un'estate italiana : Day 12 วันสุดท้ายที่อิตาลี

Day 12 / 20 เมษายน 58 วันสุดท้ายของการเดินทาง

เราตื่นเช้าเนื่องจากวันนี้ช่วงเช้าผึ้งต้องบินกลับฮอลแลนด์ก่อน โดยกลับสนามบินมัลเปนซ่าด้วยรถบัสที่สถานีรถไฟเชนทราเล่ตอน9.00น. เราร่ำลาและลากกระเป๋าเดินไปส่งที่สถานีรถไฟซึ่งจุดขึ้นรถ Shuttle Bus มีให้บริการหลายเจ้าที่ด้านข้างของสถานีรถไฟ เราเลือกคันที่ดูโอเคหน่อย สนนราคาค่ารถไปสนามบินอยู่ที่ 10euro

หลังจากนั้นจึงเหลือเพียงแค่ 3 หนุ่มที่ยังมีเวลาเดินทางท่องเที่ยวเก็บรายละเอียดในเมืองมิลานเป็นวันสุดท้ายเมื่อส่งผึ้งเสร็จแล้วเราจึงแวะกินกาแฟและอาหารเช้าที่ Motta Café ในสถานีรถไฟ ผมกินคอมโบ้เหมือนเดิมที่ราคา 4.10euro (กาแฟขนม และ น้ำส้ม)

วันนี้เรากะว่าจะขี่จักรยานเล่นเนื่องจากเห็นตามที่ต่างๆว่ามันมีจักรยานเช่าซึ่งมองผ่านๆ เหมือนจะไม่แพง เราจึงแวะไปเช็คค่าเช่าจักรยานและได้ข้อมูลว่าให้ติดต่อช่องขายตั๋วเมื่อไปดำเนินการติดต่อประสานงานและอ่านรายละเอียดจริงๆ แล้วมันมีรายละเอียดเยอะและไม่ได้ถูกอย่างที่คิดเพราะไม่ใช่การเช่าแต่เป็นรูปแบบการแบ่งปัน (Sharing) ที่เราต้องขี่จากจุดหนึ่งไปอีกจุดและฟรีในเวลา 30 นาทีหลังนั้นจะชาร์จบัตรเครดิตเรา ซึ่งคิดสารตะแล้วไม่เอาดีกว่าหลังจากนั้นจึงแวะเดินซื้อของที่ร้านซาร่าแถวสถานีรถไฟแล้วกลับบ้านเพื่อไปเก็บกระเป๋าแพ๊คให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงออกเดินทางเข้าเมืองไปเดินเที่ยว

เราออกจากบ้านตอนประมาณ 11.00 เพื่อไปเที่ยวแถว Duomo เนื่องจากยังไม่ได้เดินดูและถ่ายรูปเล่นที่ Galleria Vittorio Emanuele II (เรียกสั้นๆว่า Galleria ละกัน) เมื่อไปถึงจึงแวะกิน Burger King ใน Galleria เพื่อเติมพลังงานก่อนเดินเที่ยวเล่น

Galleria Vittorio Emanuele II นี้ตามประวัติว่าไว้ว่าคือสถานที่ช๊อปปิ้งที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ทางเดิน (อาเขต) ภายในประกอบไปด้วยตึก 4 ชั้น 2 ด้าน ส่วน Vittorio Emanuele II นี่เป็นชื่อกษัตริย์องค์แรกของอาณาจักรอิตาลี (ชื่อเดียวกับอาคาร National Monument to Victor Emmanuel II ที่เราไปถ่ายรูปในวันสุดท้ายที่โรม) ตัว Galleria นี้อยู่ข้างๆ Piazza del Duomo (สะดวกมาก) ทางเดินภายในที่มีหลังคากระจกกันแดดฝนเป็นโครงเหล็กดัดและกระจกซึ่งฮิตมากในศตวรรษที่ 19 และที่นี่เป็นเหมือนต้นแบบสำหรับย่านช๊อปปิ้งอีกหลายเมืองในโลก (เช่น ลอนดอนบรัสเซล เซนท์ปีเตอร์สเปิร์ก บูดาเปส ฯลฯ) 

