|
ที่ป้าหายไปครั้งนี้นอกจากไปทำงานแล้ว ป้ายังไป งานแต่งงานลูกชายเพื่อนที่ลำปางอีกด้วย และการไปครั้งนี้ มีทั้งความสุขและความทุกข์ สุขที่ได้ไปเที่ยว ทุกข์เพราะโรคที่กล่าวไว้เบื้องต้นน่ะจ่ะ ที่จริงตอนที่ไปน่ะ เป็นช่วงที่อากาศ ไม่หนาวเลย แต่...ตอนเดินทางซีจ๊ะ ในรถน่ะแอร์เย็นมาก... เย็นจนมือป้าชา...ชาจนปวด...โดยเฉพาะนิ้วโป้ง ดูเล็บแล้ว สีมันออกม่วงนิดๆ เลยละจ่ะ พอกลับมาป้าก็เลย เข้ามาถามอากู๋ในเน็ตอ่ะจ่ะ ก็ได้ความตาม ข้างล่างนี้อ่ะจ่ะ... ลองอ่านกันดูน้า...
โรคเหน็บชา
โรคเหน็บชา ยังพบได้บ่อยในท้องที่ชนบทบางแห่ง (เช่น ทางภาคอีสาน ภาคเหนือ) เนื่องมาจาก การกินข้าวโรงสี (ข้าวที่ขัดสีแล้ว) และกิจเนื้อสัตว์ น้อยทำให้ร่างกายได้รับวิตามินบีหนึ่ง (หรือที่เรียกว่า ไทอามีน) ไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากการกินอาหารที่มีสารทำลาย วิตามินบีหนึ่ง เช่น ชา เมี่ยง หมากพลู สีเสียด ปลาร้า เป็นต้น โรคนี้ยังอาจเกิดจากภาวะที่ร่างกายมีการเผาผลาญ อาหารเพิ่มขึ้น จึงมีความต้องการวิตามินบีหนึ่งสูง ขึ้นด้วย เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมลูก เด็กในวัยเจริญเติบโต คนที่ทำงานหนัก (เช่น กรรมกร ชาวนา) ผู้ป่วยที่มีไข้สูง หรือ เป็นโรคติดเชื้อหรือคอพอกเป็นพิษ (1212) เป็นต้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเรื้อรัง (เช่นตับแข็ง) ก็อาจเป็นโรคนี้ได้ เพราะตับไม่สามารถนำวิตามินบีหนึ่งไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้คนที่ติดสุราเรื้อรังก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย เนื่องจากกินวิตามินบีหนึ่งไม่เพียงพอ ร่วมกับการ ดูดซึมของลำไส้ไม่ดี และตับทำงานได้ไม่ดี (ตับแข็ง) โรคนี้จึงมักพบในหญิงตั้งครรภ์, หญิงแม่ลูกอ่อน, ทารกที่มีแม่เป็นโรคเหน็บชาและกินนมแม่เพียงอย่างเดียว, คนวัยฉกรรจ์ที่ทำงานหนัก ร่างกายบึกบึน (เช่น กรรมกร ชาวนา) ที่กินอาหารพวกแป้งและ น้ำตาลมาก แต่กินอาหารที่มีวิตามินบีหนึ่งน้อย, คนที่นิยมกินอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบีหนึ่ง, คนที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น
อาการ
ในทารก มักจะมีอาการระหว่างอายุ 2-6 เดือน (พบในทารกที่กินนมแม่ และแม่กินอาหาร ที่ขาดวิตามินบีหนึ่ง หรืออดของแสลง หรือแม่เป็นโรคเหน็บชา) เด็กจะมีอาการ ร้องเสียงแหบหรือไม่มีเสียง ซึม หอบ เหนื่อย ตัวเขียว ขาบวม บางคนอาจมีอาการตากระตุก (nystagmus) หนังตาตก ชัก หรือหมดสติ การตรวจร่างกายมักจะพบรีเฟลกซ์ ของข้อ (tendon reflex) น้อยกว่าปกติ หรือไม่มี และจะพบภาวะหัวใจวาย เช่น ตับโต ชีพจรเร็ว (มากกว่า 130 ครั้งต่อนาที) บวม เป็นต้น ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอาจตายได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ในเด็กโตและผู้ใหญ่ ในระยะเริ่มแรกหรือ อาการขนาดอ่อน ๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อง่าย เบื่ออาหาร ท้องผูก ท้องอืดเฟ้อ ความจำเสื่อม รู้สึกชา แต่ตรวจร่างกายไม่พบสิ่งผิดปกติ ถ้าเป็นมากขึ้น จะรู้สึกชาตามมือและเท้า อาจมีอาการปวดแสบและเสียวเหมือนถูกมดกัน โดยมากจะเป็นพร้อมกันทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะเป็นตะคริว ปวดเจ็บที่กล้ามเนื้อน่อง แขนขาไม่มีแรง (ทดสอบโดยให้ผู้ป่วยนั่งยอง ๆ ผู้ป่วยจะลุกขึ้นไม่ได้) ถ้าเป็นมาก ๆ อาจมีอาการเป็นอัมพาต รีเฟลกซ์ของข้อในระยะแรกอาจไวกว่าปกติ แต่ในระยะหลังจะช้ากว่าปกติหรือไม่มี ในรายที่เป็นรุนแรง จะมีภาวะหัวใจวายร่วมด้วย เช่น เท้าบวม หอบเหนื่อย นอนรายไม่ได้ ชีพจรเต้นเร็ว ตับโต ปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) เป็นต้น ในรายที่เกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการตาเหล่ตาเข (เนื่องจากกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวลูกตาเป็นอัมพาต) เดินเซ (ataxia) มีความผิดปกติทางจิต อาจหมดสติ ถึงตายได้
การรักษา
1. ให้วิตามินบีหนึ่ง 10-20 มิลลิกรัม โดยการกินหรือฉีดวันละ 2-3 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ (ถ้าเกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรังควรใช้ชนิดฉีด ในขนาด 100 มิลลิกรัม วันละครั้ง นาน 5-7 วัน) ต่อไปให้กินขนาด 10 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลาอีกหลายสัปดาห์ 2. ในรายที่สงสัยมีภาวะหัวใจวาย ให้ฉีดวิตามินบีหนึ่งขนาด 25-50 มิลลิกรัม และให้ยาขับปัสสาวะ เช่น ลาซิกซ์ (ย21.1) 1/2-1 หลอด แล้วส่งโรงพยาบาลด่วน อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ แล้วให้วิตามินบีหนึ่ง และให้การรักษาแบบภาวะหัวใจวาย (98)
ข้อแนะนำ
1. โรคนี้อาจพบในชายฉกรรจ์ที่ร่างกายบึกบึน ซึ่งกินข้าวได้มาก ๆ แตกินอาหารที่มีวิตามินบีหนึ่งน้อย ดังนั้น ถ้าพบอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นโรคเหน็บชา ในคนเหล่านั้นควรให้การรักษาด้วยวิตามินบีหนึ่งทันที 2. โรคนี้อาจป้องกันได้ โดย กินอาหารที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงเช่น เนื้อสัตว์ ถั่วต่าง ๆ ไข่แดง ตับ ไต เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหญิงตั้งครรภ์ แม่ลูกอ่อน คนที่ทำงานหนัก และ...ส่งเสริมให้กิน"ข้าวซ้อมมือ"
ที่มาจาก - //www.clinic.worldmedic.com
| |