปรอย มักพบผู้ที่กินยาไม่สม่ำเสมอ (ไม่เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน) หรือลืมกินยาบ่อย ๆ และอาจเกิดได้ในระยะแรกของการใช้ยาเช่นกัน ถ้ามีเลือดออกเล็กน้อยให้รับประทานยาต่อไป อาการจะหายได้เอง แต่ถ้ามีเลือดออกมากก็ควรปรึกษาแพทย์

- การขาดระดูระหว่างการใช้ยา ควรตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดการตั้งครรภ์

- ผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้แก่ เจ็บคัดเต้านม น้ำหนักตัวเพิ่ม สิว ฝ้า ปวดศีรษะ เป็นต้น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในระยะแรกของการใช้ยา และส่วนใหญ่หายได้เองเมื่อใช้ยาไป 2-3 เดือน แต่ถ้าหากมีอาการมากหรือเป็นอยู่นานจนเป็นปัญหา หรือเกิดความกังวลใจควรปรึกษาแพทย์ซึ่งอาจแก้ไขโดยการเปลี่ยนชนิดยา หรือใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ แทน

- ถ้ามีอาการข้างเคียงที่รุนแรงและเป็นอันตรายต่อไปนี้ ควรหยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที
มีอาการปวดบริเวณท้องอย่างรุนแรง ตัวเหลือง ตาเหลือง
มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ความดันโลหิตสูง
มีอาการปวด และ บวม ที่เท้า ขา และน่อง
ปวดตา ตาพร่า เห็นแสงวูบวาบ
มีอาการปวดหน้าอกอย่างรุนแรง หายใจหอบ เหนื่อยง่าย


การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดร่วมกับยาอื่น

การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดร่วมกับยาอื่น ๆ บางชนิด อาจมีผลต่อการออกฤทธิ์ของยานั้น เช่น การใช้ร่วมกับยาระงับอาการซึมเศร้า ยาปฏิชีวนะ ยารักษาวัณโรค ยากันชัก ยาแก้แพ้อากาศ เป็นต้น จึงควรปรึกษาแพทย์ ให้แน่ใจว่าควรจะใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยหรือไม่


วิธีรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

• แบบ 21,22 เม็ด

เริ่มใช้ยาตั้งแต่วันที่ 1 ของรอบประจำเดือน (นับวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1 ) อาจเริ่มกินยาช้ากว่านี้ได้แต่ต้องไม่เกินวันที่ 5 ของรอบประจำเดือน เริ่มรับประทานยาเม็ดแรก ให้ตรงกับวันของสัปดาห์ที่ระบุบนแผงยา เช่น ประจำเดือนมาวันแรกคือ วันศุกร์ ก็ให้เริ่มรับประทานยาเม็ดแรกที่ระบุไว้ว่า “ศ” รับประทานยา วันละ 1 เม็ดเป็นประจำทุกวัน ตามลูกศรชี้จนหมดแผงในเวลาใดก็ได้แต่ควรทานเวลาเดียวกันทุกวัน

เมื่อรับประทานยาหมดแล้วให้หยุดยา 7 วัน สำหรับผู้ใช้ยาชนิด 2 1 เม็ด และหยุดยา 6 วัน สำหรับผู้ใช้ยาชนิด 22 เม็ด ในระหว่างนี้ควรมีเลือดประจำเดือนมา และเมื่อหยุดยาครบแล้วให้เริ่มรับประทานยาแผงใหม่ได้ ถึงแม้ว่าประจำเดือนจะหมดแล้วหรือยังไม่หมดก็ตาม ด้วยวิธีนี้เมื่อเริ่มรับประทานยาแผงใหม่ วันที่เริ่มรับประทาน ยาแผงใหม่จะตรงกับวันแรกที่เริ่มรับประทานยาแผงแรกเสมอ

• แบบ 28 เม็ด

ในแผงหนึ่งจะประกอบด้วยฮอร์โมน 21 เม็ด ส่วนที่ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศอีก 7 เม็ด ซึ่งจะมีขนาดต่างจาก 21 เม็ดแรก เริ่มรับประทานยาเม็ดแรกในวันแรกที่มีประจำเดือนมา ในส่วนที่ระบุบนแผงว่าเป็นจุดเริ่มต้นใช้ยา และ รับประทานยาวันละ 1 เม็ด เป็นประจำทุกวัน ตามลูกศรชี้จนหมดแผง

เมื่อหมดแผงแล้วให้รับประทานยาแผงใหม่ต่อได้ทันทีเลย แม้ประจำเดือนจะหมดแล้วหรือยังไม่หมดก็ตาม


