บันทึกช่วยเตือนความทรงจำนี้เขียนไว้กันลืมหลายท่านไปญี่ปุ่นกันหลายรอบแล้วคงไม่ได้ช่วยอะไรได้มากเท่าไหร่หรอก
ทริปนี้ถือเป็นทริปที่เราเคยคุยกันเมื่อ 3ปีก่อนระหว่างพี่น้องทั้ง4 ของบ้านเราที่กระจัดกระจายกันไปทำงานและมีครอบครัวกันอยู่คนละที่ละทางและไม่ได้พบเจอกันแบบพร้อมหน้ากันมานานมากกว่า20ปีขนาดที่ว่าเมื่อ 9 ปีก่อนเราจะถ่ายภาพหมู่แบบ 4 คนครบๆ ยังทำไม่ได้ โดยต้องถ่ายทีละ 2 คนแล้วเอามาตัดต่อให้อยู่ในรูปเดียวกันดังนั้นผมก็เลยเสนอไอเดียว่า เอาอย่างนี้ไม๊ ไหนๆ พี่ๆ ทั้ง 3 ก็ไม่เคยไปญี่ปุ่นและมันก็ถือเป็นประเทศที่น่ารักน่าเที่ยว ไม่ต้องขอวีซ่า เมืองก็ปลอดภัยและเป็นจุดพักเวลาเดินทางมาจากอเมริกาเราไปเจอกันที่ญี่ปุ่นกันดีไหม ซี่งตอนแรกก็เสนอว่าเอาเป็นปีที่มีเดือนกุมภา29 วันซึ่งมันคือปีที่แล้วแหละแต่ก็ยังไม่ค่อยสะดวกกัน ดังนั้นมันจึงถูกเลื่อนมาถึงปีนี้(2017)
ภาพถ่ายปี 1988 สมัยยังละอ่อน (อายุ 14 เอง)
ภาพตัดต่อปี 2008 (ถ่ายทีละ 2 คน) 20ปีหลังจากภาพแรก
กว่าจะจัดการกำหนดเวลากันได้ก็ต้องประสานงานหาวันเวลาที่ลงตัวเพราะพี่ๆฝั่งอเมริกา 2 ครอบครัวก็ต้องลางาน จนสุดท้ายได้เวลาเดือน พ.ค.กลางๆเดือนที่เราจะไปเที่ยวร่วมกันเรื่องการจัดการเที่ยวเหล่านี้พักหลังถือเป็นกิจกรรมของคนสมัยนี้เลยละมั้งเวลาจะไปเที่ยวไหน(ไม่ไปทัวร์กันแล้ว) เพราะเดี๋ยวนี้จะซื้อตั๋วเครื่องบินหรือจองที่พักทำได้ไม่ยากนักเรามีเวปไซต์และ app ที่ให้บริการด้านนี้อยู่หลายที่ เราสามารถตรวจสอบราคา ดูคำติชมและดูแผนที่ที่เราคิดว่าเหมาะสม ซึ่งสุดท้ายก็เรียบร้อยและรอเวลาเดินทาง
ทางฝั่งเมืองไทยเรามีกัน 3 คนคือแม่ ผม และพี่สาวคนที่ 2 (พี่จิ๋ว)เรามาเจอกันในค่ำวันจันทร์ที่ 15 และเดินทางไปดอนเมืองเพื่อขึ้นเครื่องไปสนามบินนาริตะเครื่องออกเที่ยงคืนกว่าๆ เราใช้บริการสายการบิน Nok Scoot สายการบินราคาประหยัดซึ่งก็พอใช้ได้ หลับๆ ตื่นๆไปถึงนาริตะตอนเช้า 9 โมง เรานั่งพักล้างหน้าแปรงฟันที่สนามบินก่อนจะต่อรถไฟสายKeisei SkyAccess เข้าเมืองเพื่อไปลงย่าน Asakusaใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.จากสนามบิน
ร้านโซบะที่เดินเจอโดยบังเอิญหลังเดินเล่นในห้างแถวสถานีอาซาคูสะ
เมื่อไปถึงย่านอาซาคูสะเราก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปและนั่งกินบะหมี่โซบะที่ร้านKoiki Soba ในย่านนั้นเข้าไปกดตู้ได้ตั๋วเอาไปให้ป้าเพื่อให้เขาทำบะหมี่ออกมาให้กิน
เมื่ออิ่มแล้วเราเดินลากกระเป๋าข้ามแม่น้ำเข้าที่พักที่จองไว้ผ่านAirBNB ตอนเที่ยงกว่าๆ เพื่อเก็บกระเป๋าเดินทางแล้วออกเดินเล่นแถววัด Sensoji ที่มีถนนนากามิเสะขายของอยู่2 ฝั่งยาวตั้งแต่ประตูโคมไฟยักษ์อันโด่งดังมีคนยืนถ่ายรูปกันมากมายตั้งแต่ริมถนนยาวไปถึงตัววัดเราเดินเล่นกันจนเมื่อยและมาขึ้นดูวิวที่ชั้น 8 ของตึกศูนย์วัฒนธรรมและท่องเที่ยวของอาซาคูสะที่อยู่ตรงข้ามถนนที่ออกแบบโดยสถาปนิก Kengo Kuma และนั่งพักกินกาแฟเพื่อชมวิวย่านนี้และพักขาที่เมื่อยล้า
สุดท้ายเรากลับมารอกลุ่มพี่สาวจากอเมริกาที่จะลงเครื่องตอนเกือบ 4โมงโดยตามกำหนดจะมาถึงย่านนี้ด้วยรถไฟ(ตามที่คุยกันไว้) ประมาณ 6 โมงกว่าๆ ซึ่งผมก็ออกไปยืนรอรับที่สะพานเหล็กสีฟ้า Komagatabashi
ยืนรอไม่นานนักก็เจอกลุ่มครอบครัวจากอเมริกาข้ามสะพานมาตามนัดหมายเราเข็นกระเป๋าเข้าที่พักและเดินออกมากินซูชิที่ร้าน Sushizanmai ริมถนน Kaminarimonซึ่งกดหาเอาจากในgoogle map หลังอาหารเราแวะซื้ออาหารเช้าและของใช้ที่ซุปเปอร์มาเก็ต Ozeki ก่อนจะเดินกลับที่พักข้ามสะพานสีแดงAsakusa Dori ที่จะเห็นวิวตึก Asahi ที่มีอุนจิสีทองอันโดดเด่นเป็นฉากหลังวันนี้ทุกคนเพลียกันจากอาการที่ยังปรับเวลาไม่ได้ เราจึงหลับกันทั้งแต่ 2 ทุ่ม