มารู้จักโบท็อกซ์ ( BOTOX ) ฟิลเลอร์ ( FILLER ) ... ความรู้เพื่อประกอบการติดตามข่าว
มารู้จักโบท็อกซ์(BOTOX) รศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ * ประธานวิชาการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย **
โบท็อกซ์ คืออะไร?
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์ หากได้รับในปริมาณมากๆ เช่น จากอาหารกระป๋องที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อตัวนี้ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จากการที่กล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน ผู้ป่วยจึงหยุดหายใจ
*ในประเทศไทยมีจำหน่าย โดย 2 บริษัท มีชื่อการค้าว่า Botox และ Dysport
โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์ อย่างไร?
โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เกิด อัมพาตของกล้ามเนื้อเล็กๆนั้น โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 7 14 วัน
แล้วแพทย์เอา สารพิษ นี้มาใช้ทำไม?
แพทย์ทราบมานานหลายสิบปีแล้วว่าหากฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อในปริมาณน้อยๆ โบทูลินั่ม ท็อกซินจะทำให้กล้ามเนื้อ คลายตัว ดังนั้นในยุคแรกๆ จักษุแพทย์จึงนำโบทูลินั่ม ท็อกซิน มาฉีดรักษาโรคตาเหล่ ตาเข และโดยบังเอิญจากการฉีดรักษาในบริเวณรอบดวงตานี้เอง ก็ทำให้แพทย์พบว่าริ้วรอยบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากหว่างคิ้วและรอบดวงตาดีขึ้นด้วย
ในยุคต่อมาจึงมีการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน เพื่อประโยชน์ในด้านความสวยงามตามมาอย่างแพร่หลาย และมีเทคนิควิธีการที่ต่างๆ กันออกไป มีการนำมาฉีดเพื่อทำให้หน้าเรียวลง ยกกระชับผิวหนัง ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ตลอดจนรักษาอาการปวดศีรษะ ปวดเกร็งต้นคอ และอีกหลายกรณี ในประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมีการฉีดกันเป็น ล้านๆครั้ง ต่อปี
ผลของการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน อยู่นานเท่าใด?
โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับว่าฉีดรักษาอาการอะไร ฉีดบริเวณใด ฉีดเป็นครั้งแรกหรือเป็นการฉีดซ้ำ ผู้รับการรักษาอายุเท่าใด ซึ่งการที่ผลการรักษาอยู่ไม่ถาวรนั้น ที่จริงอาจนับได้ว่าเป็นข้อดี เพราะหากผลที่ได้รับไม่เป็นที่น่าพอใจ ในที่สุดก็จะค่อยๆ หายไปเองได้ ข้อเสียก็คือสิ้นเปลือง เพราะหากได้ผลดี ถูกใจก็ต้องฉีดซ้ำเรื่อยๆ
โบท็อกซ์ อันตรายหรือไม่
จากการรวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน จำนวนมาก ในต่างประเทศ พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ฉีดเพื่อความสวยงาม
ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก กลืนอาหารลำบาก หน้าไม่สมมาตร หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ
ดังนั้น แพทย์ และ ผู้ทำการรักษา จึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง
เมื่อเกิดผลข้างเคียงแล้วจะทำอย่างไร?
ดังที่ได้กล่าวแล้วตอนต้นว่าผลจากการฉีด โบทูลินั่มท็อกซิน นั้นจะค่อยๆ หมดไปเองภายในเวลาเป็นเดือน ดังนั้นผู้รับการรักษาจึงใจเย็นๆ และค่อยๆ รอให้ผลของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน หมดไปเองก็ได้
ส่วนในกรณีที่เกิดหนังตาตกนั้น ผู้รับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นกรณีไป
---------------------------------------------------------------------------------
แพทยสภาเตือนแพทย์ฉีดโบท็อกซ์ปลอม มีโทษถึงพักใช้ใบอนุญาตฯ ตามที่ปรากฏข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีมีการจับกุมผู้จำหน่าย Botulinum Toxin ปลอมนั้น นายแพทย์สัมพันธ์ คมฤทธิ์ ประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองประชาชนจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม การเสริมสวย และการโฆษณาของแพทยสภา ได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในคณะอนุกรรมการคุ้มครองประชาชนจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม การเสริมสวย และการโฆษณาของแพทยสภา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2558 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวและเห็นควรให้แจ้งเตือนแพทย์และประชาชนทราบดังต่อไปนี้ สาร Botulinum Toxin เป็นสารชีวพิษ แต่นำมาใช้ทางการแพทย์ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ การผลิตและการใช้สารนี้ต้องควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มงวด จากการจับกุมครั้งนี้ทำให้ทราบว่ามีการปลอมสารนี้ และมีการจำหน่ายในราคาถูกมาก(โดยคิดราคาต่ำกว่าของจริง 10 เท่า) และยังมีสารอื่น เช่น Filler จำหน่ายในราคาถูกกว่าของจริง ซึ่งผู้ที่ปลอมแปลงมีความผิดตามกฎหมายอยู่แล้ว มีการลอบการนำสารที่ไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เข้ามาและมาใส่ package ใหม่ โดยใช้ package ที่คล้ายกับของจริงที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ในการนี้ทราบว่ามีการกระทำเช่นนี้และใช้กันอย่างกว้างขวางโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน โดยคณะอนุกรรมการฯ มีความเป็นห่วงในความปลอดภัยของประชาชนเป็นอย่างยิ่งจึงแจ้งเตือนมายังแพทย์และประชาชน ดังนี้ 1.ขอให้แพทย์ ใช้ผลิตภัณฑ์จากผู้จำหน่ายที่ได้รับอนุญาตจาก อย.เท่านั้น และห้ามใช้ของปลอมโดยเด็ดขาด ถ้าแพทย์ท่านใดฉีดสารปลอม ท่านจะถูกลงโทษตามข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 2.ประชาชน ควรทราบว่า ของปลอมอาจไม่ได้ผลการรักษาตามต้องการ และอาจเกิดอันตราย หรืออันตรายแก่ชีวิตจากการใช้ของปลอมนี้ ถ้าประชาชนที่พบเห็นแหล่งผลิต แหล่งซื้อขายของปลอม โปรดแจ้ง อย. ถ้าประชาชนพบว่าแพทย์ใช้ของปลอมโปรดแจ้งแพทยสภาที่เบอร์โทร 02-5901886 3.แพทยสภาจะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ในการตรวจสอบผู้ประกอบการที่ขาย นำเข้า ของปลอมและจะดำเนินคดีตามกฎหมาย 4.พบว่าการปลอมแปลงมักจะทำโดยการลักลอบนำสารปลอมนี้เข้ามาเอง (โดยลักลอบ และ หลีกเลี่ยงการรับรองจาก อย.) หรือนำของปลอมมาใส่ใน package ที่เป็นของจริงทำให้ดูเหมือนของจริง ทั้งนี้คณะอนุกรรมการคุ้มครองประชาชนจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม การเสริมสวย และการโฆษณาของแพทยสภา จะเสนอต่อคณะกรรมการแพทยสภา ให้กำหนดโทษต่อแพทย์ที่ฉีดของปลอมอย่างรุนแรง เช่น พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัยประชาชน
หากประชาชนต้องการทราบข้อมูลผลิตภัณฑ์เวชสำอางต่างๆ สามารถโทร.สอบถามได้ที่สายด่วน อย. โทร. 1556 ครั้งละ 3 บาท ทั่วประเทศ รับฟังข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพทางโทรศัพท์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ..........................................
