Day 8 โอซาก้ายุค Retroเช้าวันที่ 8 ของการเดินทางแล้วนะครับ จริงๆ แล้วเรื่องราวทั้งหมดในการรีวิวการท่องเที่ยวครั้งนี้มันเหมือนเป็นบันทึกการเดินทางของผมกับกลุ่มเพื่อนอีก 2 คนนั้นแหละครับ ไม่ได้เขียนเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวซะทีเดียว อาจใส่ทัศนคติต่างๆ ในเรื่องราวที่ได้เห็นลงไป จะให้เป็นส่วนตัวเกินไปก็กระไรอยู่เพราะมาเขียนเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้อ่านใน blog ด้วยก็เลยดูเป็นทางการซักหน่อย นานมาแล้วก่อนผมจะไปเที่ยวครั้งนี้ผมเคยได้ฟังรายการวิทยุคลื่นกีฬาอยู่รายการหนึ่งครับ รายการที่ผมชอบฟังช่วง 5 โมงเย็นคือรายการ Sport Guide ที่ดำเนินรายการโดยเฮียนอสและหมอเมา ก็เป็นผู้อาวุโสมาคุยเรื่องกีฬาให้ฟังครับคลื่น FM99
เรื่องของเรื่องคือมีอยู่วันหนึ่งมีคนโทรเข้ามาในรายการพูดเรื่องการไปเที่ยวไหนซักที่ แล้วหมอเมาก็พูดว่าคุณอย่าลืมจดบันทึกเป็นเรื่องราวไว้นะครับ เพราะเวลามันผ่านไปนานๆ คุณจะจำรายละเอียดได้ไม่ครบถ้วน การกลับมาอ่านบันทึกมันจะทำให้รู้สึกดียิ่งกว่า ซึ่งฟังๆ ไปแล้วก็คิดว่ามันก็จริงๆ นะ ไอ้การจะย้อนไปเขียนถึงทริปเมื่อปีก่อนมันก็ลืมความรู้สึกอะไรบางอย่างไปแล้ว ก็เลยอยากลองเขียนเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับการเที่ยวในครั้งนี้ และถ้าใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็ยิ่งดีเลยครับ
หอคอยโอซาก้า Tsutenkakuเข้าเรื่องการเที่ยวญี่ปุ่นในวันที่ 8 ของการเดินทางต่อครับ วันนี้เราจะเดินทางย้อนยุคมาสู่ยุคหลังสงครามโลกกันซักนิดนึง โดยจะพามาเที่ยวหอคอยโอซาก้าอันเก่า หรือเรียกกันว่า Tsutenkaku Tower ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักย่าน Nipponbashi ของเรา เราสามารถเดินมาที่หอคอยนี้ได้โดยเดินผ่านมาทางย่านขายของเล่น Den Den Town หรือนั่งรถไฟมา 1 สถานีถ้าขี้เกียจเดินนะครับ
รอบๆ คัวหอคอยนั้นเป็นเขตร้านค้าที่เรียกว่า Shisekai ซึ่งเรียกว่า “โลกใหม่” หรือเมืองใหม่ที่ตั้งใจกันไว้ก่อนสงครามนะครับ
แต่พอเกิดสงครามคนก็ลืมเลือนมันไปเป็นสิบปี บรรยากาศและรูปร่างของตัวหอคอยทำให้เรานึกถึงวันเก่าๆ ในยุคอดีตกาล ร้านค้าและหอคอยยังดูมีความหลังที่สดใสในอดีตฉาบอยู่ เขตนี้ตามข้อมูลการท่องเที่ยวบอกไว้ว่า มันถูกพัฒนาขึ้นหลังจากงาน Expo ในปี 1903 ซึ่งทำให้กิจการค้าในเมืองคึกคักขึ้น รูปแบบการสร้างเมืองของย่าน Shisekai นั้นมีต้นแบบมาจาก 2 เมืองใหญ่คือปารีสและ Coney Island ของนิวยอร์ค โดยทางส่วนเหนือจะใช้ปารีสเป็นต้นแบบ และส่วนใต้จะใช้นิวยอร์คเป็นต้นแบบ