ทำอย่างไรถ้าลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิด

ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นยาที่ต้องใช้ประจำ การลืมกินยาเป็นเรื่องที่พบบ่อย ๆ แม้ว่าไม่เป็นอันตรายแต่ก็มีผลเสีย เช่น ทำให้ผู้ใช้มีเลือดออกกะปริบกะปรอย และถ้าลืมบ่อย ๆ อาจเกิดตั้งครรภ์ได้ จึงควรกินยาในเวลาเดียวกันทุกวัน เก็บยาในที่เห็นง่าย ๆ เพื่อช่วยเตือนไม่ให้ลืมกินยาได้บ้าง และในกรณีที่ลืมกินยาแล้วให้แก้ไขดังนี้

ลืม 1 เม็ด ให้กินทันทีที่นึกได้ และกินเม็ดต่อไปตามปกติ

ลืม 2 เม็ดติดต่อกันในช่วง 2 สัปดาห์แรก ให้กินยา 2 เม็ดติดต่อกัน 2 วัน แล้วกินต่อไปตามปกติจนหมดแผง ให้ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย หรืองดร่วมเพศ 7 วัน

ลืม 2 เม็ดติดต่อกันในช่วงสัปดาห์ที่ 3 หรือลืมมากกว่า 2 เม็ดในช่วงใดก็ตามให้หยุดยาแผงนั้นจนกว่าจะมีเลือดประจำเดือน จึงเริ่มยาแผงใหม่ ตั้งแต่เริ่มหยุดยาจนกินยาแผงใหม่ไป 2 สัปดาห์ ให้ใช้ถุงยางอนามัย หรือ งดร่วมเพศ


เมื่อพร้อมที่จะมีบุตร

สำหรับผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่ระยะหนึ่งและต้องการมีบุตรให้หยุดยาเม็ดคุมกำเนิดได้ทันที และใน 1-2 เดือนแรกหลังหยุดยาควรป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์โดยวิธีอื่น ๆ เช่นการใช้ถุงยางอนามัย หรือการนับระยะปลอดภัย เพื่อให้มีประจำเดือนมาหลังจากหยุดยาก่อน และเมื่อตั้งครรภ์จะได้ทราบอายุครรภ์ที่แน่นอน ทำให้แพทย์สามารถดูแลมารดา และติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้อย่างถูกต้อง

..........................................

 
ยาคุมกำเนิดแบบฉีด

ข้อแนะนำสำหรับสตรีที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิด

1. ภายใน 2 อาทิตย์หลังฉีดยาคุมกำเนิดครั้งแรก ควรใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่น เช่น ถุงยางอนามัย หรือ งดเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ เนื่องจากยายังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่

2. ต้องฉีดยา เข้ากล้าม ตามกำหนด เช่น ทุก 1 เดือน หรือ ทุก 3 เดือน

3. อาจเกิดความผิดปกติของประจำเดือน เช่น นาน ๆ จึงมีประจำเดือน อาจมีปริมาณมากหรือน้อยกว่าปกติ หรือ ไม่มี-ประจำเดือนเลยก็ได้ ถ้าไม่แน่ใจว่ามีอาการเลือดออกผิดปกติ หรือไม่ ควรไปปรึกษาแพทย์

4. ถ้ามีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ตาพร่ามัว ปวดขา เจ็บหน้าอก ต้องปรึกษาแพทย์

5. ตรวจร่างกายทั่วไป ปีละครั้ง

6. ถ้าต้องการมีบุตรอีก อาจจะต้องรอให้มีประจำเดือนปกติก่อน ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 12 – 16 เดือน


ประสิทธิภาพของยา
สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ประมาณ 99.5 %
( อัตราเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ ประมาณ 0.25 ต่อสตรี 100 คนที่ใช้ยานี้ติดต่อกันตลอด 1 ปี )


อาการข้างเคียง

ที่พบบ่อยคือ เลือดประจำเดือนออกผิดปกติ อาจออกมาก ออกนาน หรือ ออกกะปริบกะปรอย ก็ได้

หลังจากฉีดยา ไปแล้ว 9 – 12 เดือน จะพบอาการ ประจำเดือนขาด ได้

หลังฉีดยา อาจมีปัญหาเรื่อง มีบุตรยาก ภายหลังหยุดยาแล้ว 1 ปี สตรีมากกว่า 80 % สามารถมีบุตรได้


ข้อห้ามใช้ / ข้อควรระวัง
ในผู้ที่เป็นโรคตับ เบาหวาน โรคหัวใจ โรคเส้นเลือด เส้นเลือดดำอุดตัน โรคไต โรคภูมิแพ้ โรคลมชัก สตรีอายุมากกว่า 40 ปี มะเร็งเต้านม มะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ เนื้องอกมดลูก