โบท็อกซ์ คืออะไร ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ ฝ่ายบริหารจัดการความรู้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BioTec) นักเขียนประจำ วิชาการ.คอม https://www.vcharkarn.com/varticle/244 โบท็อกซ์ คืออะไร ? คำว่า โบท็อกซ์ (Botox?) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสารชีวภาพชนิดหนึ่งคือ โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งถ้าใครไปค้นคำว่า โบทูลินัม ดู ก็จะพบว่าเป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งคือ คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์ คำว่า ท็อกซิน นั้นแปลตรงตัวว่า สารพิษ แต่ว่าคำนี้เป็นคำกลางๆ นะครับ กล่าวคือ อาจจะเป็นสารพิษต่อมนุษย์หรือไม่ก็ได้ เช่น สารพิษบางอย่างเป็นพิษต่อแมลงบางชนิด แต่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ ในกรณีนี้ก็เรียกสารดังกล่าวว่า ท็อกซิน ได้เช่นเดียวกัน ส่วนคำว่า เอ นั้นระบุว่า ท็อกซินชนิดนี้เป็นหนึ่งในท็อกซินที่สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ผลิตได้ (มีทั้งหมด 7 ชนิด)
ในบทความนี้ ผมจะขออนุญาตเรียกว่า ท็อกซิน ทับศัพท์ไป แทนที่จะใช้ว่า สารพิษ หรือ ชีวพิษ (ตามการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถาน) เพราะต้องการหลีกเลี่ยงความหมายที่เหลื่อมล้ำกันเล็กน้อยสำหรับคำในภาษาอังกฤษและไทยนะครับ ขอสรุปง่ายๆ เสียตรงนี้ก่อนว่า โบท็อกซ์ นั้นมีที่มาจากท็อกซิน ที่พบในแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในมนุษย์นั่นเอง ท็อกซินชนิดนี้พบตามธรรมชาติตั้งแต่ปี 1817 โดยนายแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ จัสทินัส เคอร์เนอร์ (Justinus Kerner) ท็อกซินชนิดนี้มีอันตรายไม่น้อย กล่าวคือ อาจมีความรุนแรง ถึงขนาดทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาต หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว เนื่องจากท็อกซินดังกล่าว จะออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ชนิดหนึ่ง คือ อะซีทิลโคลีน (acetylcholine) ได้ มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจหดตัวได้ ซึ่งในผู้ป่วยรายที่เสียชีวิต สาเหตุส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากว่า กล้ามเนื้อหน้าอกซึ่งเกี่ยวข้องกับการหายใจ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ นั่นเอง อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วสินะครับว่า ถ้าการมีท็อกซินดังกล่าวมีอันตรายเช่นนั้นแล้ว ทำไมยังจะมีคนต้องการฉีด โบท็อกซ์ อยู่อีก หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะสงสัยว่า ก็แล้ว โบท็อกซ์ มาเกี่ยวข้องกับการลบรอยเหี่ยวย่นได้อย่างไร คำตอบเรื่องนี้ง่ายนิดเดียวนั่นก็คือ
การที่กล้ามเนื้อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ (หรือเป็นอัมพาตไป) ก็จะมีผลข้างเคียงสำคัญคือ มันจะไม่สามารถทำให้เกิด รอยเหี่ยวย่น ได้นั่นเองครับ
จากการเยียวยาโรคสู่ ศัลยกรรมความงาม
ในระยะแรกของการนำ โบท็อกซ์ มาใช้งานนั้น จุดประสงค์หลักๆ ก็คือ เพื่อใช้สำหรับรักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อตา อาการตาเหล่หรือตาเข ตลอดไปจนถึงอาการปวดตึง ผิดธรรมดาของกล้ามเนื้อคอ โดยมีการอนุญาตให้ใช้ได้ในประเทศสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 2532 แต่เรื่องของการฉีดโบท็อกซ์มาฮือฮากันจริงๆ ก็ตอนที่องค์การอาหารและยา สหรัฐฯ หรือที่นิยมเรียกกันย่อๆ ว่า เอฟดีเอ (FDA, Food and Drug Administration) อนุมัติให้ใช้ โบท็อกซ์ เพื่อประโยชน์ในอุตสาหกรรมความงามในเดือนเมษายน 2545 เพราะฉะนั้น ใครไปฉีดโบท็อกซ์กันมาก่อนหน้านั้น ก็ควรจะรับทราบกันไว้ด้วยว่า เป็นการทำศัลยกรรมแบบผิดกฎหมายนะครับ เนื่องจากไม่มีหน่วยงานไหนในโลก รับรองความปลอดภัยให้นะครับ ส่วนของประเทศไทยนั้น องค์การอาหารและยา (หรือ อย.) อนุญาตให้ใช้ได้หรือไม่ ผมยังค้นข้อมูลแบบเป็นทางการไม่พบนะครับ ถ้าใครพอทราบช่วยบอกให้ทราบด้วยนะครับ ประเด็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งก็คือ การฉีดโบท็อกซ์นั้นจะเห็นผลได้เร็วมากคือ อาจจะเพียงไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึง 2-3 วันภายหลังจากการฉีด แต่ผลจากการฉีดจะไม่คงอยู่อย่างถาวรนะครับคือ มีรายงานว่าจะอยู่ได้ราว 3-6 เดือน (อาจนานได้ถึง 8 เดือน) หากต้องการลบรอยย่นอีก ก็ต้องฉีดซ้ำอีก โดยจะต้องเป็นการฉีดโดยตรง ที่กล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยง จากการแพร่กระจายของท็อกซิน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน ความคลั่งไคล้ ความงามแบบเปลือกๆ นั้นมีอย่างมากมายมหาศาลจนเหลือเชื่อเลยล่ะครับ สมาคมศัลยกรรมพลาสติก เพื่อความงามแห่งอเมริกา (ASAPS, the American Society for Aesthetic Plastic Surgery) ระบุว่า การฉีดโบท็อกซ์ เป็นกระบวนการที่เติบโตเร็วที่สุด