บริเวณกึ่งกลางของอาเขตจะเป็นจุดตัดรูป 8 เหลี่ยมที่มีโดมแก้วที่สวยงาม  ณ จุดนี้ที่พื้นจะเป็นกระเบื้องโมเสคสัญลักษณ์โล่ของเมืองทั้ง 4 ในอาณาจักรอิตาลีเดิม (ตูริน ฟลอเร้นส์ โรม และมิลาน) ซึ่งในอดีตมีความเชื่อว่าถ้าใครมาหมุนตัว 3 รอบด้วยส้นเท้าที่ไข่ของวัว(สัญลักษณ์เมืองตูริน) จะนำมาซึ่งความโชคดี ซึ่งมันเลยทำให้โมเสคบริเวณนั้นเป็นหลุม (ไม่ทันได้สังเกตเลยตอนอยู่ที่นั่น)

เราเดินเล่นใน Galleria กันซักพักก็เดินต่อไปทางเหนือยังจัตุรัส Piazza della Scala ที่มีอนุสาวรีย์ Leonardo da Vinci ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาสักการะอยู่เยอะแยะไปหมด ใครๆ คงอยากถ่ายรูปคู่กับท่านเลโอนาโด้ 55 แต่ในจังหวะที่เราเดินมาถึงนั้นเขากำลังจัดการเก็บนั่งร้านรอบอนุสาวรีย์นี้อยู่เราจึงเดินต่อไปเพื่อไปยังปราสาท Sforza อีกครั้งซึ่งไม่ได้ไกลมากนัก 

เราเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอยจนมาถึงวงเวียน Largo Cairoli ซึ่งจะเห็นอนุสาวรีย์ Monumento a Garbaldi ชายขี่ม้าสัมริดสร้างประมาณปี 1895 ซึ่ง Garbaldi นั้นเป็นนายพลและนักการเมืองในช่วงปี 1800กว่าๆ ถือเป็นกลุ่มผู้นำในยุคเดียวกับ Emmanuelle II และถือเป็นระดับบิดาแห่งอาณาจักรอิตาลีมีฉายาว่าฮีโร่ชอง 2 โลก (Hero of Two Worlds) เนื่องจากเคยมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติผ่านสนามรบที่บราซิล อุรุกวัย และยุโรปมาแล้ว

 ถัดจากอนุสาวรีย์มีซุ้มงาน Expo 2015 ที่กำลังจะจัดในเดือน พ.ค. (ตอนเราไปถึงงานยังไม่เริ่ม) เราเข้าไปเดินชมของในที่เป็นของดีไซน์ต่างๆ และก็เลยซื้อกันมาฝากเพื่อนๆ ที่เมืองไทยกัน

เราเดินต่อไปยัง Castello Sforzesco เพื่อเดินเล่น จริงๆเป้าหมายคือจะเดินไปสวนที่ด้านหลังเพราะเมื่อวานเห็นอนุสาวรีย์สวยๆ อันหนึ่งเราดินเล่นบ้าง แวะนั่งพักบ้างภายใน Sforza จนทะลุมาออกอีกทางที่จะเจอสวนปาร์โก้เซมปิโอเน่ (Parco Sempione) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองมิลานสร้างตั้งแต่ปี1888 (พื้นที่ 386,000 ตร.ม.) ซึ่งอนุสาวรีย์ที่สวยๆที่เรามองเห็นจะต้องเดินทะลุสวนนี้ไปอีกด้านนึง อนุสาวรีย์นี้มีชื่อว่า Arco della Pace

เราเดินเล่นภายในสวนซึ่งภายในมีสระน้ำที่มีนกเป็ดน้ำว่ายเล่นมีผู้คนมานั่งเล่นพักผ่อนกันมากมาย มีคนแก่จูงหมามาเดินเล่นบ้าง นั่งให้อาหารนกบ้างวัยรุ่นตั้งวงเดาะบอล บางคนมาฝึกโยน jugglingเด็กตัวเล็กๆ คนนึงเตะบอลอยู่คนเดียวท่าทางอีกหน่อยอาจเล่นให้กับทีมประจำเมืองใดเมืองหนึ่งในอิตาลีบรรยากาศในสวนสงบร่มรื่นมาก เราเดินบ้างนั่งเล่นบนสนามหญ้าคุยกันบ้างอย่างไม่เร่งรีบนักเพราะด้วงเมื่อยขาและคงเจ็บตีนอยู่(รองเท้ากัดมาตั้งแต่วันแรกของการเดินทาง)

