เช้าวันที่ 3 เสาร์ที่ 11 เมษายน ณ กรุงโรม เหมือนเช่นเมื่อวาน เราตื่นนอนอาบน้ำแต่งตัวและไปกินขนมปังหน้าตาก้อนแข็งๆ เหมือนเดิมที่ห้องกินข้าวของป้าบรูน่า ขนมปังทาช๊อกโกแลต (หรืออะไรก็แล้วแต่จะมีให้) และกาแฟเพื่อเติมพลังงานให้พร้อมสำหรับการเดินเท้า เติมน้ำเปล่าใส่ขวดไว้กินระหว่างทาง เมื่อพร้อมเราก็นัดแนะเพื่อนร่วมทริป (ด้วงและมิกกี้) มาเจอกันที่ร้านขายของที่ระลึกของคนจีนหน้าโรงแรม พูดถึงของที่ระลึกเวลาไปเมืองไหนมีอะไรที่ถูกใจก็ซื้อไปเลยนะครับอย่าคิดว่าทุกที่จะเหมือนเมืองไทยที่เวลาไปชลบุรีก็ดันมีของฝากโคราชหรือโมจินครสวรรค์ขายอยู่ด้วยหรือถ้าพลาดทุกอย่างไปโลตัสก็ยังมีวางขายอีก แต่ที่นี่ข้ามเมืองไปไม่มีแล้วทริปนี้ผมเลยพลาดหน้ากาก Gladiator ของกรุงโรมและรูปปั้นเดวิดที่ฟลอเร้นส์ เพราะมัวแต่ยึกยักไม่ซื้อติดมือมา
ระหว่างรอรถไฟที่ชานชาลา ดูสภาพรถไฟเต็มไปด้านกราฟิตี้
เรามุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟแตมินี่เช่นเคยเพื่อเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสู่สถานี Colosseo หรือสถานีสู่โคลอสเซี่ยมนั่นเอง (2 สถานีจากแตมินี่) แต่ก่อนอื่นเราแวะซุปเปอร์มาเก็ตชั้นใต้ดินของสถานีซื้อของกินเล่นไปด้วย พอลงสถานีวันนี้เราซื้อตั๋วแบบ One-Day Pass (4.5 euro) เพราะคิดว่าน่าจะคุ้มหลังจากเมื่อคืนพิจารณาความคุ้มค่าแล้วเพราะตั๋วเดินทางเที่ยวละ1.5euro เมื่อโผล่ขึ้นมาจากสถานี Colosseo เราก็พบกับสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ยืนหยัดมายาวนาน 2พันปี
โคลอสเซี่ยมคือสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ527เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000คน (ข้อมูลจากWikipedia)
เมื่อมาถึงก็เห็นความยิ่งใหญ่ของโคลอสเซี่ยมเราจึงเดินหาจุดขายตั๋วแต่มองดูคนหน้าโคลอสเซี่ยมแล้วเลยคิดว่าไปเดินเล่นที่โรมันฟอรั่ม RomanForum (Foro Romano) ข้างๆ ก่อนดีกว่า (ตอนแรกนึกว่าเล็ก) เดินขึ้นเนินมาหน่อยจะเจอตู้ขายตั๋วมีคนต่อคิวกันอยู่ (แต่ไม่ยาวเท่าหน้าโคลอสเซี่ยม) มีป้ายบอกราคาไว้อยู่ สนนราคาอยู่ที่ 12euro สามารถเข้าได้ทั้ง Roman Forum + Colloseum + Palatine Hill
ภายใน Foro Romano
(ข้อมูลจาก Wikipedia) ฟอรุมโรมานุมตั้งอยู่ระหว่างเนินพาเลติเน (Palatine hill) และเนินแคปิโตลิเน (Capitoline hill) ในกรุงโรมในประเทศอิตาลี บริเวณนี้เป็นบริเวณศูนย์กลางของการวิวัฒนาการของวัฒนธรรมโรมันมาแต่โบราณประชาชนมักจะเรียกบริเวณนี้ว่า ฟอรุมมังนุม หรือเพียงสั้นๆ ว่า ฟอรุม
โครงสร้างที่เก่าและสำคัญที่สุดต่างๆของเมืองเก่าต่างก็ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ที่รวมทั้งที่ประทับเดิมที่เรียกว่า เรเจีย (Regia) และกลุ่มสิ่งก่อสร้างรอบๆสำหรับ เทพีพรหมจารีย์ (Vestal virgins) สาธารณรัฐโรมันมีตึกรัฐสภา (Comitium) ที่เป็นที่ประชุมของวุฒิสมาชิกในบริเวณนี้ด้วยจตุรัสเป็นเหมือนจตุรัสศูนย์กลางของเมืองที่ประชาชนใช้เป็นที่ชุมนุมในกิจการต่างๆของรัฐ และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของสาธารณรัฐและจักรวรรดิต่อมา