ในอุตสาหกรรมเสริมความงามในปี 2544 โดยพบว่ามีชาวอเมริกันจำนวน มากกว่า 1.6 ล้านคน ที่ฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อนนั้นราว 46 เปอร์เซ็นต์ จำนวนดังกล่าวมากจน แซงหน้าจำนวนผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก (ซึ่งเป็นศัลยกรรมความงาม อีกแบบหนึ่งที่ฮิตมากในสหรัฐฯ) ในปีนั้นเสียอีก และถ้าใครช่างสังเกตสักนิด ก็จะสังเกตเห็นได้ว่า ตัวเลขที่ผมยกมาเป็นของปี 2544 ซึ่งเป็นปีก่อนหน้าที่ FDA จะอนุมัติ ให้ใช้โบท็อกซ์ เพื่อประโยชน์ด้านความงามเสียอีก!!! ไม่แน่ว่าสาเหตุหลักๆ ของเรื่องนี้อาจจะมาจากคำโฆษณา ประเภทที่ว่า คุณสามารถกลับเป็นหนุ่มสาวได้ง่ายๆ เพียงแค่การฉีดโบท็อกซ์เพียงเข็มเดียว หรือไม่ก็ ลบรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกาได้ผลทันใจ อะไรประมาณนั้น
ก็เป็นได้นะครับ ไหนๆ ก็พาดพิงถึงเรื่องการผ่าตัดเสริมอกแล้ว ก็ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า ข้อมูลที่ได้จากนิตยสาร Time ฉบับวันที่ 18 เมษายน 2548 ระบุว่า FDA ประกาศยกเลิกการใช้ ซิลิโคน สำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอกไปก่อนหน้านี้แล้วถึง 13 ปี สาเหตุหลักก็คือความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยมีสถิติที่ชี้ว่า ... มีโอกาสเสี่ยงสูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์สำหรับคนไข้ ที่จะเกิดการแตกของถุงซิลิโคน ภายในระยะเวลา 10 ปีภายหลังการผ่าตัด!!! สูงจนน่าตกใจเลยนะครับ ... เอ ว่าแต่เมืองไทยยังใช้ ซิลิโคน สำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอกกันอยู่ (อย่างถูกกฎหมาย) หรือเปล่า ใครพอจะทราบไหมครับ ? สวยแบบสุ่มเสี่ยง ข้อมูลที่คนส่วนใหญ่น่าจะไม่ทราบกันก็คือ ในสหรัฐฯ นั้น การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลบรอยเหี่ยวย่นหรือรอยตีนกา สามารถทำให้กับคนไข้อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปเท่านั้น หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ ศัลยกรรมความงามด้วยโบท็อกซ์ที่ทำกันอยู่นั้น จำนวนมากเป็นการทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผมก็ยังสงสัยว่า
ในหมู่คนไทยนั้น ไม่ว่าแพทย์หรือคนไข้จะมีสักกี่คนที่ทราบเรื่องนี้ เพราะเห็นโฆษณากันโครมครามจนดูเหมือนว่า ใครที่ต้องการก็น่าจะทำได้ (ถ้ามีเงินพอจ่าย)! นอกเหนือจากข้อควรระวังบางประการ จากการฉีดโบท็อกซ์ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์อาจจะมีผลทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ไม่ดี หรืออาจแย่ไปกว่านั้นอีกก็คือ ทำให้เกิดรอยแผล บริเวณตำแหน่งที่ฉีดโบท็อกซ์ได้อีกด้วย แต่คำเตือนที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นที่ FDA เตือนไว้เช่นกันก็คือ ในระหว่างการฉีดโบท็อกซ์ อาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้เสมอ (มักจะเกิดกับคนไข้ราว 3-10 เปอร์เซ็นต์) จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแล อย่างใกล้ชิดของแพทย์ และต้องทำการฉีดในสถานที่ซึ่งมีเครื่องมือ พร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์นั้น มีหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ปวดศีรษะ คลื่นไส้ คัน เจ็บคอ มีไข้ มีอาการคล้ายเป็นหวัด ไปจนถึงเกิดอาการเจ็บปวดและเกิดแผลช้ำบริเวณที่ฉีด เกิดอาการกล้ามเนื้อเปลือกตาหย่อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เป็นต้น ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดนั้น การฉีดโบท็อกซ์ที่ผิดขนาดไปมากๆ อาจทำให้คนไข้เสียชีวิตได้เช่นกัน ในเอกสารการวิจัยทางการแพทย์ก็มีระบุว่า ผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์บ่อยๆ นั้นมีผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีใบหน้าที่ ดูคล้ายหน้ากาก คือ แลดูไม่มีอารมณ์ ความรู้สึกมากขึ้นทุกที ซึ่งก็คล้ายกับอาการ ที่พบในผู้ป่วยที่โดนพิษโบท็อกซ์ ตามธรรมชาติบางราย ที่เป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าบางส่วน เนื่องจากโบท็อกซ์ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ง่ายและได้มาก การควบคุมปริมาณหรือโดส (dose) ของโบท็อกซ์ให้ถูกต้องเหมาะสม จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
วิทยาศาสตร์ฟุ่มเฟือย = วิทยาศาสตร์เทียม? จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า แม้ว่าเรื่องของโบท็อกซ์นั้น จะมีข้อมูลพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์รองรับอยู่จริง และไม่ได้เป็น วิทยาศาสตร์เทียม ด้วยตัวของมันเองก็ตามที แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยว่า การที่เริ่มต้นจากเจตนาดีที่ต้องการนำ โบท็อกซ์มาใช้ในการรักษาโรค แต่ต่อมาก็เกิดเลยเถิดมาเป็นเรื่องของการทำศัลยกรรมความงามไปเสียได้ (เรียกว่า ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา ไปเสียนี่) ทำให้ช่วยเน้นย้ำว่า ...
ตัวความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ได้มีความดีหรือความเลว โดยตัวของมันเอง แต่ขึ้นอยู่กับ ผู้นำไปใช้ และ จุดประสงค์ของการนำไปใช้ มากกว่า ว่าเป็นไป เพื่อประโยชน์ หรือ เพื่อผลประโยชน์ นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงนะครับ
เวลาอ่านนิยายกำลังภายในจีนแล้ว เราอาจจะพบว่าในเนื้อเรื่องมีการ ใช้พิษไปแก้พิษ (เข้าทำนองสุภาษิตไทยที่ว่า หนามยอกให้เอาหนามบ่ง) ซึ่งฟังดูออกจะแปลกประหลาดพิกลมากแล้ว แต่การใช้พิษแก้พิษก็จะกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปเลย ... เมื่อเทียบกับโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการ ใช้พิษเสริมความงาม กันอย่างมากมายบานตะไท (ชนิดไม่กลัวตายกันเลยทีเดียว) !!! บทความต่อ: ดีท็อกซ์: ล้างพิษร่างกาย ... ทำได้จริงหรือ? ได้ที่ https://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?Aid=329
แหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สำหรับท่านที่สนใจข้อมูลเกี่ยวกับโบท็อกซ์หรือมาตรฐานเกี่ยวกับอาหารและยาชนิดต่างๆ ท่านสามารถหาความรู้ได้จากเว็บไซต์ของ FDA ที่ https://www.fda.gov/ อีกเว็บไซต์หนึ่งที่ให้ข้อมูลอย่างละเอียดละออเกี่ยวกับโบท็อกซ์และเรื่องอื่นๆ ทางการแพทย์ได้แก่ https://www.emedicine.com/ บทความนี้บางส่วนดัดแปลงจาก นำชัย ชีววิวรรธน์ (2548), โบท็อกซ์ (Botox):สวยด้วยยาพิษ, คอลัมน์ จับผิดวิทย์เก๊, วารสารอัพเดท (UpDATE), ฉบับที่ 214
....................................
เลขาธิการฯ อย.กล่าวต่อไปว่า ขอเตือนประชาชน อย่าได้หลงเชื่อการโฆษณาผ่านทางเว็บไซต์ ที่โฆษณา การฉีดโบท็อกซ์ โดยเฉพาะการฉีดสารกลูตาไธโอน ที่อวดอ้างสรรพคุณทำให้ผิวขาวใส เพราะเป็นการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง เนื่องจากเป็นการนำสารกลูตาไธโอนมาใช้ในทางที่ผิด เพราะสารกลูตาไธโอนไม่ได้มีข้อบ่งชี้ ในการช่วยทำให้ผิวขาวใสขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ ประโยชน์ที่อาจนำมาใช้ในทางการแพทย์ตามที่ระบุในเอกสารวิชาการ คือ การรักษาพิษจากยาพาราเซตามอล โดยใช้เบื้องต้นสำหรับรักษาโรคมะเร็งบางชนิด และขณะนี้ อย.ไม่ได้มีการรับขึ้นทะเบียนตำรับยาที่ใช้สารนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ หากผู้ฉีดยาเป็นหมอเถื่อนที่ไม่ได้จบแพทย์ และไม่มีความรู้ด้านการรักษาหรือการฉีดยา ผู้บริโภคอาจได้รับอันตราย และเสียเงินทองจำนวนมาก พร้อมกันนี้ ขอเตือนมายังเจ้าของเว็บไซต์ทุกราย หรือแหล่งใดๆ ที่โฆษณาฉีดโบท็อกซ์ ฉีดกลูตาไธโอน หรือฉีดสารใดๆ ก็ตามเข้าไปในร่างกาย เพื่อทำให้ผิวขาวใส พร้อมการขายยา หรืออาหารเสริม อวดสรรพคุณทำให้ผิวขาว อย่าได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายผลิตภัณฑ์สุขภาพ หากเป็นเว็บไซต์จะประสานไปยังกระทรวงไอซีที ดำเนินการตรวจสอบและสั่งปิดเว็บไซต์ พร้อมดำเนินคดีต่อเจ้าของเว็บไซต์อย่างเคร่งครัด มีโทษทั้งจำและปรับ หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผิดกฎหมาย หรือโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงผ่านทางสื่อต่างๆ สามารถร้องเรียนมายังสายด่วน อย. โทร.1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่พบการกระทำความผิด
..................................