เราเดินมาจนถึงอนุสาวรีย์ Arco della Pace เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก อนุสาวรีย์นี้คือประตูชัยแห่งมิลาน(ลักษณะคล้ายประตูชัยหลายแห่งในยุโรป) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจัตุรัส Piazza Sempione เริ่มออกแบบตั้งแต่ปี 1807 ในยุคของนโปเลียนแต่กว่าจะเริ่มสร้างก็ประมาณปี 1826 ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ประมาณปี 1833

Arco della Pace ประตูชัยแห่งมิลาน

หลังจากนั้นเราจึงเดินย้อนกลับมาทางเก่าผ่านสวนและผ่านปราสาท Sforza จนมาถึงวงเวียน Largo Cairoli และเจอร้านขายของแถวๆ นั้นชื่อว่า Decathlon Cairoli จึงแวะเข้าไปดูและพบว่ามีของขายมากมายส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องกีฬาและอุปกรณ์เครื่องใช้แบบแมนๆเราเลยซื้อของกันในนี้ซึ่งราคาไม่แพง ผมได้กระเป๋าลากมาอีกใบเพื่อใส่ของต่างๆที่เริ่มมากขึ้นจนกระเป๋าไม่พอใส่

เราเดินกลับมาแวะถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์เลโอนาโด้ ดาวินชี่อีกครั้งก่อนจะไปแวะ Milan Megastore เพื่อซื้อของครั้งสุดท้ายก่อนกลับซึ่งผมก็ได้ซื้อรองเท้าสตั๊ด adidas มา 1 คู่ที่ลดแล้วเหลือ42.5ยูโรหลังจากนั้นจึงรีบกลับมาเก็บข้าวของที่พักเพราะเลยเวลาที่บอกเจ้าของบ้านไว้ว่าจะออกจากห้องตอน1 ทุ่ม กว่าเราจะเก็บข้าวของเสร็จก็ออกไปสถานีตอน 2 ทุ่มเรารีบไปขึ้นรถบัสไปสู่สนามบินซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

หลังเช็คอินแล้วเราจึงรีบเข้าไปข้างในซึ่งตอนนี้ทางสายการบินมาเร่งให้เรารีบขึ้นเครื่องเราจึงรีบซื้อของละลายเงินยูโรและรีบวิ่งไปขึ้นเครื่องตอน 22.30น. ซึ่งต่างก็หิวกันเพราะยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยและเหนื่อยจากการรีบเร่งเมื่อเครื่องออกต่างก็รออาหารบนเครื่องและหลังอาหารก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่มันก็ไม่ได้สบายเหมือนนอนเตียงจึงหลับบ้างตื่นบ้าง จนมาแวะต่อเครื่องที่กาต้าตอนเช้าๆ อย่างเหนื่อยล้าก่อนจะต่อเครื่องสู่สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งแตะสนามบินตอนค่ำๆ ก่อนที่พวกเราจะล่ำราและแยกย้ายกันกลับสู่ชีวิตจริงของการทำงานอีกครั้งในวันถัดไป

หลังกลับจากอิตาลีครั้งนี้ทำให้เรานึกถึงมันถึงความงามของเมืองต่างๆ สภาพอากาศ สถาปัตยกรรมโบราณอันวิจิตรตระการตา สนามซานซิโร่ ความสนุกสนานของการได้มาเที่ยวกับเพื่อนผู้ชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน ทั้งอิตาลีและทีมมิลาน ได้แต่นึกถึงโอกาสหน้าที่จะได้กลับมาเยือนประเทศนี้อีกครั้ง

จบทริป

Create Date : 12 กรกฎาคม 2558 Last Update : 29 ธันวาคม 2558 22:45:02 น. Counter : 4563 Pageviews.		107 comments
Share Tweet