หอคอยโอซาก้ามองจากย่าน Shisekai
วิวจากจุดชมวิวระดับ 91 เมตรของโอซาก้า
ในส่วนของหอคอย Tsutenkaku นั้นก่อสร้างหลังหอไอเฟิลที่ปารีสแต่ในช่วงสงครามก็ถูกทำลายเสียหายและถูกบูรณะสร้างใหม่หลังจากนั้นในปี 1956 ความสูงรวมอยู่ที่ 103 เมตร รายละเอียดอื่นๆ ไม่ขอเล่ามากมายครับ จริงๆ สถานที่เที่ยวหลายๆ ที่ๆ เราไปกันเราไม่ได้มีข้อมูลละเอียดขนาดนี้หรอก มันได้มาตอนที่ผมกำลังนั่งพิมพ์เรื่องราวทั้งหมดอยู่นี่ละครับ ไหนๆ ก็จะเขียนถึงสถานที่แห่งหนึ่งเราก็ควรจะใส่รายละเอียดข้อมูลปลีกย่อยลงไปด้วย ซึ่งการเขียนก็ดีตรงนี้คือได้ทบทวนและได้หาความรู้เพิ่มเติมไปในตัว แม้จะผ่านการท่องเที่ยวมาแล้วก็ตาม
ย่าน Shisekai มีร้านอาหารมากมาย
เราขึ้นหอคอยกันในช่วงสายๆ ซึ่งขณะเดินผ่านย่านร้านค้าในย่าน Shisekai ก็ยังไม่ค่อยเปิดกัน เราเดินไปถึงด้านล่างของหอคอยและเสียค่าขึ้นไปชั้นของหอชมวิวที่ความสูง 91 เมตร ที่ 600 เยน หอคอยนี้ทำให้เราสัมผัสถึงบรรยากาศความเก่าของยุค 60 ในญี่ปุ่นแบบในหนังย้อนยุคเรื่อง Always ทีเดียว วิวทิวทัศน์โดยรอบของเมืองโอซาก้าจากมุมมองบนนี้ก็สวยงามดีครับ บริเวณชั้นบนนี้ยังมีเทวรูปแกะสลักที่ไว้ให้คนถ่ายรูปเป็นรูปเด็กยิ้มนั่งอยู่บนเก้าอี้ (หน้าตาคล้ายๆ จอมมารบูในการ์ตูน Dragon Ball 555) เรียกว่า Billiken หรือเทพเจ้าแห่งความสมหวัง
Billiken เทพเจ้าแห่งความสมหวัง (หน้าเหมือนจอมมารบู)
ก็ไปจับไปลูบเพื่อให้เกิดกำลังใจได้สมหวังกันบ้าง แล้วแต่ศรัทธาครับ
เดินชมเมืองโดยรอบไปแล้วก็ลงมาที่ชั้นล่างจะมีนิทรรศการเกี่ยวกับย่านนี้ (ตามเรื่องราวที่ผมเขียนไปในช่วงต้น) ซึ่งเป็นเรื่องราวของย่าน Shisekai และหอคอยแห่งนี้ บรรยากาศชวนระลึกถึงความหลังที่แสนหวานชื่นของมัน (ขนาดฟังไม่ออกยังรู้สึกได้)
โมเดลจำลองเรื่องราวของหอคอยในยุครุ่งเรือง
ก็เดินดูไปเรื่อยๆ ก็จะมาถึงร้านขายของที่ระลึกของย่านนี้แล้วจึงออกจากหอคอย บรรยากาศเก่าๆ ชวนให้รู้สึกเหงายังไงไม่รู้สิครับ ร้านค้าหลายร้านในย่านนี้คนขายของก็ยังเป็นคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งจะว่าไปที่ประเทศนี้คนแก่เขามีเยอะอยู่แล้ว ก็อาหารการกินดีทำให้คนแก่อยู่กันอึด มีอยู่ถึง 20% ของประชากร (ซึ่งเขาว่ามันเยอะกว่าเด็กๆ มาก) บางร้านขายของเล่นเก่าๆ ทำให้นึกถึงวัยเด็กทีเดียวเชียว บ๊ะ...