โบท็อกซ์ปลอม: อันตรายที่แท้จริง https://www.vcharkarn.com/varticle/41560 ปลอมอย่างแนบเนียน เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "โบท็อกซ์" ผ่านหูกันมาบ้าง คนส่วนใหญ่รู้จักโบท็อกซ์ในฐานะสารที่ฉีดเพื่อลบริ้วรอยบนใบหน้า โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของโปรตีนสารพิษ "โบทูลินัมท็อกซิน เอ" (Botulinum toxin A) ซึ่งผลิตจากแบคทีเรีย คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) แรกเริ่มเดิมทีโบท็อกซ์ถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้รักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อตา แต่เมื่อองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ อนุมัติให้ใช้โบท็อกซ์ในการศัลยกรรมเสริมความงามได้ เรื่องการฉีดโบท็อกซ์จึงได้รับความสนใจจากผู้รักสวยรักงามอย่างมาก ตลาดของโบท็อกซ์จึงเปลี่ยนจากการรักษาไปเป็นศัลยกรรมความงามอย่างรวดเร็ว
กระแสคลั่งไคล้โบท็อกซ์ แม้ผลกระทบจากการฉีดโบท็อกซ์จะยังหาข้อสรุปไม่ได้และยังถกเถียงกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายต่อผู้ที่ต้องการฉีดโบท็อกซ์เท่าใดนัก ผู้คนยอมเสี่ยงเพื่อแลกกับความงาม สมาคมศัลยแพทย์ศัลยกรรมพลาสติกของสหรัฐอเมริการายงานว่า ปี 2552 มีผู้ฉีดโบท็อกซ์ถึง 4.8 ล้านคน เป็นหญิง 4.5 ล้านคน ชาย 3 แสนคน ในจำนวนนี้เป็นวัยรุ่น (อายุ 18-19 ปี) กว่า 1,1000 คน! แม้ว่ากฎหมายสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศจะห้ามผู้ประกอบการไม่ให้ฉีดโบท็อกซ์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ก็มีรายงานว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ฉีดโบท็อกซ์อยู่บ่อยๆ ตัวอย่างเช่น ข่าวเมื่อเดือนมีนาคม 2553 รายงานว่า Hannah Burge เด็กสาวชาวอังกฤษ อายุ 16 ปี กล่าวว่าเธอได้ฉีดโบท็อกซ์ตั้งแต่เธออายุ 15 ปี! โดยแม่ของเธอเป็นผู้ฉีดให้ เด็กสาวให้เหตุผลว่าเธอต้องการลบรอยย่นที่หน้าผาก 2 เส้น และรอบๆ ปาก เธอไม่อยากรอให้ใบหน้าเธอน่าเกลียดตอนอายุ 25 เธอยังบอกอีกว่าเพื่อนที่โรงเรียนใครๆ ก็พูดถึงโบท็อกซ์กันทั้งนั้น และเธอคิดว่าใครๆ ก็ฉีดกันทั้งนั้น เพียงแต่เธอฉีดเร็วกว่าคนอื่นนิดหน่อย เท่านั้นเอง
กระแสนิยมความงามที่เปลือกนอกผลักดันให้อุตสาหกรรมการผลิตโบท๊อกซ์เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะมีกฎหมายควบคุมแต่ดูเหมือนผู้ที่ต้องการโบท็อกซ์ก็สามารถดิ้นรนหามาใช้จนได้ โดยไม่สนใจว่าจะได้มาอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ อย่างกรณีของ Hannah Burge แม่ของเธอผู้ผ่านการทำศัลยกรรมพลาสติกมามากว่า 100 ครั้ง สั่งซื้อโบท็อกซ์จากต่างประเทศผ่านทางอินเตอร์เน็ต ผลกำไรมหาศาลในธุรกิจโบท็อกซ์ดึงดูดผู้ประกอบการจำนวนมากให้เข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากธุรกิจนี้ การผลิต การขายและการให้บริการอย่างผิดกฎหมายจึงเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้ว "โบท็อกซ์ปลอม" จำนวนมากจึงมาถึงมือผู้บริโภคในที่สุด มีการประเมินจากผู้ผลิตโบท็อกซ์ว่าบริษัทเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับโบท็อกซ์ปลอมคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียหลายร้อยดอลลาร์ต่อปี
โบท็อกซ์ปลอมมีหลายระดับ ในช่วงแรกที่โบท็อกซ์ถูกนำมาใช้เสริมความงาม โบท็อกซ์ของแท้ยังผลิตได้ไม่มากนักและมีราคาสูง จึงมีพ่อค้าหัวใสอาศัยช่องว่างนี้นำสินค้าโบท็อกซ์ปลอมมาขาย จากการสำรวจพบว่า 80% ของโบท็อกซ์ปลอมแปลงที่ขายในช่วงนี้ไม่มีโบทูลินัมท็อกซินอยู่เลย โบท็อกซ์ปลอมอาจทำมาจากน้ำเปล่า น้ำเกลือ หรือวิตามินก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่มีสารออกฤทธิ์อยู่เลย เรียกได้ว่าเป็น "โบท็อกซ์ปลอมล้วนๆ" ใช้การหลอกขายกันอย่างซึ่งๆหน้า บางรายใช้วิธีพื้นๆ อย่างการตั้งชื่อให้พ้องเสียงกับของแท้ เช่น "Butox หรือ Beauteous" (ของแท้คือ Botox) ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ให้บริการเสริมความงามซึ่งนำไปใช้ฉีดน่องเพื่อเพิ่มความกระชับให้กับผู้ใช้บริการ อย่างไรก็ตามผู้ที่ซื้อโบท็อกซ์ปลอมล้วนๆ ไปใช้ยังถือว่าโชคดี เพราะการฉีดน้ำเกลือหรือวิตามินที่ใส่ขวดหลอกขายเป็นโบท็อกซ์อย่างน้อยก็ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
โบท๊อกซ์ปลอมล้วนๆ ย่อมไม่สามารถหลอกใครได้นานนัก เพราะการใช้เพียงครั้งเดียวก็ทำให้ทราบว่าถูกหลอกขายของปลอม และเมื่อการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลบริ้วรอยได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้ให้บริการด้านความงามก็ต้องพยายามสรรหาช่องทางและวีธีการให้ได้มาซึ่งโบท็อกซ์ที่ราคาถูกและลูกค้าพึงพอใจในผลลัพธ์ จึงต้องเข้มงวดขึ้นเลือกซื้อโบท็อกซ์จากตัวแทนจำหน่าย แต่ผู้ผลิตสินค้าปลอมเองก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ มีการพัฒนาโบท็อกซ์ปลอมด้วยเช่นกัน