ไม่ควรใช้ในสตรีที่ไม่เคยตั้งครรภ์ เป็นลมชัก หรือ ไมเกรน


การดูแลสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิด เป็นระยะเวลานาน

1. ซักประวัติโดยละเอียด โดยเฉพาะโรค หรือ ภาวะที่เป็นข้อบ่งห้ามใช้ยา

2. ตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ชั่งน้ำหนักตัว วัดความดันโลหิต ดูว่าตาเหลืองตัวเหลืองหรือไม่ คลำตับ ตรวจเต้านม ต่อมทัยรอยด์ ตรวจหาเส้นเลือดขอด เป็นต้น

3. ตรวจภายใน เพื่อหาความผิดปกติต่าง ๆ เช่น เนื้องอกของมดลูก มะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ ตรวจว่าตั้งครรภ์หรือไม่

4. ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ

 

ยาคุมฉุกเฉิน
วิธีรับประทานยา
-เม็ดแรกรับประทานทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์หรือภายใน 72 ชั่วโมง
-เม็ดที่สอง รับประทานหลังจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง

ผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉิน
-ปวดท้อง
-ประจำเดือนมาเร็ว - ช้ากว่าปกติ
-ใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่, เยื่อบุโพรงมดลูก และการเกิดการตั้งครรภืนอกมดลูก

การรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตั้งครรภ์โดยยาคุมฉุกเฉินป้องกันการตั้งครรภืได้เพียง 75 - 85 % เท่านั้น แต่เป็นเพียงการลดโอกาสตั้งครรภ์ ลงจากเดิม

ควรใช้ยาเมื่อจำเป็นเท่านั้น ควรเลือกใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นทางเลือกสุดท้าย ไม่รับประทานเกิน 2 กล่อง / เดือน

https://oryor.com/oryor2015/print-detail.php?cat=44&id=1028


หมายเหตุ

เรื่องนี้ ผมไม่ได้เขียนเอง ( น่าจะปรับปรุงนิดหน่อย) แต่จำไม่ได้ว่า นำต้นฉบับมาจากที่ไหน ... ถ้าใครพบว่า น่าจะเป็นต้นฉบับจากที่ไหน ช่วยแจ้งให้ทราบด้วยนะครับ


.....................................




ยาเลื่อนประจำเดือน...กินอย่างไร ?

ยาเลื่อนประจำเดือนที่ใช้กันมากในปัจจุบัน เป็นยาเม็ดที่มีตัวยาสำคัญ คือ Norethisterone ขนาด 5 มิลลิกรัม ซึ่งชื่อการค้าที่คุ้นเคย คือ Primolut® N มีวิธีกินและข้อควรระวังต่างๆดังนี้

1. วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือน

- ควรเริ่มกินยาอย่างน้อย 3 วัน ก่อนวันที่คาดว่าจะมีประจำเดือน โดยกินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) หรือวันละ 3 ครั้ง (เช้า กลางวัน และเย็น)

ทั้งนี้ ไม่ควรใช้ยานานเกิน 2 สัปดาห์ และจะมีประจำเดือนภายใน 2-3 วันหลังจากหยุดยา

2. อาการไม่พึงประสงค์ที่อาจพบได้จากการใช้ยา
- รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีประจำเดือนแบบกะปริบกะปรอยหรืออาจไม่มาเลย
- เวียนศีรษะ
- ปวดศีรษะ
- คัดตึงเต้านม

3. ข้อห้ามใช้
- สตรีมีครรภ์
- สตรีที่กำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น สูบบุหรี่ โรคอ้วน โรคหลอดเลือดอุดตัน
- เคยเป็นหรือกำลังเป็นโรคตับขั้นรุนแรง
- เคยเป็นหรือกำลังเป็นโรคมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งที่อวัยวะเพศชนิดที่ไวต่อฮอร์โมน 



ที่มา เฟสบุ๊ก  Smart Consumer
https://www.facebook.com/smartconsumer4.0/photos/a.290627251349713/733641840381583/?type=3&theater


*********************

 

6วิธีคุมกำเนิดทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูง ...แพทย์เฉพาะทางบาทเดียว

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=25-02-2008&group=4&gblog=12

ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด แบบฉีด ยาคุมฉุกเฉิน

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=25-02-2008&group=4&gblog=13

 

EmergencyContraception การคุมกำเนิดฉุกเฉิน

https://www.med.cmu.ac.th/dept/obgyn/2011/index.php?option=com_content&view=article&id=268:emergency-contraception&catid=39&Itemid=367

แนวทางการดูแลสตรีและเด็กหญิงที่ถูกข่มขืนกระทำชำเรา

https://www.med.cmu.ac.th/dept/obgyn/2011/index.php?option=com_content&view=article&id=1047:2014-12-02-05-04-16&catid=45&Itemid=561

 

สถานการณ์การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในประเทศไทย2556 ; Adolescent Pregnancy Thailand 2013

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=03-05-2014&group=7&gblog=177

 

ข้อเท็จจริงเรื่องการทำแท้งในประเทศไทย... ทำแท้ง กฏหมาย แพทยสภา

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=11-01-2010&group=4&gblog=80

ทำแท้ง .....ปัญหาที่ยังไร้ทางออก ....