Colosseo ถ่ายจากใน Foro Romano
เมื่อยืนรอซื้อตั๋วมาเราก็เข้าไปเดินเล่นภายในซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ ไปเดินอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา (แต่สวยงามในแบบตะวันตก) เราก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นวนไปวนมา ขึ้นเขาลงเนิน มีต้นไม้สวยๆ มีวิวเนินเขาเห็นเมืองเก่าสวยงาม เดินไปเดินมา โอ้วมันใหญ่มากนี่หว่า ยังเดินไม่ทั่วเลยและเริ่มใช้เวลานานจนเกรงว่าโคลอสเซี่ยมจะปิด กว่าจะออกจากฟอรุมได้ก็เกือบ 4 โมงแล้ว
เมื่อออกมาก็หาของกินแถวหน้าโคลอสเซี่ยมเป็นรถขายอาหารราคาประมาณ 5Euro ตบด้วยกาแฟแถวสถานีก่อนจะเข้าโคลอสเซี่ยมไปดูความยิ่งใหญ่ของสนามกีฬาที่เคยเป็นสังเวียนแห่งการต่อสู้เหมือนที่เราเคยดูในหนัง Gladiator นักท่องเที่ยวมากมายเข้ามาชมอารยธรรมที่ยืนหยัดมา 2000 ปีตั้งแต่สมัยโรมัน
รถขายอาหารหน้า Colosseo (จริงๆ ร้านพวกนี้มีแทบทุกที่นะครับ ก็สะอาดดี)
ระหว่างทางเข้าด่านแรกก่อนเข้าไปด้านในของสนามกีฬาโบราณ
บรรยากาศใน Colosseo
ทางเดินภายใน Colosseo
เราเดินเล่นถ่ายรูปกันจนอิ่มประมาณ5 โมงกว่าๆ จึงออกมาภายนอกและเดินไปขึ้นรถราง (พอดีวันนี้ซื้อตั๋วรถแบบ One Day Pass) เพื่อเดินทางต่อไปที่ Palazzodel Laterano e Museo Storico แต่พอรถรางมาจอดก็จะเจอประติมากรรม Monument of St. Francesco of Assisi ข้างหน้าสวนสาธารณะ Giardini di via Carlo Felice ซึ่งหลังจากที่เราเดินวนรอบทั้งฟอรุมและโคลอสเซี่ยมจนเมื้อยล้าเราจึงมานั่งพักที่สวนนี้อยู่นานทีเดียว (รวมทั้งเดินเล่นภายในสวน) จนเมื่อเราเดินข้ามถนนไปยังตึก Palazzo delLaterano มันก็ 6โมงกว่าแล้วและปิดเสียแล้วเลยได้แต่ถ่ายรูปและนั่งเล่นอยู่หน้าตึกพักใหญ่ๆ
สวนสาธารณะใกล้ๆ Palazzo del Laterano
Palazzo del Laterano
หลังจากนั้นเราจึงเดินต่อไปยังห้าง Coin ที่อยู่ไม่ไกลนัก เดินดูของและเข้าส้วมที่หายาก (ส้วมในอิตาลีนั้นหายากส่วนใหญ่ในที่สาธารณะนั้นเก็บค่าเข้าคนละ 1euro) หลายคนอาศัยการไปกินอาหารหรือดื่มกาแฟแล้วเข้าตามร้านนั้นๆแต่ส้วมมันไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่หรอก กลับมาแล้วจะรักส้วมเมืองไทยอีกมากทีเดียว อย่างในกรณีส้วมในห้าง Coin ที่มี 4-5ชั้นแต่มีส้วมอยู่แค่ที่ชั้นบนสุด โถฉี่ชายไม่เคยมีต้องรอคิวเข้าห้องส้วม (เป็นแบบนี้แทบทุกที่ละครับ)
หลังจากเดินจนเมื่อยแล้วเราจึงนั่งรถไฟกลับสถานีแตมินี่เพื่อพักผ่อนก่อนออกมารวมตัวเพื่อไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารแถวโรงแรมและมาลงเอยนั่งกินอาหารตากลมหนาวริมถนน เจอเด็กเสิร์ฟขี้โม้ชื่อเอลวิสที่คอยเดิมมาคุย เรานั่งตากลมจนหวัดเกือบกิน ก่อนจะแยกย้ายและกลับห้องพักนอนหลับชาร์จพลังสำหรับวันต่อไป