ที่โบท็อกซ์ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะปัจจุบันผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตโบทูลินัมท็อกซินความบริสุทธิ์สูง (pharmaceutical grade) สำหรับฉีด ทั่วโลกมีเพียง 7 ราย เท่านั้น ที่จริงยังมีผู้ผลิตโบทูลินัมท็อกซินรายอื่นอยู่อีก เพียงแต่ได้รับอนุญาตและมีความสามารถในการผลิตโบทูลินัมท็อกซินที่มีความบริสุทธิ์ต่ำกว่า สำหรับการทดลองทางวิยาศาสตร์ (reagent grade) เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือมีราคาถูกกว่ามาก ทั่วโลกมีผู้ผลิตโบทูลินัมท็อกซินสำหรับการทดลองหลายสิบราย จึงเป็นช่องทางในการผลิตโบท็อกซ์ปลอม โบทูลินัมท็อกซินสำหรับทดลองนี้ถูกนำไปบรรจุในหลอดแก้วติดฉลากเป็นโบท็อกซ์แล้วนำไปขายปะปนกับของแท้ ซึ่งก็สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการเพราะสามารถออกฤทธิ์ได้จริงขณะเดียวกันผู้ให้บริการก็พอใจเพราะราคาถูก และหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นผู้ให้บริการก็สามารถอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดจากผลกระทบของการฉีดโบท็อกซ์ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ รวมทั้งผู้ใช้บริการยังเซ็นยินยอมไว้แล้ว
"โบท็อกซ์ปลอมเกรดสำหรับการทดลอง" ส่วนใหญ่มาจากเอเชียผ่านทางตัวแทนจำหน่ายเถื่อน ไม่มีใครทราบว่าโบทูลินัมท็อกซินสำหรับการทดลองถูกแจกจ่ายให้กับธุรกิจโบท็อกซ์ปลอมได้อย่างไร ทางโรงงานหรือผู้ผลิตมีส่วนรู้เห็นกับการกระบวนการผลิตโบท็อกซ์ปลอมหรือไม่ พ่อค้าคนกลางอาจซื้อโบทูลินัมท็อกซินจากผู้ผลิตเหล่านี้แล้วนำไปบรรจุในหลอดแก้วติดฉลากเป็นโบท็อกซ์แล้วขายให้กับผู้ให้บริการศัลยกรรมความงาม หรือผู้ให้บริการศัลยกรรมความงามเถื่อนอาจสั่งซื้อโบทูลินัมท็อกซินในราคาถูกจากผู้ผลิตสำหรับการทดลองแล้วนำมาฉีดให้กับผู้ใช้บริการ โบท็อกซ์ปลอมแบบนี้คล้ายกับโบท็อกซ์ของแท้มาก ในประเทศจีนมีตัวแทนจำหน่ายเถื่อนอย่างน้อย 20 ราย ทุกรายอ้างตัวเป็นบริษัท มีเวปไซต์ที่ดูน่าเชื่อถือ ประกาศตัวว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายทีได้รับอนุญาตอย่างแนบเนียน เพียงแต่ที่ตั้งของบริษัทที่อยู่บนเวปไซต์ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงหรือเป็นที่ตั้งของสำนักงานร้าง ตัวแทนจำหน่ายเหล่านี้ขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตเท่านั้นจึงไม่น่าแปลกใจถ้าผู้ให้บริการเสริมความงามหลายรายจะถูกหลอก
การลักลอบนำโบทูลินัมท็อกซินที่มีความบริสุทธิ์ต่ำไปผลิตโบท็อกซ์ปลอมเป็นวิธีการที่แนบเนียนและมีประสิทธิภาพ แต่ใช่ว่าจะผลิตโบท็อกซ์ปลอมได้มากมายนัก เพราะโบทูลินัมท็อกซินความบริสุทธิ์ต่ำที่ลักลอบมาขายเป็นเพียงบางส่วนที่ผลิตได้ การจะลักลอบนำมาขายให้มากขึ้นก็เป็นไปได้ยาก จำนวนโรงงานก็มีอยู่จำกัด ทางออกสำหรับผู้ผลิตโบท็อกซ์ปลอมก็คือ ตั้งโรงงานเพื่อผลิตโบทูลินัมท็อกซินเอง วิธีนี้ทำให้สามารถผลิตโบท็อกซ์ปลอมได้เท่าที่ต้องการและยังได้กำไรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วย มีหลักฐานว่าสหภาพโซเวียตเก่าเป็นแหล่งผลิตโบท็อกซ์ปลอมโดยมีแก๊งอาชญากรเกี่ยวข้องด้วย ที่นี่สามารถตั้งโรงงานเถื่อนเพื่อผลิตโบทูลินัมท็อกซินได้เอง เพราะเดิมมีโรงงานผลิตยาปลอมอยู่จำนวนมาก ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงคนหนึ่งกล่าวว่าการผลิตโบท็อกซ์ปลอมนี้ดำเนินมานานกว่า 3 ปีแล้ว โดยมีโรงงานผลิตโบทูลินัมท็อกซินอยู่ในสาธารณรัฐเชชเนียและนำมาบรรจุหลอดแก้วที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ทั้งหลอดแก้ว ฉลาก และห่อบรรจุเหมือนกับโบท็อกซ์ของแท้จนแยกไม่ออก เรียกได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมโบท็อกซ์ปลอมแบบครบวงจร
อันตรายจากโบท็อกซ์ปลอม โบท็อกซ์ปลอมไม่ว่าจะมาจากการผลิตโดยโรงงานเถื่อนหรือจากการนำโบทูลินัมท็อกซินสำหรับการทดลองทางวิยาศาสตร์มาปลอมแปลงล้วนแล้วแต่มีสิ่งเจือปนสูงกว่าของแท้ทั้งสิ้น สิ่งเจือปนทั้งหลายอาจเป็นพิษโดยตรงหรือก่อให้เกิดภูมิแพ้แก่ผู้ฉีด นอกจากนี้สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าคือโบท็อกซ์ปลอมมีความเข้มข้นของโบทูลินัมท็อกซินไม่แน่นอน โดยปกติการฉีดโบท็อกซ์ต้องคำนวณปริมาณที่ใช้ฉีดให้เหมาะสม การฉีดเกินไปเพียงเล็กน้อยเป็นอันตรายถึงชีวิต เมื่อความเข้มข้นแต่ละหลอดที่นำมาใช้ความเข้มข้นไม่เท่ากัน แม้แพทย์จะคำนวณปริมาณการฉีดได้ถูกต้องแต่คนไข้อาจได้รับโบทูลินัมท็อกซินไม่ตรงตามที่คำนวณ ถ้าได้รับน้อยไปก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าได้รับมากไปก็อาจทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิต อย่างไรก็ตามอันตรายทั้งหลายที่กล่าวเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับบุคคลเพียงไม่กี่คนเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่ก็ยอมรับความเสี่ยงจากโบท็อกซ์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเทียบไม่ได้เลยกับการที่โบท็อกซ์ปลอมเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ!