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=18-01-2009&group=4&gblog=67

ทำแท้ง กฏหมายแพทยสภา

https://www.med.cmu.ac.th/dept/obgyn/2011/index.php?option=com_content&view=article&id=493:2011-06-09-01-37-20&catid=40&Itemid=482

อันตรายจากการทำแท้งไม่ปลอดภัย.. โดย ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-02-2009&group=4&gblog=73




Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 6 ตุลาคม 2562 14:42:52 น. 6 comments
Counter : 14935 Pageviews.  

 
ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูลที่ีเพิ่งจะรู้


โดย: zaesun วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:38:57 น.  

 

ขอบคุณสำหรับคำชม


โดย: หมอหมู วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:07:43 น.  

 
-ขอบคุณสำหรับความรู้นะค่ะ


โดย: montira@UA วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:19:40:03 น.  

 

//www.thaihealth.or.th/node/17523

'ยาคุมฉุกเฉิน' คู่แข่งยาทำแท้ง

อันตรายที่กำลังฮิต!


กรณี น่าสลดใจสาวรุ่นวัยเรียนใช้ยาอันตรายที่ซื้อผ่านทางเว็บไซต์เพื่อการ "ทำแท้ง" ได้สร้างกระแสล้อมคอกให้กับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็จะเลือนๆ ไปเหมือนไฟไหม้ฟางอีกหรือเปล่า...ก็ต้องรอดู?? อย่างไรก็ตาม กับเรื่องของ "ยา" ที่เกี่ยวโยงกับเรื่องการ "ท้อง-ตั้งครรภ์" มิใช่มีเพียงยาทำแท้งเถื่อน!!

ในมุมกลับกัน...ยังมีเรื่องของ "ยาคุม" ไม่ให้ท้องและในมุมนี้ก็มีอันตราย...ถ้ามีการใช้แบบผิด ๆ!! "ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินในตลาดจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อหลักๆ ซึ่งตอนนี้กำลังได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่น และในกลุ่มคนวัยทำงานด้วย ช่วงนี้ในแต่ละวันจะมีลูกค้าเข้ามาซื้อตลอด ที่น่าสังเกตคืออายุเฉลี่ยของคนที่ซื้อลดลงเรื่อยๆ ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่พบว่าอายุมากที่สุดที่ใช้เฉลี่ยประมาณ 40 ปีขึ้นไป"...นี่เป็นเสียงสะท้อนจากร้านขายยาแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ



ทั้งนี้ "ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน" นับวันจะเป็นยาอีกชนิดหนึ่งที่ถูกซื้อใช้มาก และดูเหมือนว่าเรื่อง "ผลเสีย" ที่อาจเกิดขึ้นจาก "การใช้-การกินอย่างผิดๆ" ยังถูกมองข้าม?? ซึ่งกับเรื่องของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ ในเว็บไซต์ //www.clinicrak.com



มีข้อมูลระบุไว้โดยสรุปคือ... ยาชนิดนี้เป็นการคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกรณีที่เกิด ความผิดพลาดที่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ต้องการ อาทิ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดใดๆ เลย หรือใช้แล้วแต่ไม่ได้ผลหรือไม่แน่ใจ กรณีถูกบังคับล่อลวงให้มีเพศสัมพันธ์ หรือกรณีถูกข่มขืน นี่ไม่ใช่การคุมกำเนิดตามปกติ และไม่ใช่วิธีในการวางแผนครอบครัว



ยา เม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินหลักๆ มีอยู่ 2 แบบคือ 1. ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนผสม ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินผสมกัน และ 2. ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว โดยยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินที่ในไทยมีขายอยู่หลักๆ 2 ยี่ห้อ ต่างก็เป็นยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนเดี่ยว



การออกฤทธิ์ของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น จะมีลักษณะเดียวกับยาคุมกำเนิดแบบธรรมดา แต่จากการศึกษาพบว่ายาคุมฉุกเฉินมีการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน อาทิ ขัดขวางการตกไข่, ทำให้การตกไข่ช้าลงกว่าเดิม, ขัดขวางการปฏิสนธิโดยสร้างเมือกขึ้นในท่อนำไข่ทำให้อสุจิและไข่เคลื่อนที่เข้าหากันลำบากขึ้น, ขัดขวางการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ



แต่...ไม่สามารถที่จะป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และถ้าใช้พร่ำเพรื่อ-ไม่ถูกวิธี...ก็มี "มีอันตราย" ได้!! "การใช้ยาชนิดนี้ ตามวิธีคือครั้งแรกกิจภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และอีก 12 ชั่วโมงถัดมากินครั้งที่สอง จึงจะมีประสิทธิภาพในการลดโอกาสตั้งครรภ์ แต่ก็ประมาณ 75% ไม่ใช่เต็มร้อย และที่มีปัญหาก็คือ มีความเชื่อที่ผิดๆ ว่านี่เป็นยาคุมแบบใหม่ ไม่ต้องกินทุกวันเหมือนแบบเก่า หนักกว่านั้นคือเชื่อผิดๆ ว่ากินยาแบบนี้แล้วไม่ติดโรค ไม่ติดเอดส์ ซึ่งความเชื่อแบบนี้ไม่ใช่มีแค่ในกลุ่มวัยรุ่น แต่ยังได้ยินจากปากกลุ่มลูกค้าวัยผู้ใหญ่ หรือแม้แต่คนที่เข้าใจในยาชนิดนี้ดี ก็ยังใช้เป็นประจำอยู่เพราะเห็นว่าสะดวก ใช้ง่าย"



แหล่ง ข่าวร้านขายยารายเดิมระบุต่อไปอีกว่า... ปัจจุบันคนกล้าที่จะมาซื้อยาคุมมากขึ้น ไม่ค่อยเขินอาย หรือกระมิดกระเมี้ยนหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนในอดีต อย่างที่ร้านเองยอดขายเฉลี่ยของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ก็อยู่ในระดับที่ เรียกได้ว่า ขายดีมากบางวันเคยขายได้สูงสุด 25 แผง โดยยาคุมแบบนี้มีราคาขายอยู่ที่แผงละ 50-60 บาท และยังพบว่ามีลูกค้าหลายรายมาเหมาซื้อยกกล่องไป เข้าใจว่าอาจจะนำไปขายต่อ



"เท่า ที่ได้ยินมา เดี๋ยวนี้ตามสถานบันเทิงก็มีคนนำยาชนิดนี้ไปขาย และร้านขายของชำ ร้านโชว์ห่วย บางร้านก็มีขาย ไม่มีการจำกัดอายุผู้ซื้อ ยาชนิดนี้เลยมีสภาพซื้อง่าย - ขายคล่องยิ่งกว่ายาแก้ไข้แก้หวัดเสียอีก ทั้งๆ ที่หากใช้ระยะเวลานานๆ ต่อเนื่อง ใช้ผิดประเภท อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ตั้งแต่อาการแพ้ยา เกิดความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ เกิดการตกเลือด หรือร้ายแรงกว่านี้"



ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายเดิมยังบอกด้วยว่า... สำหรับผู้ใช้ยา ด้วยจำนวนยาที่กินน้อยกว่ายาคุมกำเนิดแบบปกติ หลายคนก็เลยคิดแบบง่ายๆ ว่าสะดวกดี โดยไม่คิดถึงผลกระทบ ซึ่งยาชนิดนี้หากใช้ผิดประเภทหรือใช้นานๆ ต่อเนื่อง อาจมีผลเสียต่อร่างกาย และสำหรับผู้ขายยา ถ้าไม่คิดอะไร ก็คงดีใจที่สินค้าขายได้มากขึ้น แต่สำหรับตนเองแล้วพอยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มสงสัย จึงพยายามสอบถามหาข้อมูล ก็พบเรื่องน่าตกใจว่าหลายคนมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการใช้ยาชนิดนี้ "นี่อาจสะท้อนว่านโยบายให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และความรู้ในเรื่องเพศศึกษา รัฐทำมานาน แต่ก็ยังล้มเหลว"...แหล่งข่าวระบุทิ้งท้าย "ยาคุมฉุกเฉิน" ขายดีมากขึ้น...เรื่องนี้ก็น่าคิดหลายมุมทั้งในมุมอันตรายจากการใช้ยา...ค่า นิยมในการมีเซ็กส์เรื่องนี้ก็น่าห่วง...ไม่แพ้กรณียาทำแท้งเถื่อน?!?!?


ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Update : 18-10-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : กิตติภานันทร์ ลีจันทึก


โดย: หมอหมู วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:42:36 น.  

 


เตือน! ใช้ "ยาคุมฉุกเฉิน" เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก

ชี้อาจตกเลือด-แท้ง อันตรายถึงชีวิต!!