ร้านขายของเล่นเก่าในย่าน Shisekai
แก๊งค์โอตาคุในเสื้อยืดช่วยเหลือญี่ปุ่นจากซึนามิ
Shopping Walking n Shoppingขากลับเราเดินเล่นออกมายังย่านขายของเล่น Den Den Town อีกครั้ง และเริ่มซื้อของเล่นเพื่อสนองความชอบในวัยเด็กตามประสาพวกโอตาคุ 555 เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้จนเริ่มหิวครับ ย่านนี้เจอร้านราเม็งอยู่ร้านนึง มันเปิดเพลงและมีวีดีโอโฆษณาเกี่ยวกับ Ramen Dream ซึ่งฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่เหมือนเจ้าของร้านจะมุ่งสู่ฝันการเป็นเจ้าของราเม็ง ก็เลยเข้าไปลองชิมดู ราเม็งร้านนี้มีราเม็งแบบเผ็ด เป็นชาชูเม็งและมีระดับความเผ็ดให้เลือกตั้งแต่ 1-8 โดยตั้งแต่ระดับ 5 ขึ้นไปจะเสียเงินเพิ่มนิดหน่อย เราเลยลองแค่ระดับ 4 ซึ่งก็เผ็ดกำลังดี แนะนำใครมาย่านนี้ต้องลองครับ
ไก่คาราอาเกะ กินเล่นเพลินๆ แกล้มบีรุก็เข้ากั้น เข้ากัน
ราเม็งเผ็ดๆ ย่าน Den Den Town
ร้านขายของเล่นย่าน Den Den Town ได้รับการดูแลจาก Mazinger 2 ตัวหน้าร้าน
คินิกุแมน คนเก่าคนแก่คงพอจำได้นะฮะ
โมเดลเรื่องคินิกุแมน
โดเรม่อน การ์ตูนยอดฮิตตลอดกาล
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฝนตก เราจึงเดินเที่ยวต่อไปย่านช๊อปปิ้งแถวชินไซบาชิและต่อไปยังย่าน Amerikamura อ่านออกเสียงเหมือนอเมริกามูระ (ทำให้นึกว่ามันมีอะไรเกี่ยวกับอเมริกันรึเปล่า) แต่เห็นว่าคนท้องถิ่นจะเรียกว่า อะเมมูระ Amemura ซึ่งเป็นย่านวัยรุ่นคล้ายๆ กับ Harajuku ของโตเกียวนั่นแหละ มีร้านเสื้อผ้าทันสมัย คาเฟ่เก๋ๆ ห้างเท่ๆ และวัยรุ่นมากมาย ซึ่งให้ความรู้สึกของความทันสมัยอินเทรนด์กว่าย่านชินไซบาชิที่อยู่ใกล้ๆ สังเกตว่าย่านไหนก็มีจักรยานจอดกันเต็มไปหมด เป็นเมืองไทยคงถูกมองแปลกๆ แน่ถ้าขี่จักรยานมาเที่ยว
ย่านโดทอนโบริ
ร้านค้าย่าน อเมมูระ จักรยานจอดกันเต็มไปหมด
ห้างย่าน อเมมูระที่ขายของแฟชั่นแนวสตรีท จากทางเข้าห้างเป็นบันไดลงมาใต้ดิน 2 ชั้นและใช้บันไดเป็นเหมือนอัฒจรรย์สำหรับจัดกิจกรรมให้คนนั่งดู
จักรยานใช้แล้วไม่แพงนะ มีร้านขายในห้างนี้
เรากางร่มเดินตั้งแต่บ่ายจนมึดค่ำ วนจากย่านที่พักทะลุทะลวงจาก Namba Walk ใต้ดินมา ชินไซบาชิ อเมริกามูระ โดทอนโบริและเดินเล่นจนกลับมาสู่นัมบะและวนกลับที่พักย่าน Nipponbashi ของเรา หาอะไรกินตอนเย็นและกลับถึงที่พักในยามค่ำในวันฝนพรำอีกวัน
ย่านชินไซบาชิยามค่ำคืน
กิจกรรมระหว่างนั้นในย่านชินไซบาชิก็เช่น เสียเงินกับการเล่น Slot ในร้านปาจิงโกะไป 1000 เยนอย่างรวดเร็ว หรือไปกดตู้เล่น UFO เพื่อชิงของเล่นแล้วโดนกินตลอด 555 ชาวคณะทั้ง 3 เสียเงินกับการโดนตู้กด UFO กินเงินไปเพียบมีน้องเต้ยกด 100 เยนได้ตุ๊กตามา 1 ตัว
Postcard ส่งให้เพื่อน
ปล. รูปอาหารวันนี้ถูกใจที่สุด