อันตรายที่แท้จริง อันตรายที่แท้จริงจากโบท็อกซ์ปลอมคือการที่โบทูลินัมท็อกซินตกไปอยู่ในมือผู้ก่อการร้าย นี่ไม่ใช่การวิตกกังวัลจนเกินเหตุแต่อย่างใด โบท็อกซ์ปลอมจำนวนมากที่มีขายปะปนอยู่กับของแท้จนแยกแยะแทบไม่ออกเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า การผลิตโบท็อกซ์ทั้งกระบวนการอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีใครสามารถควบคุมการตั้งโรงงานผลิตจนมีโรงงานเถื่อนผลิตโบทูลินัมท็อกซินทั่วโลกซึ่งไม่ทราบว่ามีอยู่เท่าใด มีกำลังการผลิตโบทูลินัมท็อกซินเท่าใด มีตัวแทนจำหน่ายเถื่อนอยู่มากมายและพร้อมที่จะขายโบท็อกซ์ปลอมให้ใครก็ตามพี่มีเงินซื้อ แม้แต่ผู้ก่อการร้าย
การแก้ปัญหา? ผู้ผลิตโบท็อกซ์ของแท้รายหนึ่งพยามแก้ปัญหาด้วยแนวคิดที่ว่าหากความต้องการโบท็อกซ์ปลอมลดลงจะทำให้โรงงานผลิตโบท็อกซ์เถื่อนขายไม่ออกและต้องปิดไป จึงใส่หมายเลขผลิตภัณฑ์กำกับไว้ทุกขวด เปลี่ยนฉลากและห่อบรรจุที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงยากจะเลียนแบบ รวมทั้งให้ความรู้แก่ผู้ใช้ "โบท็อกซ์ของแท้สังเกตอย่างไร" หรือ "อันตรายจากการใช้โบท็อกซ์ปลอม" เป็นต้น ซึ่งก็อาจคนใช้โบท็อกซ์ปลอมลดลงและใช้ของแท้มากขึ้น แต่คงไม่ทำให้โรงงานผลิตโบท็อกซ์ปลอมต้องปิดตัวลงเพราะขายโบท็อกซ์ปลอมไม่ได้ เพราะโรงงานเถื่อนก็ยังมีตลาดอื่นอย่างผู้ก่อการร้ายหรือประเทศที่กำลังมีสงครามอยู่ แล้วการผลิตโบทูลินัมท็อกซินเพื่อใช้เป็นอาวุธก็ง่ายกว่าผลิตไปใช้เสริมความงามด้วย ผู้ผลิตโบท็อกซ์ของแท้อีกรายพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าโดยการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อสืบสวนหาและปิดโรงงานเถื่อน ซึ่งแม้จะปิดได้สำเร็จ แต่ก็มีโรงงานเถื่อนเปิดขึ้นใหม่ด้วยอัตราที่เร็วกว่า เพราะมีเงินทุนมหาศาลจากการขายโบท็อกซ์ปลอมและยังคงมีผู้ต้องการโบท็อกซ์ปลอมอยู่
โบท็อกซ์ในประเทศไทย ในประเทศไทยนั้นไม่พบข้อมูลว่าองค์การอาหารและยามีมาตรการควบคุมดูแลโบท็อกซ์อย่างไร มีเพียงแพทย์หรือผู้เชี่่ยวชาญให้คำแนะนำว่าถ้าต้องการฉีดโบท๊อกซ์ ให้รับการฉีดจากแพทย์ที่เชื่อถือได้ โดยสถาบันที่เชื่อถือได้ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครหรือที่ไหนที่เชื่อถือได้? ในเมื่อสถานบริการด้านความงามทุกแห่งอ้างว่าตัวเองใช้ของที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ จริงอยู่สถานบริการด้านความงามอาจจะซื่อสัตย์ต่อลูกค้าไม่ซื้อของปลอมมาใช้ แต่สถานบริการอาจถูกตัวแทนจำหน่ายหลอกขายโบท็อกซ์ปลอม หรือตัวแทนจำหน่ายอาจจะรับโบท็อกซ์ปลอมมาจากโรงงานเถื่อนโดยไม่รู้ ผู้ใช้อาจตรวจสอบจากหมายเลขหรือฉลากที่ยากจะเลียนแบบ แต่อย่าได้ประมาทเทคโนโลยีของผู้ผลิตสินค้าปลอม เพราะผู้ผลิตของปลอมก็พร้อมที่จะลงทุนปลอมแปลงให้เหมือนที่สุดเช่นกันเพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่อยากลองฉีดโบท็อกซ์ก็ลองคิดดูให้ดีว่า ในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไร "ของแท้" หรือ "ของปลอม" อันไหนหาง่ายกว่ากัน?
เอกสารอ้างอิง "2010 REPORT of the 2009 STATISTICS", American Society of Plastic Surgeons®, 2010 "Fake Botox, Real Threat", Coleman and Zilinskas, Scientific American, June 2010 "Why the 'Human Barbie' is now injecting her own 16-year-old daughter with Botox", Lucy Ballinger, MailOnline, March 2010 https://www.fakebotoxrealthreat.com/
..................................
เตือนระวังสารโบท็อกซ์ปลอม https://www.banmuang.co.th/news/bangkok/14854 ถ้าพูดถึงเรื่องความงามจาก สารท็อกซิน หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า สารโบท็อกซ์ เป็นอีกหนึ่งวิวัฒนาการด้านความงามที่ทั้งหญิงและชายต่างให้การยอมรับในประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม และเห็นผลชัดเจน ในเรื่องของการลดริ้วรอย เมื่อนำมารักษาด้านความงามได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังมีรายงานจากสมาคมศัลยแพทย์ศัลยกรรมพลาสติกของสหรัฐอเมริกาว่า ในปี 2552 มีผู้ฉีดสารท็อกซินถึง 4.8 ล้านคน เป็นหญิง 4.5 ล้านคน ชาย 3 แสนคน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นวัยรุ่นกว่า 11,000 คน จำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงการได้รับความสนใจจากผู้รักความสวยความงามเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแต่สารท็อกซินจากเกาหลี ประเทศที่ได้ชื่อเป็นผู้นำเทรนด์เรื่องความสวยความงาม ก็ได้รับการตอบรับดีไม่แพ้กันเลยทีเดียว เนื่องจากมีราคาที่ไม่สูงมาก จึงทำให้ผู้เสพความงามทั้งหลายยิ้มกลับบ้านไปแบบสบายกระเป๋าอีกด้วย ข้อดีเหล่านี้ จึงทำให้กลไกการตลาดด้านความงามเติบโตสูงขึ้น และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ เมื่อมีความต้องการมากทำให้มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใส หิ้วสารท็อกซินปลอม หรือขายตามโลกออนไลน์มากขึ้นเช่นเดียวกัน ภญ.