นัก วิจัยเภสัช มช.เผยผลวิจัย เรื่องความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด พบวัยรุ่นใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินกันอย่างแพร่หลาย มีการใช้บ่อยครั้งและมีการใช้อย่างไม่ถูกต้อง เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก อาจส่งผลให้ตกเลือดและแท้งเป็นอันตรายได้ แนะสถานศึกษาสร้างความรู้เพศศึกษาและการใช้ยาคุมกำเนิดที่ถูกต้อง เตือนวัยรุ่นละเลิกความเสี่ยงจากพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีความพร้อม รวมทั้งเรียกร้องร้านขายยาเป็นจุดบริการให้ความรู้ก่อนตัดสินใจใช้ยา


ภญ.รศ.ชบาไพร โพธิ์สุยะ นักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาคุมฉุกเฉินมีน้อยมาก ในขณะที่พฤติกรรมความเสี่ยงของวัยรุ่นในการมีเพศสัมพันธ์ หรือภัยทางเพศเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้เด็กวัยรุ่นหันมาใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน โดยขาดความเข้าใจ ทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก และความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่น่าเป็นห่วงคือ มีการใช้แทนยาคุมกำเนิดตามปกติ ทั้งๆ ที่ประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินน้อยกว่า และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ได้

“การคุมกำเนิดด้วยยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์เฉพาะฉุกเฉินเช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้การป้องกันวิธีอื่นมาก่อน ใช้ถุงยางอนามัยแล้วแต่ไม่แน่ใจว่ารั่วหรือแตก ลืมกินยาแบบประจำวันติดต่อกันสองวัน ใส่ห่วงอนามัยแต่ห่วงหลุด มีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ไม่ปลอดภัย กรณีถูกข่มขืน ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรองว่าการกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินเป็น วิธีที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ระดับหนึ่ง แต่ในทุกปีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ยังคงเกิดขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทั้งด้านระบบสุขภาพและสังคม"

"สำหรับ ในประเทศไทย มีแนวโน้มการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกในการซื้อ การพกพา วิธีการกินไม่ยุ่งยากเหมือนยาคุมทั่วไป แต่ยาเม็ดคุมกำเนิดมีประโยชน์เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้นไม่สามารถ ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้”


ทั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการศึกษากลุ่มร้านยาในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเพิ่มขึ้น และมีการใช้อย่างไม่เหมาะสมในกลุ่มวัยรุ่น และปัญหาการทำแท้งส่วนใหญ่เกิดจากวัยรุ่นและหนุ่มสาว ที่มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน หรือไม่มีความพร้อมในการมีบุตร

กลไกการออกฤทธิ์ของเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ชนิด levonorgertrel หรือชนิดฮอร์โมนระหว่าง estrogen และ progestogen จะ ออกฤทธิ์ต่อสภาพแวดล้อมของเยื่อบุโพรงมดลูก มีผลต่อภาวะฮอร์โมน และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะที่เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ อีกทั้งประสิทธิภาพไม่เทียบเท่ายาคุมปกติและยิ่งเสี่ยงหากใช้บ่อยครั้ง
จากผลการศึกษากลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษา ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือมหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2551 จำนวน 12 สถาบัน ในช่วงเดือนธันวาคม 2551 -มกราคม 2552 เป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษาในช่วงอายุ 13 - 25 ปี จำนวน 418 คน พบว่ากลุ่มนักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีการคุมกำเนิดเมื่อมีเพศ สัมพันธ์ร้อยละ 80 และใช้ยาคุมฉุกเฉินร้อยละ 29.7 โดยมีร้านขายยาเป็นสถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างได้รับยาและข้อมูล


จากการทดสอบความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน พบว่า ร้อยละ 87.1 มีความรู้ในระดับน้อย ในส่วนทัศนคตินั้น พบว่า โดยภาพรวม กลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติเชิงบวกต่อการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ซึ่งอาจทำให้มีการใช้แทนยาคุมกำเนิดที่เป็นยาหลัก นับเป็นเรื่องที่ควรปรับความรู้และทัศนคติ

เมื่อได้รวบรวมข้อมูลในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน ก็พบว่ามีการใช้ไม่ถูกต้อง คือ มีการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดผิดกลุ่มเป้าหมาย ผิดวัตถุประสงค์ ผิดขนาดและผิดวิธี ส่งผลถึงปัญหาเกี่ยวโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และก่อปัญหาการทำแท้งตามมา