หญิง สิเนหา มังกรแก้ว เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญและผู้จัดการ บริษัท เซเลส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สารโบท็อกซ์ของแท้ คือ สารโปรตีนบริสุทธิ์ ซึ่งจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ที่ต้องได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจะใช้ได้เฉพาะคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ดังนั้นสารท็อกซินที่หิ้วขายกันอยู่เกลื่อนกลาดให้เห็นกันทั่วไปบนโลกอินเตอร์เน็ต ขอชี้ชัดว่า ส่วนมากจะเป็นสารท็อกซินที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเป็นผงแป้งไม่มีฤทธิ์ทางการรักษา หรือไม่ก็เป็นสารโปรตีนที่ไม่มีคุณภาพจากประเทศจีน แปะฉลากปลอม แต่สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่า คือ สารท็อกซินปลอมมีความเข้มข้นของโบทูลินัมท็อกซินไม่แน่นอน อาจมีปริมาณเกินมาตรฐาน ซึ่งโดยปกติการฉีดท็อกซินต้องคำนวณปริมาณที่เหมาะสม การฉีดเกินไปเพียงเล็กน้อยก็เป็นอันตรายเกิดใบหน้าผิดธรรมชาติได้ และถ้าได้รับมากไป ก็อาจทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาตชั่วคราวและยังไม่มีวิธีแก้ไขผลข้างเคียงจากการฉีดสารท็อกซินที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากรอให้ยาหมดฤทธิ์ไปเองระยะเวลานาน 4-6 เดือน และที่สำคัญการฉีดสารท็อกซินปลอมซ้ำๆ มีโอกาสทำให้ดื้อยาและผลที่ตามมา คือ เมื่อกลับไปฉีดสารโปรตีนบริสุทธิ์ที่มีมาตรฐานในครั้งต่อไป ก็อาจไม่ได้ผลแล้ว อย่างไรก็ตาม ภญ.สิเนหา แนะนำอีกว่า สารโปรตีนบริสุทธิ์เป็นสารที่มีความปลอดภัยเพราะจะสลายหมดไปในร่างกาย จึงสามารถฉีดซ้ำได้ทุกๆ 4 เดือน โดยมีการแนะนำในการฉีดแต่ละครั้งคือไม่เกิน 200 ยูนิต และไม่ควรฉีดบ่อยกว่าทุกๆ 4 เดือน ยกเว้นแต่การแก้ไขโดยผ่านมือแพทย์เท่านั้น กระแสนิยมความงามได้ผลักดันให้อุตสาหกรรมการผลิตสารท็อกซินเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคไฟเบอร์เข้าถึงง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว ถึงแม้สารท็อกซินจะมีกฎหมายควบคุมอยู่ แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ยากเกินความสามารถของผู้ต้องการ โดยไม่คำนึงถึงว่า สิ่งที่เลือกมีความปลอดภัย มั่นใจได้100% จริงหรือ เพียงเพราะราคาถูกกว่า แต่มันไม่คุ้มค่าที่ต้องแลกกับความงามที่ต้องมาพร้อมกับความเสี่ยง อยากจะสวยก็ควรดูให้ละเอียดรอบคอบ เพื่อจะได้สวยอย่างคุ้มค่าและปลอดภัย!!!
..........................................
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ https://www.facebook.com/ittaporn/posts/1180923298635141 "น่าเศร้า..บอดอีกราย สาวไทยห่วงสวย.." วันนี้ผมรับเรื่องร้องเรียนมาอีกราย ..ด้วยความเศร้าใจ สาวน้อยอนาคตไกล.. ต้องตาบอดเฉียบพลัน จากอยากสวยด้วย filler... เพราะเหตุจากแรงเชียร์ของ เจ้าหน้าที่คลินิก.. หลังจากฉีดแล้วตาบอดคาเข็ม... เด็กสาวกลายเป็นคนตาบอด .. เมื่อเกิดปัญหา เราจะต้องมีขั้นตอนดังนี้ 1.ตรวจสอบคนที่ฉีด 2.ตรวจสอบคลินิกที่ฉีด 3.ตรวจสอบสารที่ฉีด ต้องขอขวดมาด้วยทุกครั้งนะครับ ยาบางอย่างห้ามใช้แล้ว บางที่เอามาใช้ทำให้ตาบอด 4.รีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับมหาวิทยาลัยให้แก้ไข เร็วที่สุด (แต่มักไม่สำเร็จนะครับ) กรณีต้องการร้องเรียน 1.ตามพรบ.วิชาชีพเวชกรรม โดยตรวจว่าหมอเถื่อนหรือหมอจริงจาก เว็บแพทยสภา https://tmc.or.th/check_md/ แล้วพิมพ์ออกมา ถ้าหมอจริงฟ้องมาที่ ฝ่ายจริยธรรม 02 589 7700 email tmc@tmc.or.th (เพื่อตรวจมาตรฐานแพทย์ ลงโทษแพทย์ ไม่เกี่ยวกับเรียกร้องเงิน ประมาณคดีอาญา) 2.ถ้าไม่ใช่แพทย์ แจ้งความโรงพักเป็นคดีได้เลยครับ เราเรียกว่า "หมอเถื่อน" 3.แจ้งดำเนินคดีคลินิก ตาม พรบ.สถานพยาบาล ที่สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลป์ ที่คุมคลินิก เพื่อเรียกค่าเสียหาย ดูที่นี่ https://mrd-hss.moph.go.th/mrd/index.php โทรร้องเรียนได้ 24 ชม. ที่นี่ 02-193-7999 ถ้าเอาหมอเถื่อนมายิ่งโทษหนัก.. แต่อยากขอเตือนเพื่อนๆด้วยนะครับ ฉีดรอบๆตา อันตราย โดยเฉพาะถ้าใช้สารที่ไม่ได้รับอนุญาตยิ่งอันตราย สลายไม่ได้ (แพทยสภาเคยประกาศเตือนไปแล้วครับ) ถ้าหมอเถื่อนราคาถูกยิ่งไปกันใหญ่..อยากสวยอย่าให้เสี่ยงอันตรายนะครับ ปรึกษา อาจารย์ Pravit Asawanonda และ Rungsima Wanitphakdeedecha ช่วยผมแนะนำเพิ่มเติมหน่อยนะครับ ขอปรึกษาท่านอธิบดี สบส.คนต่อไป Wisit Tangnapakorn และ อ.Akom Praditsuwan ด้วยครับ บทความอ่านประกอบ
ในไทย มีคนฉีดฟีลเลอร์แล้วตาบอดกี่ราย? ในต่างประเทศรายงานตาบอดแล้วกว่า 98 ราย และตาย 1คน ฉีดฟีลเลอร์ปลอดภัยจริงไหม ???? https://pantip.com/topic/35380193
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2552 |
| |
|
Last Update : 31 สิงหาคม 2561 15:04:59 น. |
| |
Counter : 17915 Pageviews. |
| |
|
|