ทีม วิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการศึกษาดังกล่าวทำให้ทราบว่า กลุ่มวัยรุ่นที่มีความเสี่ยง คือกลุ่มที่ค่อนข้างอิสระ หรือกลุ่มที่มีแนวโน้ม sexually active พบ ว่า การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมักไม่มีความพร้อม จึงอาจทำให้ต้องใช้ยาเม็ดคุมกำเนินฉุกเฉิน ซึ่งมีความเสี่ยงเนื่องจากวัยรุ่นยังขาดความเข้าใจที่ถูกวิธี

“ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพสูงก็ต่อเมื่อ มีการนำมาใช้ตามข้อบ่งใช้ที่กำหนดไว้ และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น สำหรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นบ่อยคือ การมีรอบระดูผิดปกติ คลื่นไส้อาเจียน แต่หากใช้บ่อยและต่อเนื่อง มีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ ไม่เพียงแต่การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดไม่ถูกต้องเท่านั้น หากผลการศึกษายังพบว่า แม้จะมีการใช้ถุงยางอนามัยถึงร้อยละ 75.1 แต่ยังพบว่าวิธีการคุมกำเนิดที่รองลงมา คือ การหลั่งภายนอก ซึ่งมีเปอร์เซ็นสูงถึงร้อยละ 35.5 นับเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงทั้งการตั้งครรภ์และการติดโรค”

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ


Update 17-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก


โดย: หมอหมู วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:44:48 น.  

 

ยาคุมฉุกเฉิน ภัยแฝงใกล้ตัว

กินพร่ำเพรื่อ ระวังมะเร็งถามหา



“ยาคุมกำเนิด” ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยในการวางแผนครอบครัว ของคู่สมรส ที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร ซึ่งการคุมกำเนิดมีอยู่หลายวิธี แต่ที่กำลังได้รับความนิยม ในปัจจุบัน และแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น ทั้งเพศชายและหญิง คือ “ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน”

เนื่อง จากยาประเภทนี้ ไม่ต้องกินทุกวัน เหมือนยาคุมแบบอื่น แต่ใช้กินเฉพาะ หลังการมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่ไม่มีการป้องกัน ขาดการคุมกำเนิดเท่านั้น หรือที่เรียกว่า ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency contraceptive pill)

ใน ประเทศไทย มียาคุมฉุกเฉิน 2 ยี่ห้อ ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด คือ โพสตินอร์ และมาดอนนา ลักษณะของตัวยา เป็นแบบฮอร์โมนเดี่ยวทั้งสองชนิด เม็ดยามีสีขาว บรรจุขายแผงละ 2 เม็ด ราคา 35 บาท และ 20 บาท ตามลำดับ


ยาคุมฉุกเฉิน ถือได้ว่าเป็นทางเลือกหนึ่ง หากเกิดความผิดพลาด ในการคุมกำเนิด เช่น นับวันผิด ถุงยางรั่ว ลืมกินยา หรือถูกข่มขืนเท่านั้น แต่ไม่เหมาะ ในการนำมาใช้คุมกำเนิด แบบทั่วๆ ไป เนื่องจากสารตกค้าง อาจทำให้เสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งมดลูก และมะเร็งเต้านม อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสเสี่ยง ต่อการตั้งครรภ์ มากกว่าการใช้ยาคุมกำเนิด แบบธรรมดาอีกด้วย


ส่วนประสิทธิภาพ ของยาคุมฉุกเฉิน คือ ไปขัดขวางการตกไข่ ทำให้การตกไข่ช้าไปกว่าเดิม หรือขัดขวางการฝังตัวของไข่ ที่ผสมแล้ว ช่วยลดโอกาสเสี่ยง ต่อการตั้งครรภ์ ได้ประมาณ 85% แต่หากตัวอ่อนปฏิสนธิแล้ว ฤทธิ์ของยาไม่สามารถขัดขวาง การเติบโตของตัวอ่อน แต่จะปรับสภาพผนังมดลูก ทำให้ไม่พร้อมต่อการฝั่งตัว ดังนั้นยาคุมฉุกเฉิน จึงมิใช่ยาทำแท้ง อย่างที่หลายคนเข้าใจ

ปัจจุบัน นี้ในหมู่วัยรุ่น การใช้ยาคุมฉุกเฉิน กลับได้รับนิยม มากกว่าการใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากไม่ยุ่งยาก ในการรับประทาน และหาซื้อได้ง่าย ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งจากผลการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ของคนไทยพบว่า ชายและหญิง มีความสัมพันธ์ทางเพศ เร็วขึ้นจากเมื่อก่อน และการมีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคน ถือเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่น่าแปลกใจ หากกลุ่มลูกค้าหลัก ที่ซื้อยานี้ คือ กลุ่มวัยรุ่นชาย - หญิง ที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ จะเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง

นายชาญชัย นักเรียนชั้นม.4 โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ให้เหตุผลในการซื้อยาคุมฉุกเฉิน ว่ารู้จักมาจากเพื่อนๆ ที่ใช้อยู่เป็นประจำ เนื่องจากหาซื้อสะดวกและไม่ยุ่งยาก มีอะไรกัน แล้วก็รีบให้ผู้หญิงกิน ไม่ต้องกลัวว่าจะท้อง และยังพกง่ายกว่าถุงยางแลดูไม่น่าเกลียด เพราะไม่มีใครรู้ว่า เป็นยาอะไร ซึ่งโดยส่วนตัว ไม่ค่อยชอบใช้ ถุงยางอนามัยกับแฟน เพราะไม่เป็นธรรมชาติ จะใช้กับผู้หญิงอย่างว่ามากกว่า

นางสาวพัชราภรณ์ ดาบสมเด็จ นักศึกษา มรส. คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปี 4 กล่าวว่า การใช้ยาคุมฉุกเฉิน ทำให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ โดยขาดการยั้งคิดมากขึ้น เนื่องจากมียาคุมฉุกเฉินมาใช้ หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นวิธีป้องกันอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะหากเกิดตั้งครรภ์ โดยไม่ตั้งใจ เด็กที่เกิดมา ก็จะเป็นปัญหาสังคม หรือไม่มารดา ก็ไปทำแท้งเถื่อน ทำให้เป็นอันตรายต่อตนเอง และผิดหลักศีลธรรมด้วย


นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวถึงผลเสีย จากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ผิดประเภทในหมู่วัยรุ่นว่า จะทำให้เกิดพฤติกรรม ของการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควรเพิ่มมากขึ้น และอาจก่อให้เกิด ปัญหาสังคมตามมา ในอนาคต

ซึ่งสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาด ในประเทศไทยก็คือ เราสามารถซื้อยากินเองได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา ทำให้มีการนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้ อย่างพร่ำเพรื่อ ไม่ได้ใช้ในกรณี ที่ฉุกเฉินจริงๆ แล้วแทนที่ผู้ชาย จะพกถุงยางอนามัย หรือผู้หญิงจะพกถุงยางอนามัย เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง ผู้ชายกลับหันมาพกยาเม็ดนี้เอง พอมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วก็ให้ผู้หญิงกิน เพื่อป้องกันการท้อง

ปัญหาที่ตามมาก็คือ เมื่อมันง่ายที่จะมีเพศสัมพันธ์ หนุ่มสาวก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ ทำลงไปเพราะคิดว่า มีการป้องกันที่ปลอดภัย โดยขาดความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

และความเข้าใจผิดๆ ของผู้หญิงไทยอีกประการหนึ่งคือ สำนึกเรื่องความรับผิดชอบ คิดแค่ว่าผู้ชายคนนี้รัก หากไม่ยอมเป็นของกันและกัน ฝ่ายชายจะไปมีคนอื่น โดยไม่คิดถึงผลเสียที่อาจตามมา เช่น ปัญหาการทำแท้ง การติดโรคเอดส์ ฯลฯ

ทั้งนี้ยาคุมฉุกเฉิน จะมีประโยชน์มากๆ สำหรับกรณีถูกข่มขืน ซึ่งแพทย์ต้องป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ หากพบแพทย์ภายใน 3 วัน จะมีกระบวนการที่ทำให้สภาพร่างกาย ไม่เหมาะสมกับการตั้งท้อง โดยต้องกิน 2 ครั้ง ครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และกินครั้งที่สอง ห่างจากครั้งแรกไป 12 ชั่วโมง ยาจึงจะมีผลและประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด มิใช่กินภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ตามที่ใบกำกับยาระบุไว้

ซึ่งผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน คือ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนมาผิดปกติ ไม่มีอันตรายรุนแรง แต่ผลข้างเคียงในระยะยาวที่อาจทำให้เกิดมะเร็งได้นั้น ต้องดูจากพฤติกรรมการใช้ยา หากปฏิบัติถูกต้องตามหลัก ก็ไม่เพิ่มอัตราการเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แต่หากใช้ยาโดยขาดการควบคุมอันนี้ส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งแน่นอน


ด้านแนวทางป้องกัน ปัญหาการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ผิดประเภท นพ. พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ต้องให้ความรู้ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ ที่ปลอดภัยแก่วัยรุ่น ให้มากกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบัน ยังมีคนจำนวนมาก ที่ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อยู่ อีกทั้งคนที่เป็นผู้หญิง ก็ต้องรู้จักที่จะป้องกันตัวเอง จากการมีเพศสัมพันธ์ด้วย


ที่มา : ผู้หญิงนะคะ


Update 18-03-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์


โดย: หมอหมู วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:47:21 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]